ภาคภูมิ น้อยวัฒน์ เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
ตามธรรมเนียมแต่โบราณของไทย
นครน้อยใหญ่ไม่ว่าแห่งใด ต่างก็ต้องมีวัดมหาธาตุอันประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุประจำเมือง
เพื่อเป็นศิริมงคลและศรีสง่าแก่บ้านเมือง
กรุงเทพมหานคร
เมืองหลวงแห่งสยามประเทศก็เช่นกัน
เจดีย์ประธานของวัดสลัก ที่เป็นวัดดั้งเดิม |
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร คือมหาธาตุแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมนามว่า “วัดสลัก” เป็นวัดเก่าแก่มีมาแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จากหลักฐานแผ่นศิลาจารึกดวงชะตาที่บรรจุไว้ที่ฐานพระประธาน ระบุว่าสถาปนาวัดขึ้นในปี พ.ศ.๒๒๒๘ ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ศิลาจารึกระบุปีที่สร้างวัด ตรงกับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ที่บริเวณฐานหลวงพ่อหิน |
เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เมื่อครั้งยังเป็นนายบุญมา ได้ล่องเรือมายังธนบุรี พบกับด่านตรวจของพม่าบริเวณป้อมวิชัยประสิทธิ์ ได้มาอาศัยบริเวณวัดสลักแห่งนี้ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้างหลบทัพพม่า โดยได้ทรงตั้งสัตย์อธิษฐานต่อหลวงพ่อหิน พระประธานในอุโบสถว่าหากพระองค์รอดชีวิตไปได้เป็นใหญ่ในบ้านเมือง จะทรงกลับมาบูรณปฏิสังขรณ์วัดสลักแห่งนี้ให้งดงามบริบูรณ์
เมื่อสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ในปี ๒๓๒๕ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงรำลึกถึงคำสัตย์อธิษฐานที่ได้ทรงให้ไว้ จึงทรงมาปฏิสังขรณ์วัดสลักเป็นวัดที่คั่นอยู่กึ่งกลางระหว่างพระบรมมหาราชวัง (วังหลวง) อันเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ กับพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ที่ประทับของพระองค์ ทรงสร้างเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้นมาในปีพ.ศ. ๒๓๒๖ แล้วสถาปนาวัดนี้ขึ้นเป็นพระอารามหลวงแห่งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ โดยได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชว่า “วัดนิพพานนาราม”
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท |
ในปี พ.ศ. ๒๓๓๑ ภายหลังจากวัดนิพพานารามได้ใช้เป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามพระอารามใหม่เป็น “วัดพระศรีสรรเพชญ์” ก่อนที่ในปี พ.ศ.๒๓๔๖ จะโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามพระอารามอีกครั้งว่า “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ราชวรมหาวิหาร” หรือ “วัดมหาธาตุ” เนื่องจากวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ ณ ภายในพระมณฑป และเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช รวมทั้งเพื่อให้เป็นหลักของพระนครในกรุงรัตนโกสินทร์เช่นเดียวกับในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานมีการปรับปรุงซ่อมแซมวัดมหาธาตุมาเป็นลำดับ ครั้งใหญ่ ๆ คือในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พ.ศ.๒๓๘๗ ทรงบูรณะวัดมหาธาตุด้วยการก่ออิฐถือปูนเสนาสนะใหม่ทั้งพระอาราม และในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สิ้นพระชนม์ได้ ๒ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระราชทรัพย์อันเป็นส่วนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ในการปฎิสังขรณ์ปูชนียสถานสำคัญของวัดมหาธาตุ ได้แก่ พระมณฑป พระอุโบสถ และพระวิหาร โดยเฉพาะหน้าบันพระวิหาร โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนลายประดับเป็นรูปจุลมงกุฎของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มสร้อยนามพระอาราม เพื่อเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ว่า “วัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฎิ์”
พระมณฑป ประดิษฐานเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นประธานของวัด |
ปูชนียวัตถุสำคัญและมีความงดงามไม่ควรพลาดชมภายในวัดแห่งนี้ คือ พระมณฑป ที่สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสร้างเป็นประธานของวัดแต่แรก ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ระหว่างพระอุโบสถกับพระวิหาร โดยทรงพระราชทานเครื่องไม้สำหรับสร้างปราสาทในวังหน้ามาใช้สร้างพระมณฑป แต่ต่อมาไม่นานเกิดอุบัติเหตุถูกเพลิงไหม้ไปพร้อมกับพระอุโบสถและพระวิหาร จึงทรงให้สร้างใหม่และปรับเปลี่ยนจากยอดมณฑปเป็นหลังคาทรงโรงอย่างในปัจจุบัน แต่ยังคงเรียก “พระมณฑป”ตามเดิม
ภายในพระมณฑปมีบุษบกประดิษฐานพระเจดีย์ทองซึ่งภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเป็นประธาน รายรอบด้วยพระพุทธปฏิมาพุทธลักษณะงดงามถึง ๒๘ องค์ ที่สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงอัญเชิญมาจากวัดร้างตามเมืองเก่าทางภาคเหนือได้แก่ เมืองสุโขทัย เมืองสวรรคโลก เมืองพิษณุโลก เมืองลพบุรี และพระนครศรีอยุธยา นำมาประดิษฐานไว้ภายในโดยรอบพระมณฑป
เจดีย์ลบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระวิหาร |
ในสมัย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ ๒๓๘๗. ทรงบูรณะวัดมหาธาตุโดยการก่ออิฐถือปูนทั้งพระอาราม
ส่วนการบูรณะพระมณฑปให้รื้อเครื่องบนเปลี่ยนตัวไม้ที่ชำรุด
และเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาใหม่ ลงรักปิดทองพระเจดีย์ทอง
ประดับกระจกใหม่ทั้งหลัง
พระศรีสรรเพชญ์ พระประธานในพระอุโบสถ |
พระอุโบสถ เป็นอีกแห่งที่สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสร้าง เป็นพระอุโบสถขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ เนื่องจากหลังถูกเพลิงไหม้พระองค์ทรงให้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ขยายพระอุโบสถออกจนแทบชิดกับพระมณฑป ถึงแนวเขตสีมา จึงต้องยกใบสีมาขึ้นติดบนผนัง พร้อมทั้งทำประตูให้เปิดออกด้านข้าง สิ่งน่าชมของพระอุโบสถคือพระประธานปางมารวิชัย “พระศรีสรรเพชญ์” รายล้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งแปดทิศ หน้าบันไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจกภาพนารายณ์ทรงครุฑยุดนาค แวดล้อมด้วยเทวดาเหาะด้านละสามองค์ กับลายเทพพนมอยู่เหนือขึ้นไป พื้นเป็นลายใบเทศก้านต่อดอก และใบสีมาจำหลักภาพครุฑยุดนาค ที่ติดตั้งไว้บนผนังอุโบสถ แปลกไม่เหมือนที่อื่น
ใบเสมารูปครุฑยุดนาคติดบนมุมของอุโบสถ เป็นรูปแบบที่แปลกจากอุโบสถทั่วไป |
พระวิหาร สิ่งน่าชมคือหน้าบันพระวิหารเป็นตราพระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยอักษรย่อ ร.จ.บ.ต.ว.ห.จ.อันมีความหมายว่า เราจะบำรุงตระกูลวงศ์ให้เจริญ ที่จัดทำขึ้นในการบูรณะสมัยรัชกาลที่ ๕ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปห้าองค์ มีพระศรีศากยมุนีเป็นพระประธาน สิ่งน่าสนใจคือศิลาจารึกดวงชะตาการสร้างวัด เดิมติดอยู่ที่แท่นพระประธานเดิมเมื่อยังเป็นวัดสลัก
หลวงพ่อหิน พระประธานอวค์เดิมของวัดสลัก ประดิษฐานในวิหารเป็นหนึ่งในห้าพระพุทธรูปประธาน |
ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปห้าองค์ โดยมี “หลวงพ่อหิน” เป็นหนึ่งในห้าพระประธานในพระวิหารนี้ โดยรอบจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโบราณวัตถุอันทรงคุณค่า เช่น ตาลปัตรโบราณ ไว้ในตู้ไม้กรุกระจก ด้านหลังองค์พระประธานยังจัดแสดงพระแท่นที่ประทับของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเอาไว้อีกด้วย
พระปรางค์บรรจุอัฐิของสมเด็จพระสังฆราช |
พระเจดีย์และพระปรางค์ บริเวณพระระเบียงทางด้านเหนือพระวิหารและด้านใต้ของพระอุโบสถ เป็นที่ตั้งของเจดีย์ด้านละองค์ พระปรางค์ด้านละองค์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ เดิมทั้งหมดหุ้มด้วยแผ่นดีบุก ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้นำแผ่นดีบุกออก ส่วนพระปรางค์องค์ใหญ่ด้านหน้าพระมณฑปสององค์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๒ บรรจุอัฐิธาตุของสมเด็จพระสังฆราช (ศุข) และสมเด็จพระสังฆราช (มี)
วิหารโพธิลังกา |
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ |
พระวิหารน้อยโพธิลังกา สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เคยเป็นตำหนักที่ประทับของพระองค์เมื่อครั้งทรงผนวช ตั้งอยู่ทางตะวันออกของต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ สมเด็จพระวันรัต (เขมจารี) เมื่อครั้งยังเป็นพระพิมลธรรม ได้ปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งหลัง ที่ควรชมและสักการะคือ “พระนาก” พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงถวายให้ประดิษฐานเป็นพระประธานในวิหารน้อยนี้
พระบวรราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท |
พระบวรราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ประติมากรรมขนาดเท่าครึ่ง ประทับยืนบนเกย พระหัตถ์ทั้งสองยกพระแสงดาบเป็นท่าจบเป็นพุทธบูชา หันพระพักตร์ออกสู่สนามหลวง สมาคมศิษย์เก่าวัดมหาธาตุสร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ผู้ทรงสถาปนาวัดมหาธาตุ ตั้งอยู่ด้านหน้าพระวิหารน้อยโพธิลังกา ภายในบรรจุเนื้อดินจากแว่นแคว้นที่พระองค์เสด็จกรีธาทัพเข้ายึดครองรวมทั้งสิ้น ๒๘ แห่ง ไว้ใต้ฐาน
ในปีนี้เนื่องในวโรกาสที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร มีอายุครบรอบ ๓๓๘ ปี ทางวัดได้มีการจัดงานสมโภชพระอารามขึ้นในระหว่างวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๗ ซึ่งเป็นการจัดงานสมโภชครั้งแรกในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ โดยในงานจัดให้มีการเจริญพระพุทธมนต์ นั่งสมาธิ สวดมนต์ข้ามปี การเสวนาทางวิชาการ มหรสพต่าง ๆ เช่น การแสดงดนตรี การแสดงทางวัฒนธรรม ได้แก่ โขน รำไทย ลิเก กลองสะบัดไชย และโนราห์ การออกร้านค้าตลาดย้อนยุค
คู่มือนักเดินทาง
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมท้องสนามหลวง ถนนท่าพระจันทร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา ๐๗.๓๐-๑๘.๐๐ นาฬิกา ไม่เสียค่าเข้าชม