วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เก็บภาพประทับใจกับสถานที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นในความทรงจำ

เผยแพร่ครั้งแรกโดย  ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๙  





 "...เก็บตะวันที่เคยส่องฟ้า เก็บเอามาเก็บไว้ในใจ เก็บพลังเก็บแรงแห่งแสงยิ่งใหญ่ รวมกันไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว..."
       
                                                                               เพลง"เก็บตะวัน" ของอิทธิ พลางกูร

       
       ดวงตะวัน นอกจากจะเก็บไว้ในภาพถ่ายแล้ว การเก็บดวงตะวันไว้ในดวงใจ ถือเป็นความทรงจำอันเพริศแพร้วอย่างหนึ่ง
       
ยิ่งดวงอาทิตย์อันงดงามกลมโตของอรุณรุ่งเบิกฟ้ายามหน้าหนาวยิ่งวิจิตรงดงาม แถมยังแฝงไว้ด้วยปรัชญาและความท้าทายสำหรับผู้ที่ค้นพบมัน
       
ในเมืองไทยมีสถานที่ชมพระอาทิตย์อันสวยงามและขึ้นชื่อมากมาย นักเดินทางแต่ละคนจึงเลือกสถานที่เก็บตะวันไว้ในจิตใจและในความทรงจำที่แตกต่างกันออกไป



พระอาทิตย์ขึ้น ริมทะเลอีกหนึ่งความงามที่ชวนสัมผัส       

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์ นักเขียนและช่างภาพจากอนุสาร อ.ส.ท. หนึ่งในผู้เดินทางไปสัมผัสความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวมาแล้วมากมาย กล่าวถึงสถานที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามในเมืองไทย ว่า มีหลากหลายสถานที่ อย่างจุดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมไปชมพระอาทิตย์ขึ้นก็คือ ที่ผาชนะได อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ที่นับว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยอีกจุดหนึ่ง
       
       "พระอาทิตย์ขึ้นที่ผาชนะไดสวยงาม เพราะจะมีแม่น้ำโขงไหลผ่าน มันเป็นจุดที่ตอนเช้าๆ เวลาพระอาทิตย์ขึ้น จะมีทะเลหมอกข้างล่างด้วย ซึ่งเกิดจากความชื้นจากแม่น้ำโขงขึ้นมา และอากาศก็จะเย็น มีทั้งพระอาทิตย์และมีทะเลหมอกอยู่ข้างๆ มันจะสวยและน่าประทับใจมาก" ภาคภูมิบอก

แต่เมื่อถามว่ามีสถานที่ไหนในความรู้สึกของเขาที่คิดว่าพระอาทิตย์ขึ้นสวยที่สุดแล้วนั้น ภาคภูมิใช้เวลาคิดสักนิด ก่อนที่จะตอบออกมาว่า "อุทยานแห่งชาติหาดขนอม" หมู่เกาะทะเลใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นสถานที่ที่เขายกให้เป็นเบอร์หนึ่ง โดยความประทับใจที่มีต่อพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ ภาคภูมิบอกว่ามันเป็นมุมมองที่แตกต่างออกไปจากที่เคยเห็นมาทั่วๆ ไป
       
       "ความรู้สึกคือมันสวยมาก มันแปลกตาจากทั่วๆ ไป คือแตกต่างจากที่เคยไปมาหลายๆที่ ความรู้สึกที่มันเคยชินกับภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่เราเคยถ่ายเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน อย่างถ่ายที่ภูเขามันก็เป็นภูเขา ก็จะเห็นทิวเขา ถ่ายทะเลมันก็เห็นทะเล เห็นน้ำสะท้อน และพอมาที่หาดขนอมแห่งนี้ มันก็เหมือนกับเอาสองอย่างมารวมกัน แล้วอีกอย่างก็คือไม่ต้องเดินไปไหนกันเลย คือตื่นขึ้นมาก็เห็นเลย เพราะว่าตรงนั้นเป็นจุดบ้านพักและเป็นจุดบริการที่ให้กางเต็นท์ด้วย ไม่ต้องเดินเหมือนผานกแอ่น อันนี้อยู่บนภูเขาตื่นมาปุ๊บมองเห็นเลย แถมเห็นทะเลอีกต่างหาก ได้แบบทูอินวัน" ภาคภูมิบอกความรู้สึก
       
       นอกจากภาคภูมิจะบอกกล่าวถึงสถานที่ชมพระอาทิตย์ที่เขาประทับใจแล้ว เขายังได้มีข้อแนะนำเล็กๆ น้อยๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่คิดจะเดินทางไปชมพระอาทิตย์ขึ้น และต้องการบันทึกภาพประทับใจที่สวยงามนั้นไว้แล้วล่ะก็ ต้องเตรียมขาตั้งกล้องไปด้วย เพราะว่าช่วงที่ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นนั้น แสงยังน้อยอยู่ ถ้าไม่ใช้ขาตั้งกล้องอาจจะถ่ายได้ออกมาไม่สวยนัก

ส่วนข้อคิดทิ้งท้ายที่ภาคภูมิฝากไว้ก็คือ นักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางไปเที่ยวชมพระอาทิตย์ขึ้นยังสถานที่ต่างๆไว้เมื่อไปเที่ยวก็อยากให้ช่วยกันรักษาความสะอาด อย่าทิ้งขยะ เพราะว่าอย่างบางสถานที่พอคนไปชมกันเยอะ พอพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จขยะก็เต็มไปหมดเลย
       
       "ผมอยากจะฝากให้ทุกคนใส่ใจในเรื่องขยะด้วย" ภาคภูมิกล่าว

       

ตะวันรุ่งทอแสงแรกแห่งสยามที่ "โขงเจียม"
       
       ด้าน เกรซ มหาดำรงค์กุล พิธีกรสาวสวยผู้มากไปด้วยความสามารถ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ "๔๐ เส้นทางท่องเที่ยวของคนดัง"ว่าตัวของเกรซเองนั้น มีความประทับใจในจุดชมพระอาทิตย์ใน อ.โขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานีเป็นอย่างมาก
       
       "โดยส่วนตัวแล้ว เกรซ เป็นคนที่ชอบเที่ยวแบบดิบๆ ไม่มีการพัฒนามากจนเกินไป คนไม่เยอะ ไม่ชอบเมืองใหญ่เพราะส่วนใหญ่จะมีลักษณะเหมือนๆกัน พอไปที่จังหวัดอุบลราชธานี รู้สึกว่าใช่เลย มีเสน่ห์มาก บรรยากาศสบายๆ แบบไทยๆ ทิวทัศน์สวยงาม มีแม่น้ำสองสี ที่แม่น้ำมูลสีชาแกมเขียวไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขงสีน้ำตาลอ่อน สองข้างทางที่ขับรถผ่านไปเป็นแปลงข้าวสีเขียวขจี ดูสวยดี"

สำหรับ อำเภอโขงเจียมแห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นเพียงอำเภอเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง จังหวัดอุบลราชธานี อยู่ทางตะวันออกสุดของประเทศไทย แต่ความงดงามของภาพดวงตะวันที่ขึ้นเหนือสายน้ำโขงและภูผาทางฝั่งประเทศลาว เป็นความงามเหนือคำบรรยาย ท้าทายให้ผู้รักบรรยากาศยามเช้าได้เดินทางมาทักทายตะวันก่อนใครในสยาม
       
       นอกจากนี้ เกรซยังได้ถ่ายทอดความรู้สึกไว้ว่า ริมแม่น้ำโขง เป็นพื้นที่โล่งกว้างวิว ทิวทัศน์สวยงาม มีก้อนหินธรรมชาติอยู่เยอะ มีลักษณะเป็นหน้าผา เช่น ผาชนะได ผาหินแตก ผาจ้อมก้อม ผาแดง ผาหินฝน ซึ่งเป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขง บรรยากาศเหมือนกับถูกจัดวางจากธรรมชาติไว้ ข้างหลังจะเป็นต้นไม้สีเขียว อากาศสะอาด และในช่วงเดือนกันยายนถึงมกราคมที่นี่ยังจะสามารถชมทะเลหมอกสีขาวหนาฟูอยู่สุดสายตาได้อีกด้วย
       
       "เกรซรู้สึกว่า คนเราทำงานเหนื่อยขนาดไหนก็เอาไปไม่ได้ น่าจะให้รางวัลกับตัวเองบ้าง อย่างน้อยได้เห็นบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยจริงๆ สักครั้ง ที่นี้เราจะเห็นพระอาทิตย์ได้นานกว่าที่อื่น และดวงใหญ่มาก ทุกนาทีแสงและสีที่ให้จะไม่เหมือนกัน บรรยากาศจะแตกต่างกัน สีแดงของดวงอาทิตย์ก่อนลับขอบฟ้าที่โขงเจียมจะเป็นสีที่มองได้ ไม่ใช่แดงแบบแสบตา" เกรซถ่ายทอดความประทับใจ

ตะวันแรกแย้มโผล่พ้นทะเล ที่ "อ่าวประจวบฯ"

หันมาทางด้าน วีรศักดิ์ จันทร์ส่งแสง นักเขียนสารคดีฝีมือเยี่ยมจากกองบรรณาธิการนิตยสารสารคดี ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เดินทางท่องเที่ยวมาแล้วหลากหลายสถานที่ โดยเขาได้บอกว่าถ้าให้นึกถึงที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามแล้ว เขานึกถึงสถานที่ที่เคยไปมาแล้ว อย่างภูกระดึง ซึ่งเป็นจุดหลักที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่ายามเช้าที่ผานกแอ่น เป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นสวยงามจุดหนึ่ง

            แต่โดยส่วนตัวของเขาแล้ว เมื่อพูดถึงจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมานั้น เขากลับยกให้ที่ "อ่าวประจวบคีรีขันธ์" จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นอ่าวที่มีลักษณะโค้งสวยงามเป็นสถานที่พักผ่อนยามเย็นของชาวเมือง และนักท่องเที่ยวมักมาเฝ้าชมดวงอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าตรู่ที่นี่ เพราะเป็นทัศนียภาพที่สวยงามมาก
       
       "ถ้าพระอาทิตย์ขึ้นที่เห็นแล้วมันสวยที่สุดก็คือที่อ่าวประจวบคีรีขันธ์ ที่อยู่ข้างๆ เมืองประจวบนั่นเอง เป็นที่ท่องเที่ยวค่อนข้างจะธรรมดาอยู่ใกล้ๆ เมือง ปกติเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมือนเป็นสวนสาธารณะของชาวประจวบคีรีขันธ์ โดยเมื่อประมาณปี 2540 ผมไปกางเต็นท์นอนอยู่ที่อ่าวประจวบ และได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยมาก ซึ่งอาจจะเป็นช่วงเวลาที่มันประจวบเหมาะมาก พอตื่นเช้ามานี่ฟ้ามันเป็นริ้วเป็นสีสันที่แปลกและสวย คิดว่าสวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นมา มันเป็นริ้วแสงสีต่างๆ บนขอบฟ้าด้านตะวันออกก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น เป็นยามเช้า เป็นรุ่งอรุณสวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในชีวิตเลย ในเช้าวันนั้น
       
       นอกจากนี้วีรศักดิ์ยังมีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่คิดอยากจะชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามในยามเช้า ว่าอย่างแรกต้องตื่นแต่เช้า ต้องไม่ขี้เกียจที่จะตื่นเช้า เพราะถ้าตื่นเช้าก็จะไปทันดูพระอาทิตย์ขึ้น ส่วนอีกเรื่องที่เขาอยากจะฝากไว้ก็คือ เรื่องของมารยาท การต้องมีมารยาทในเรื่องการใช้สถานที่ และเรื่องเสียง
       
       "ช่วงหลังผมสังเกตเห็นว่าบางทีคนที่บันทึกภาพพระอาทิตย์ขึ้น เขาบันทึกเป็นภาพวีดีโอด้วย และเก็บเสียงด้วย ซึ่งเสียงของยามเช้านี่ถ้าตามธรรมชาติแล้วมันอาจจะมีเสียงน้ำค้าง เสียงนกร้อง แต่ถ้าเราไปโหวกเหวกเสียงดังมันก็จะเป็นการรบกวนคนอื่น แทนที่จะได้ซึมซับบรรยากาศยามเช้าของวันใหม่ด้วยความสงบเงียบได้อย่างเต็ม ก็กลับต้องมาได้ยินเสียงโหวกเหวกแทน 

ครั้นถามวีรศักดิ์ว่าในความคิดเห็นของเขา คิดว่าการชมพระอาทิตย์ที่สวยงามนั้น เรื่องของสถานที่ชมมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เรื่องนี้เขาตอบว่า เรื่องการดูพระอาทิตย์ขึ้นในความรู้สึกของตัวเขาเอง คิดว่าเรื่องของจังหวะเวลามีความสำคัญกว่าสถานที่เสียอีก เพราะในเรื่องของสถานที่นั้น ถ้าบางครั้งอยู่ในสถานที่ที่ดี แต่ก็อาจเห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่ไม่สวยนักก็เป็นได้
       
       "ในความเป็นจริงแล้วถ้าเป็นความจงใจที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ดูที่ไหนมันก็สวยทั้งนั้น ถ้าเรามีความพร้อม ความพร้อมคือความโล่งในเรื่องของจิตใจ ความปลอดโปร่งที่จะไปเที่ยวชมธรรมชาติ ผมเลยรู้สึกว่ามันพูดยากที่จะบอกว่าไปดูพระอาทิตย์ที่ไหนดี เพราะที่ไหนก็ได้ ถ้าเราพร้อม ณ เวลานั้น อย่างถ้าแม้อยู่ที่กรุงเทพฯ เราก็สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามได้ แต่อาจจะเห็นยากนิดหน่อย ตรงที่มีตึกเยอะ ตึกมาบัง ผมเคยเห็นอยู่หลายครั้งเหมือนกันที่บริเวณกลางทุ่งโล่งๆ จะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นกลางทุ่ง อย่างทุ่งแถวปทุมธานี หรือทุ่งแทบภาคอีสาน มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในลิสต์อันดับของสถาบันใดๆ เลย ไม่จำเป็นต้องเป็นภูเขา ขึ้นไปเหนือสุดถึงจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยๆ"
       
       ไม่เพียงได้รับความงามจากการชมพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น แต่วีรศักดิ์ยังได้ฝากข้อคิดแฝงปรัชญาไว้ด้วย ว่า
       
       "ถ้าเราลุกขึ้นมาชมตะวัน อย่างหนึ่งที่จะได้ก็คือ เราจะได้ตื่นเช้า ซึ่งผมรู้สึกว่าสิ่งนี้มันสอดคล้องกับชีวิตคน ชีวิตคนเราโดยธรรมชาติมันต้องดำรงชีวิตและดูโลกและทำงานในเวลากลางวัน ถ้าเราลุกขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นทัน อย่างหนึ่งที่เราได้คือได้ตื่นเช้า แบะได้เวลาในช่วงกลาวันที่มันยาวนานและสอดคล้องกับสภาพตามธรรมชาติของชีวิตคนเรา ทีนี้ถ้าเราตื่นเช้าพอถึงเย็นเราใช้ชีวิตมาทั้งวันมันก็พอดีตามสภาพธรรมชาติ แต่ถ้าเราตื่นสาย เราก็ทำงานล่วงไปถึงยามค่ำยามดึก ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วตะวันที่เราชมมันคือแหล่งพลังงาน เพราะนั้นถ้าเราอยู่ช่วงกลางวันกับมัน เราก็จะได้รับพลังงาน และก็ใช้พลังงานนั้นในกิจวัตรประจำวัน แต่ว่าถ้าเราไปตื่นสาย และใช้เวลาลางไปตอนกลางคืน เราก็ต้องใช้พลังงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่พลังงานตามธรรมชาติในการใช้ชีวิตในการทำงาน มันก็ต้องไปเบียดเบียนโลกไปสร้างความไม่สมดุลให้กับโลก อย่างเช่นการต้องใช้ไฟฟ้า การต้องสร้างเขื่อนเพื่อเป็นแหล่งพลังงาน สร้างโรงไฟฟ้าอะไรแบบนี้
       
       "เมื่อเราดูพระอาทิตย์ขึ้นเราอาจจะระลึกถึงสิ่งเหล่านี้บ้างก็ดี ว่านอกจากเราชมมันในฐานะของความงามแล้ว ก็อยากให้ระลึกไปถึงสิ่งนั้นในฐานนะแหล่งพลังงานสำหรับชีวิตเราด้วย"
วีรศักดิ์ ให้ข้อคิดดีๆทิ้งท้าย

๕ จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่น่าสนใจ



       

       ๑ "อุทยานแห่งชาติภูกระดึง" จังหวัดเลย มีจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่มีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขานกันในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งหลาย ว่าถ้ามาที่ภูกระดึงแล้วอยากชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงาม ก็ต้องพากันมาที่ "ผานกแอ่น" ซึ่งเป็นลานหินเล็กๆ เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงาม ยามที่พระอาทิตย์ทอแสงพ้นขอบฟ้าขึ้นมาตัดกับทิวเขาและท้องทุ่งที่อยู่เบื้องล่างเป็นภาพที่งดงาม และยังจะได้สัมผัสกับอากาศที่เย็นสบายๆ อีกต่างหาก ซึ่งผู้ที่จะไปชมประอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ควรเตรียมไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางไปด้วย
       



       ๒ "อุทยานแห่งชาติผาแต้ม" จ. อุบลราชธานี ตรงบริเวณลานหินอุทยานแห่งชาติผาแต้ม จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทาง มารอชมเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นทอแสงโผล่พ้นจากทิวเขาด้านทิศตะวันออกซึ่งอยู่ในเขตประเทศลาว ตัดกับภาพท้องฟ้าอันสดใส และวิวของแม่น้ำโขงที่ไหลผ่าน เป็นภาพที่สร้างความประทับใจเป็นอย่างมากแก่ผู้ที่ได้เดินทางมาเที่ยวชม นอกจากนี้ยังมี "ผาชนะได" บริเวณป่าดงนาทามเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นแห่งแรกในเมืองไทย
       
       ๓ "อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง" มีจุดชมพระอาทิตย์ที่สวยงามอยู่ตรงจุดชมวิวบริเวณห้วยน้ำดัง (ดอยกิ่วลม) อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามและมีชื่อเสียง ในยามเช้าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจำนวนมากมาคอยชมพระอาทิตย์ขึ้นโผล่พ้นทิวเขาที่สลับซับซ้อน และมีทะเลหมอกให้ชมด้วย
       
       ๔ "ภูชี้ฟ้า" จ.เชียงราย เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โดดเด่น ด้วยลักษณะของภูชี้ฟ้า ที่เป็นหน้าผามีปลายยอดแหลมชี้เข้าไปยังฝั่งประเทศลาว บนยอดภูชี้ฟ้า ถือว่าเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น และจุดชมทะเลหมอกที่สวยงาม ในตอนเช้าจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมารอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ ยามเมื่อพระอาทิตย์โผล่ขึ้นผ่านพ้นขอบฟ้าขึ้นมา ก็จะได้เห็นภาพเห็นของพระอาทิตย์ทอแสงฉายสว่างอาบภูชี้ฟ้า และเบื้องล่างอบอวลไปด้วยสายหมอกอันขาวโพลนเป็นภาพที่งดงามมาก
       
       ๕ "ดอยอ่างขาง" จ. เชียงใหม่ มีจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นอยู่ที่ จุดชมวิวขอบด้ง ซึ่งในช่วงฤดูหนาวจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมารอชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกยามเช้ากันอย่างแหนงแน่น และยังมีจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นอีกหนึ่งที่จุดชมวิวกิ่วลม ตรงจุดนี้สามารถชมวิวได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตก หรือทะเลหมอก และสามารถมองเห็นวิวทิวเขารอบด้าน และหากฟ้าเปิดจะมองเห็นสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ท่องเทวาลัยในแดนล้านนา

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร "สารใจ" 



 หน้าหนาวต้องขึ้นเหนือ...ดูจะเป็นสูตรในการเดินทางท่องเที่ยวที่ท่องกันจนขึ้นใจในหมู่ผู้ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยว   สายลมหนาว ทิวเทือกเขา ผืนป่า และวัดวาอารามที่งดงามตามแบบล้านนาโบราณ รวมไปถึงบรรยากาศแวดล้อมอันสงบงาม ยังคงความประทับใจทุกครั้งที่ได้มาเยือน

แต่ก็นั่นแหละครับ บางครั้งคนเราก็อยากเห็นอะไรที่แปลกแตกต่างออกไปบ้าง (รวมทั้งผมด้วย)

 มาเชียงใหม่ครั้งล่าสุดนี่ ผมก็เลยลองขับรถดูอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อยไป จนกระทั่งไปเจอสถานที่อีกแห่งน่าสนใจ เอามาเล่าให้คุณผู้อ่านฟัง เผื่อจะมีใครมาเชียงใหม่แล้วอยากจะลองไปเยี่ยมชมเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง


สถานที่น่าสนใจที่ว่าไม่ใช่ธรรมดาครับ เพราะว่าเป็นเสมือนเทวาลัยในตัว แน่ะ น่าสนใจแล้วใช่ไหมละครับ นั่นก็คือ “พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ” ไม่ต้องบอกก็คงรู้จักกันดีอยู่แล้ว ว่าพระพิฆเนศวรนั้นเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งของศาสนาฮินดู เป็นโอรสของพระอิศวรและพระอุมาเทวี   มีรูปกายเป็นมนุษย์ มีเศียรเป็นช้างทุกคนเคารพนับถือท่านในฐานะเทพเจ้าแห่งความสำเร็จในทุกศาสตร์และศิลป์

ผมขับรถไปเห็นป้ายบอกทางไปพิพิธภัณฑ์แถว ๆ อำเภอหางดงเข้าครับ เลยขับตามป้ายที่มีอยู่เป็นระยะไปเรื่อย ๆ  ไปจนถึงอำเภอสันป่าตอง เลี้ยวเข้าซอย ลดเลี้ยวตามถนนเล็ก ๆ ผ่านท้องทุ่งนาเขียวขจีและชุมชนบ้านเรือนแบบชนบทพักใหญ่พบเข้ากับกลุ่มอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์บาหลี โดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางร่มเงาไม้อันร่มครึ้ม จอดรถเดินเข้าไปภายในร่มรื่น  ไม่ว่าจะเป็นซุ้มประตู หรือแนวรั้วอิฐ ประดับประดาด้วยประติมากรรมอัปสรแบบขอม ยังมีรูปช้างและเทพเจ้าต่าง ๆ เรียงราย บรรยากาศแวดล้อมขรึมขลังน่าเลื่อมใสอย่างบอกไม่ถูกครับ


ตามประวัติว่าผู้สร้างพิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศแห่งนี้คือคุณปัณฑร ทีรคานนท์ หรือ “คุณไมค์” เห็นเขาว่าเป็นคนกรุงเทพฯ แท้ ๆ ครับ แต่ขึ้นมาประกอบอาชีพอยู่ที่เชียงใหม่ สนใจศึกษาเรื่องราวของพระพิฆเนศ อย่างชนิดเจาะลึกมานานกว่า ๓๐ ปี โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากเทวรูปพระพิฆเนศองค์เล็ก ๆ ขนาดพระเครื่องห้อยคอที่คุณพ่อให้ เมื่อตอนอายุ ๑๙  ปี  

จากความชื่นชอบในความแปลกของพระพิฆเนศที่มีเศียรเป็นช้างในตอนแรก ค่อย ๆ พัฒนามาศึกษาเรียนรู้ ค้นคว้าจากตำรับตำรา ซึ่งในสมัยก่อนยังไม่มีอินเทอร์เน็ตเหมือนทุกวันนี้ ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก กว่าจะได้ข้อมูล  ทั้งศึกษาจากตำราภาษาอังกฤษ รวมไปถึงภาษาฮินดู  ยิ่งศึกษายิ่งศรัทธา คุณไมค์ถึงขนาดลงทุนเดินทางไปศึกษาหาข้อมูลในประเทศอินเดียครั้งละหลายๆ เดือน แต่ละครั้งก็ได้เทวรูปพระพิฆเนศในรูปแบบต่าง ๆ หลายยุคหลายสมัย ไว้มากมายนับเป็นพันองค์เห็นจะได้ 

พรรคพวกเพื่อนพ้อง ตลอดจนผู้สนใจ พอรู้ข่าวว่าที่บ้านคุณไมค์สะสมพระพิฆเนศไว้เยอะขนาดนั้น  ก็มักจะมาขอชมกันอยู่บ่อย ๆ บ้างก็มาขอคำแนะนำเรื่องการบูชาเทวรูปพระพิฆเนศ จนคุณไมค์เห็นว่าบ้านชักจะคับแคบเกินไปแล้วในการต้อนรับผู้ศรัทธาที่มาเยือน เลยตัดสินใจมาซื้อที่ดิน ๕ ไร่ กลางทุ่งนาในกิ่งอำเภอดอยหล่อ สร้างเป็นเรือนไม้แบบง่ายๆ ให้เข้ากับชุมชนและธรรมชาติโดยรอบ ตั้งขึ้นเป็น พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ ในปี ๒๕๔๗  ซึ่งต้องถือว่าเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในเชียงใหม่ (และในประเทศไทยด้วยกระมัง เพราะผมเองก็ยังไม่เคยเห็นมีที่ไหนอีก)   

ผู้ศรัทธาเลื่อมใสพระพิฆเนศที่ทราบข่าว พากันแวะเวียนมาชม มาสักการะ และร่วมประกอบพิธีกรรมต่างๆ ที่พิพิธภัณฑ์ฯ จัดขึ้น  หลายคนก็มาศึกษาหาความรู้กันอย่างจริงจัง จนทุกวันนี้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นประจำทุกวันไม่ขาดสาย และนับวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนผมมานี่ก็มีนักท่องเที่ยวและผู้ศรัทธามากันเป็นระยะ ๆ




เดินผ่านซุ้มประตูเข้าไป บนลานมีเวทีประดิษฐานเทพประจำราศีดาวนพเคราะห์ต่าง ๆ  ใกล้กันเป็นเป็นอาคารบูชา สำหรับจัดกิจกรรมสาธิตการประกอบพิธีบูชาองค์พระพิฆเนศ ภายในอาคารมีเทวรูปพระพิฆเนศประดิษฐานร่วมกับครอบครัว เห็นเขาว่ากันว่าเป็นแห่งเดียวในโลกเสียด้วยนาครับ เพราะที่ประเทศอื่น ๆ จะไม่นำมาไว้รวมกันเป็นครอบครัวอย่างนี้

ใต้ต้นไม้ที่ร่มรื่นเรียงรายยังประดิษฐานเทวรูปเทพองค์อื่น ๆ ไว้  กึ่งกลางลานมีสระน้ำใหญ่พร้อมน้ำพุ เบื้องหลังเป็นเทวาลัย ภายในประดับประดาด้วยสัญลักษณ์ ถ่ายทอดความเชื่อถึงโลกอันเป็นที่ประทับขององค์พระพิฆเนศ อย่างเช่น พื้นเทวาลัยเป็นลายดอกบัว สื่อถึงน้ำหรือมหาสมุทร ส่วนฐานสี่เหลี่ยมกลางเทวาลัย สื่อถึงเกาะอันเป็นที่ประทับขององค์พระพิฆเนศ

ตามทิศต่าง ๆ  รอบพิพิธภัณฑ์ ได้สร้างเทวสถาน ประดิษฐานรูปจำลองหินที่มีรูปลักษณ์เป็นองค์พระพิฆเนศซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ   ๘ แห่ง ในประเทศอินเดียที่เมืองมุมไบและเมืองปูเน เพื่อให้ผู้ศรัทธาเลื่อมใสในเมืองไทย ได้มีโอกาสสักการะบูชาขอพรได้สะดวกขึ้น


ผ่านร้านขายเครื่องดื่ม เดินต่อผ่านซุ้มประตู  เข้าไปด้านในอันเป็นที่ตั้งของตัวอาคารพิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศซึ่งถือเป็นไฮไลต์  เพราะตรงนี้แหละ ที่จัดแสดงเทวรูปปางต่างๆ ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และ ขนาดใหญ่ เป็นจำนวนนับพันๆองค์  อาคารจัดแสดงสถาปัตยกรรมชั้นเดียวตามแบบของชาวฮินดูในเกาะบาหลี ๒ อาคาร ขนานกันอยู่ด้านซ้าย-ขวา 

ภายในเป็นที่จัดแสดงพระพิฆเณศปางต่างๆ มากมาย ต่างยุคต่างสมัยกัน รวมทั้งหมดประมาณพันกว่าองค์ มี วัสดุที่ใช้สร้างมีสารพัดชนิด ตั้งแต่เนื้อทองคำ เงิน นาก ทองแดง ทองเหลือง แก้ว หิน ดิน ผง ไม้ ฯลฯ โดยมีน้องสาว ๆ คอยเดินตามมาบรรยายข้อมูลของแต่ละชิ้นให้ทราบหรือตอบข้อซักถามสงสัยของผู้มาเยือน อลังการน่าตื่นตามากครับ ถ้าเดินดูกันจริงจังน่าจะอยู่ได้เป็นชั่วโมง เสียดายที่ในบริเวณนี้ห้ามถ่ายภาพ ผมก็เลยไม่มีภาพมาให้ชมกัน อยากเห็นต้องมาดูเองเท่านั้น



            กลับออกมาหน้าส่วนจัดแสดงเป็นอาคารจำหน่ายของที่ระลึก มีเทวรูปตลอดจนเครื่องบูชาและของที่ระลึก ตลอดจนหนังสือหนังหาเกี่ยวกับพระพิฆเนศให้เลือกซื้อได้ ผ่านมาแล้วอย่าลืมแวะเวียนเข้ามาชมกัน

 ทางพิพิธภัณฑ์จัดให้มีพิธีกรรมสักการบูชาพระพิฆเนศ ทุกวันอาทิตย์ เวลา ๑๐.๐๐นาฬิกา และวันสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์พระพิฆเนศ ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์จะมีการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันล่วงหน้า สำหรับผู้ที่มีความศรัทธาสนใจมาก อยากจะร่วมเดินทางไปสักการะพระพิฆเนศที่ประเทศอินเดีย โดยเฉพาะพระพิฆเนศวร ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติทั้ง ๘  แห่งในอินเดีย  ก็มีโครงการนำคณะศรัทธาเดินทางไปประเทศอินเดีย ในแต่ละปีหลายครั้งด้วยกัน สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้



คู่มือนักเดินทาง

พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ ตั้งอยู่ที่เลขที่ ๒๗๗ หมู่ ๑๐ ถนนเชียงใหม่-ฮอด (อินทนนท์) หลักกิโลเมตรที่ ๓๕  ตำบลยางคราม กิ่งอำเภอดอยหล่อ (บนรอยต่ออำเภอสันป่าตอง) จังหวัดเชียงใหม่ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ระหว่างเวลา ๐๙.๐๐- ๑๗.๐๐ นาฬิกา   โทรศัพท์  ๐ ๕๓๒๖ ๙๑๐๑ ,๐๘ ๙๘๕๕ ๕๘๕๒ ,๐๘ ๙๔๓๐ ๔๐๕๐ หรือเปิดหาข้อมูลได้ที่ www.ganeshmuseum.com  หากขับรถจากแยกเซ็นทรัลแอร์พอร์ต ให้วิ่งไปทาง อำเภอหางดง ตรงไปเรื่อยๆ ระยะทางประมาณ ๓๕ กิโลเมตร ผ่าน อำเภอหางดง อำเภอสันป่าตอง ถึงปั๊มบางจาก จะเห็นป้ายพิพิธภัณฑ์อยู่ทางขวามือ


วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รูเดสไฮม์ แม่น้ำ เมืองเก่า ภูเขา และไร่องุ่น

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร "สารใจ" 

 อนุสาวรีย์นีเดอร์วาลโดดเด่นอยู่ท่ามกลางขุนเขาและไร่องุ่น


นั่นไง ๆ ถึงแล้ว สถานีรูเดสไฮม์

สองหนุ่มไทยคือผมกับพี่นิคชี้โบ๊ชี้เบ๊ล้งเล้งกันใหญ่เมื่อเห็นป้ายบอกชื่อสถานีอันเป็นจุดหมายปลายทาง ก่อนจะพากันตาลีตาเหลือกลุกจากที่นั่งหาประตูลงจากรถไฟกันให้จ้าละหวั่น แต่ขนาดนั้นยังเกือบไม่ทันด้วยซ้ำไป เพราะแค่พวกเราก้าวเท้าลงมายืนบนชานชาลาปุ๊ป ยังไม่ ได้ทำอะไร รถไฟก็แล่นออกไปปั๊บ ตรงเวลาดีเหลือเกินรถไฟของดินแดนอินทรีเหล็กเยอรมนี

ครับ ก็ติดอกติดใจกันมาตั้งแต่คราวก่อนที่ไปเมืองไฮเดลเบิร์กนั่นแหละ ทำให้สองสหายเราเลือกที่จะใช้บริการท่องเที่ยวทางรถไฟกันอีกครั้ง โดยในคราวนี้เรามุ่งหน้ามายังเมืองรูเดสไฮม์ (Rudesheim) ที่ว่ากันว่าเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่ง

แน่นอน ใช้สูตรเก่าเหมือนเดิมครับ ออกจากเมืองแฟรงก์เฟิร์ตมาแต่เช้าตรู่ นั่งชมทิวทัศน์สองฟากรางรถไฟเรื่อย ๆ มาถึงเอาตอนแดดยามสายกำลังสวยพอดี มองจากสถานีที่เป็นอาคารเล็ก ๆ  ออกไปแลเห็นตัวเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไรน์   ซึ่งกำลังสะท้อนแสงระยิบระยับโดยมีฉากหลังเป็นทิวเทือกเขาเขียวกับฟ้าครามและริ้วเมฆขาวสบายตา

 วิหารบรอมเซอร์บอร์ก

ตามประวัติบอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปีค.ศ. ๑๐๙๐ สมัยอาณาจักรโรมันโน่น เดิมทีเป็นเมืองชนบทเล็ก    เพิ่งมาเติบโตเป็นเมืองใหญ่เอาในปีค.ศ. ๑๘๒๐ เนื่องจากได้กลายเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียง ด้วยภูมิประเทศและอากาศที่เป็นใจให้กับการปลูกองุ่น วัตถุดิบในการทำไวน์  ซึ่งจุดที่เป็นไฮไลต์อยู่ที่ถนนดรอสเซลกาซเซ่ (Drosselgasse)  ซึ่งกว้าง ๓ เมตร ยาวแค่ ๑๔๔ เมตร แต่ เป็นที่ตั้งของบาร์ไวน์ ๖ แห่ง ให้บริการสารพัดไวน์ท้องถิ่นหลากหลายรสชาติ  ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกนับล้านมาเยือนได้ทุกปี

สองหนุ่มเราเดินเลาะไปตามถนนที่เลียบริมฝั่ง ลมหนาวที่พัดโกรกทำให้ไม่รู้สึกร้อนแม้แดดจัดจ้า  ตึกรามบ้านช่องหลังขนาดกำลังดี เป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร โรงแรม เรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ผ่านพิพิธภัณฑ์ไวน์ไรน์ เกา (Rheingau Wine Museum) อันเลื่องชื่อในหมู่คอไวน์ เพราะเป็นแหล่งรวบรวมประวัติความเป็นมาของการผลิตไวน์ในเมืองรูเดสไฮม์ 

ย่ำต๊อกเรื่อยเปื่อยไปจนถึงท่าเรือ  เห็นป้ายติดเอาไว้ว่ามีบริการเรือทัศนาจรล่องแม่น้ำ ปรึกษากันแล้วเห็นว่าเวลาเรามีน้อย นั่งเรือเที่ยวสบายและได้เห็นทิวทัศน์จริง แต่ก็เห็นอยู่ไกลลิบ  สำคัญที่สุดคือค่าบริการทัศนาจรคิดเป็นเงินไทยก็ไม่ใช่ถูก  สรุปว่าเดินเที่ยวน่าจะได้ทั้งรายละเอียดและบรรยากาศของเมืองอย่างใกล้ชิด รวมทั้งประหยัดสตางค์มากกว่า (ข้อหลังนี่ดูเหมือนจะสำคัญที่สุด )

 บรรยากาศในเมืองครึกครื้นด้วยผู้คน

ตกลงกันดังนั้นแล้วก็เลยพากันเดินเลี้ยวเข้าไปในย่านเมือง ซึ่งเห็นแล้วผมก็ต้องนึกชื่นชมในใจว่าถึงแม้ว่าจะกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดฮิตมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมามากมาย แต่เขาก็ยังรักษาสภาพเมืองเล็ก ๆ แบบเมืองในชนบทในอดีตเอาไว้ค่อนข้างดี  ไม่มีสิ่งก่อสร้างแปลกปลอมผิดยุคผิดสมัยอย่างตึกแถวหรือห้างสรรพสินค้า รวมทั้งป้ายโฆษณาห้างร้าน บังแดด กันสาด ฯลฯ สารพัดสี มาเกะกะให้รกหูรกตาเหมือนอย่างบางประเทศ (อย่าให้บอกเลยว่าประเทศไหน) 

 หน้าต่างเก๋ไก๋ริมทาง

บนถนนแคบ ๆ สองฟากเรียงรายกันด้วยร้านขายของที่ระลึกอยู่ทั่วไป  น่าจะเรียกว่าเป็นซอยละลายทรัพย์ของเยอรมันก็ว่าได้ครับ ย่านนี้ เพราะของที่ระลึกแต่ละอย่างที่วางขายล้วนแล้วแต่ล่อตาล่อใจ ดึงดูดเงินออกจากกระเป๋านักท่องเที่ยวได้ทั้งนั้น  นี่ยังไม่นับร้านอาหารพร้อมดนตรีบรรเลงขับกล่อม และบาร์ไวน์อันเลื่องชื่อที่บอกเอาไว้ตอนต้น (อย่างหลังนี่ยังไงเราก็รอดตัว เพราะว่าผมไม่ดื่ม ส่วนพี่นิคเองก็อยู่ในระหว่างงดเหล้าเข้าพรรษา)

 กระเช้าลอยฟ้าผ่านไร่องุ่น

ตุหรัดตุเหร่ไปมาพลันสายตาสองเกลอเราก็ไปสะดุดเข้ากับรถกระเช้า ที่เรียกในภาษาเยอรมันว่าเซลบาห์น  (Sailbahn) แหงนมองตามสายสลิงและแนวเสาที่ปักเรียงรายลดหลั่นตามแนวเขาก็เห็นว่าเป็นรถกระเช้าสำหรับพานักท่องเที่ยวขึ้นไปบนภูเขาด้านหลังของเมือง แลเห็นอะไรบางอย่างคล้าย ๆ อนุสาวรีย์ตระหง่านอยู่บนยอดไกลลิบ โดยผ่านไปเหนือไร่องุ่นบนลาดไหล่เขาอันเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา เข้าท่าดีเหมือนกัน

เกร่เข้าไปดูราคา โอ้โห แพงไม่ใช่เล่น แค่นั่งขึ้นลง คิดเป็นเงินไทยก็นั่งรถทัวร์ไป-กลับกรุงเทพฯ เชียงใหม่ได้สบาย ๆ เลยละครับ เล่นเอาสองสหายเราต้องเปิดประชุมวิสามัญกันเป็นการด่วน เพราะจะว่าไป การขึ้นรถกระเช้าก็ถือว่าน่าสนุกดีไม่ใช่เล่น จะได้เห็นมุมมองอะไรใหม่ ๆ แปลกหูแปลกตาออกไป  อีกอย่างดูแล้วพื้นที่ในตัวเมืองก็เล็กนิดเดียว จะเดินเที่ยววนเวียนทั้งวันคงไม่ไหว เบื่อตายชัก  เป็นอันว่าสุดท้ายสองเกลอเราเลือกที่จะนั่งรถกระเช้ากัน แต่ซื้อตั๋วเฉพาะขาขึ้นเท่านั้น

ขากลับเราเดินลงก็ได้ เพราะลงเขาไม่เหนื่อยอยู่แล้ว จะได้แวะเข้าไปเที่ยวดูไร่องุ่นด้วย ประหยัดไปตั้งครึ่งพี่นิคชอบใจกับไอเดียที่ลงตัวซื้อตั๋วเสร็จก็พากันต่อแถวขึ้นบันไดไปชั้นบนของอาคารซึ่งเป็นสถานี  รอพักเดียวกระเช้าที่นั่งได้ ๒ คนก็พาเราแหวกสายลมเย็นยะเยือกเหินฟ้าขึ้นไปลอยละล่องอยู่เหนือไร่องุ่นอันไพศาลเขียวขจี 

 มุมมองจากบนกระเช้า
 นักท่องเที่ยวเดินขึ้นเขา

พอได้อยู่บนกระเช้าแล้วก็รู้สึกว่าคุ้มค่าคุ้มราคาขึ้นมาทันทีครับ ด้วยทัศนวิสัยที่เปิดโล่งหันมองได้รอบด้าน ๓๖๐ องศา เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำและตัวเมือง รวมทั้งยอดโดมของวิหารบูเซนเบิร์กที่สร้างตั้งแต่ในราวปี ค.ศ. ๑๒๐๐ เด่นอยู่กลางเมืองเก่าลิบๆ ยิ่งกระเช้าเคลื่อนตัวห่างออกมาตึกรามบ้านช่องที่เห็นยิ่งค่อย ๆ เล็กลงจนแลดูเหมือนเมืองตุ๊กตา กระเช้าลอยเลื่อนสูงขึ้นไป ผ่านไร่องุ่นเบื้องล่างและถนนเล็ก ๆ ที่ตัดผ่านกลางไร่ เห็นนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ กำลังดุ่มเดินขึ้นสู่ยอดเขาเป็นกลุ่มๆ 

เพลิดเพลินกับการนั่งกินลมหนาว ชมวิวภูเขาและไร่องุ่นพักเดียวสองหนุ่มเราก็ขึ้นมาถึงบนยอดเขาโดยสวัสดิภาพ พื้นที่ส่วนนี้ถูกตกแต่งให้เป็นสวนสาธารณะลอยฟ้า เดินตามถนนที่ลาดยางเอาไว้อย่างดีลดเลี้ยวไปในร่มเงาไม้ใหญ่  ริมทางมีอาคารโถงทรงกลมหลังคารูปโดมสำหรับชมทิวทัศน์ มองลงไปเห็นตัวเมืองรูเดสไฮม์ตั้งอยู่ริมน้ำไรน์ได้ชัดเจน ตามขั้นบันไดนักท่องเที่ยวฝรั่งพากันนั่งเอกเขนกอาบแดดเป็นกลุ่ม ๆ  ในขณะเดียวกันก็มีไม่น้อยที่เดินวนเวียนหามุมมองในการถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอย่างขะมักเขม้น  คู่หูไทยเราเลยขอเข้าไปผสมโรงเสียคนละแชะสองแชะ

 นักท่องเที่ยวบนเนินหน้าอนุสาวรีย์

 บางส่วนพากันนั่งอาบแดด

เดินต่อมาอีกหน่อย ก็ออกมาโผล่ตรงกลางลานกว้างอันเป็นจุดสูงสุดของภูเขา อนุสรณ์สถาน นีเดอวาลด์  (Niederwald monument)  ตระหง่านเสียดฟ้าจนสองเราต้องแหงนคอตั้งบ่า  รูปหล่อโลหะอันอลังการบนฐานสูงลิบแห่งนี้ถือเป็นจุดสำคัญของเมืองรูเดสไฮม์ มองเห็นได้แต่ไกล ตอนเราอยู่ในเมืองข้างล่างก็ยังชี้ให้ดูกันอยู่  ตามประวัติว่าเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงชัยชนะของชาวเยอรมนีที่มีต่อกองทัพฝรั่งเศสที่มารุกรานดินแดนแถบนี้  สร้างในปีค.ศ. ๑๘๗๗๑๘๘๓ โดยประติมากรโจฮานน์ ชิลลิง และสถาปนิกชื่อคาร์ล ไวซซ์แบค จากเมืองเดรสเดน  (บอกชื่อมาก็ไม่รู้จักอยู่ดีนั่นแหละ)

 ขนาดอันมหึมาของอนุสาวรีย์นีเดอร์วาล

แอ็คท่าถ่ายภาพกับอนุสาวรีย์ตามธรรมเนียมนักท่องเที่ยวที่ดีต้องมีภาพที่ระลึก  จนพอใจกันแล้วก็พากันไปหยุดยืนดูแผนที่บอกจุดน่าสนใจบนยอดเขาที่เราอยู่ จากตรงนี้ผมเห็นมีเส้นทางเดินกลับลงไปในเมืองได้เลย โดยผ่านไร่องุ่น ระยะทางไม่ไกล แต่พี่นิคอยากเดินอ้อมไปลงด้านหลังของภูเขา ดูว่ามีอะไรให้ทั่วถึง ว่างั้น 

เป็นอันว่าต้องตามใจผู้อาวุโส ออกเดินหน้าตามทางต่อไป ยังดีที่ทางเดินต่อมาร่มครึ้มด้วยต้นไม้ตลอด แม้ตะวันตรงหัวก็ยังเดินได้สบาย ไม่ต้องกลัวแดด ทำเอาสองนักท่องเที่ยวไทยเราเดินชมนกชมไม้เพลินกันไปเลยละครับ ทั้งที่จะว่าไปก็ไม่เห็นมีอะไรมาก อย่างว่าแหละมาต่างถิ่น เห็นอะไรมันก็ดูตื่นตาตื่นใจ น่าตื่นเต้นไปเสียหมด

 ป้ายสื่อความหมายบนเส้นทาง

มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มองดูรอบข้าง แล้วสังเกตเห็นนักท่องเที่ยวเยอรมันแต่งตัวเหมือนเดินป่าสะพายเป้หลังถือไม้เท้า ปีนเขา อีกทั้งรู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างจะเปลี่ยนไป คล้ายกับเข้าสู่เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ต้นไม้เริ่มหนาทึบ ระหว่างทาง ยังมีแผ่นป้ายสื่อความหมาย แสดงระบบนิเวศวิทยาบ้าง พืชพรรณไม้ในท้องถิ่นบ้าง รวมไปถึงข้อมูลแหล่งเพาะพันธุ์ทำรังของนกชนิดต่าง ๆ  ติดอยู่เป็นระยะ ให้อารมณ์คล้าย ๆ เดินอยู่แถว ๆ  ป่าดึกดำบรรพ์บนดอยอินทนนท์ยังไงยังงั้น

 ป้อมหลังเล็กท้ายเขา

ถนนในแนวไม้ทะมึนนำสองหนุ่มเรามาพบว่าเส้นทางสิ้นสุดอยู่หน้าป้อมขนาดเล็กหลังหนึ่ง ขนาดประมาณบ้านสองชั้นหลังใหญ่ ตั้งอยู่ริมหน้าผา เก็บสตางค์ค่าเข้าชมเสียด้วยแน่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่ามีความสำคัญอะไร เพราะอ่านป้ายภาษาเยอรมันไม่ออก  แต่น่าจะไม่ใช่ย่อย เพราะข้างหน้ามีภาพวาดป้อมแห่งนี้สมัยโบราณติดเอาไว้  มองไปนักท่องเที่ยวฝรั่งเดินเข้าเดินออกกันไม่ขาดสาย

 มุมมองจากบนระเบียงป้อม
 นักท่องเที่ยวนั่งตากแดดชมวิวบนระเบียงป้อม
 ห้องโถงภายในป้อมชั้นล่าง

ผมกับพี่นิคมองตากันไปมา  ก่อนกัดฟันตัดสินใจควักกระเป๋าเข้าไปดูให้รู้แน่ ไหน ๆ ก็มาจนถึงนี่แล้วปรากฏว่าชั้นล่างเป็นห้องเล็ก ๆ นอกเหนือจากตู้ โต๊ะ โซฟา เหมือนห้องรับแขกทั่วไป ก็มีบนผนังที่ประดับประดาด้วยเขาสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิด ขึ้นบันไดเวียนไปชั้นบนเป็นดาดฟ้า ก็ไม่มีอะไรอีกนั่นแหละ เห็นแต่นักท่องเที่ยวฝรั่งนั่งกินลมชมวิวทิวทัศน์อาบแดดกันไปคุยกันไป ทว่ายังดีที่มุมมองจากด้านบนนี้เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำไรน์ในมุมกว้าง ภาพของสายน้ำขุ่นเข้มไหลหลากผ่านเทือกเขาสลับซับซ้อนที่ปกคลุมด้วยผืนป่าเขียวขจี ถือว่าพอจะคุ้มค่าบัตรผ่านประตูที่ซื้อไปได้

กลับออกมาจากป้อมมองซ้ายมองขวา  ไม่เห็นถนนที่จะเดินต่อไปได้ มีแค่ทางดินลงเขาเข้าไปในป่า เห็นแต่นักท่องเที่ยวฝรั่งประเภทแบกเป้ถือไม้เท้าทั้งนั้นที่เดินลงไปกัน มองแล้วน่าจะเป็นทางไปแค้มปิงมากกว่า ไม่ใช่ทางลงเขาแล้วอ้อมไปเข้าเมืองได้อย่างที่พี่นิคคิดเอาไว้

ยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาก็ตาเหลือก เพราะล่วงเลยไปมากมาย เหลืออีกไม่ถึง ๒ ชั่วโมง จะต้องกลับไปขึ้นรถไฟให้ทัน ยุ่งละสิครับทีนี้ ต้องพากันจ้ำอ้าวย้อนกลับมาทางเก่า ยังดีที่ผมถ่ายภาพแผนที่ของภูเขาเก็บเอาไว้ในกล้องดิจิตอล เอามาเปิดดูเห็นว่ามีทางลัดตัดลงไปบรรจบกับทางลงเขาเข้าเมืองได้

 นาฬิกาแดดในไร่องุ่้น

 พวงองุ่นเต็มต้น

รู้ทางอย่างนี้พักเดียวสองสหายเราก็มาปร๋อกันอยู่บนถนนเล็ก ๆ ที่ลดเลี้ยวผ่านเข้าไปในไร่องุ่นกว้างใหญ่ มองไกล ๆ เป็นแถวเป็นแนวมีระเบียบ ไร่องุ่นที่นี่เห็นเขาบอกว่าปลูกบนพื้นที่ลาดเอียงกว่า ๖๐ องศาครับ ต้องใช้แรงงานคนในการเก็บผลผลิตเพราะพื้นที่ลาดเอียงมากเอาเครื่องจักรเข้ามาไม่ได้ เดินไปก็เห็นชาวไร่เยอรมันกำลังเก็บผลองุ่นในไร่กัน พอเห็นนักท่องเที่ยวอย่างเราเดินผ่านก็โบกไม้โบกมือทักทาย พี่นิคเลยถือโอกาสเข้าไปขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ชาวไร่ก็ไม่ขัดข้องพากันเข้ามารุมล้อมโอบหลังโอบไหล่กันยังกับรู้จักมานานนับสิบปี อัธยาศัยดีเหลือเกินละครับ

กลับลงมาถึงในเมืองสองคนหิวกันงั่ก เมื่อยขาก็เมื่อย เพราะเดินกันตะบันหลายชั่วโมง มานึกอีกทีนอกจากอาหารเช้าที่โรงแรมในแฟรงก์เฟิร์ต ตั้งแต่มาถึงเรายังไม่ได้กินอะไรกันเลย โซซัดโซเซไปร้านอาหาร กะว่าหาอะไรใส่ท้องนั่งพักแข้งพักขาไปในตัว ทว่าเจ้ากรรมจริง ๆ ครับ แต่ละร้านย่านนี้มีแต่โต๊ะให้ยืนกินทั้งนั้น ไม่มีที่นั่งให้สักร้าน คงกลัวนักท่องเที่ยวมานั่งแช่กันนาน ๆ ทำให้ขายของไม่ได้ (นัยว่ากินแล้วก็ให้รีบ ๆ ไปซะ คนอื่นจะได้มากินบ้าง ) เราสั่งได้แฮมเบอร์เกอร์ คนละอันกับโค้กคนละแก้ว ยืนกินไปก็คิดถึงเมืองไทย เรื่องกินเรื่องอยู่บ้านเราสะดวกสบายกว่าเยอะครับ ขนาดร้านตามข้างถนนยังมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่ง นี่ร้านออกจะหรูหรา ให้ลูกค้ายืนกินกันขาแข็ง

 ตึกรามบ้านช่องหน้าสถานีรถไฟ
เดินกลับมาถึงสถานีรถไฟยังพอมีเวลาเหลือให้เตร็ดเตร่ในร้านค้าในสถานีได้อีก เข้าไปเห็นมีตู้สล็อตแมชีนตั้งเอาไว้ให้ฆ่าเวลาระหว่างรอรถไฟเสียด้วย พี่นิคสั่งโค้กกระป๋อง ผมลองซื้อเครื่องดื่มน้ำผลไม้กล่องใหญ่ที่เห็นเด็กนักเรียนเยอรมันแถวนั้นเดินถือดูดกันคนละกล่องมาลองดูบ้าง รสชาติก็เข้าท่าดีเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ

ที่น่าเอาเป็นตัวอย่างก็คือเวลาเราซื้อเครื่องดื่มกระป๋องหรือเครื่องดื่มกล่อง เขาจะบวกค่าธรรมเนียมขยะเข้าไปด้วย พอเรากินหมดแล้วเอากระป๋องหรือกล่องไปให้ที่เคาน์เตอร์ก็จะได้เงินค่าธรรมเนียมคืนมา มิน่าบ้านเมืองเขาถึงสะอาดสะอ้านไม่ค่อยมีขยะให้เห็น ความจริงบ้านเราก็น่าเอาอย่างบ้างเหมือนกัน ง่าย ๆ แค่นี้ ทำได้เมื่อไหร่แหล่งท่องเที่ยวไทยคงปลอดขยะ ในเมื่อไม่มีใครทิ้ง ก็ไม่ต้องมารณรงค์เก็บเมืองไทยให้สวยงามอะไรให้เหนื่อย เสียค่าโฆษณา


ขึ้นรถไฟได้สองหนุ่มไทยเราไชโยโห่ฮิ้วกันเป็นการใหญ่ ไม่ใช่อะไรหรอกครับจะได้นั่งพักแข้งขากันเสียที นั่งรถไฟเที่ยวนี่อะไรก็ดีหมดครับเสียอย่างเดียวตอนลงไปแล้วต้องเดินนี่แหละ...เมื่อยมาก  

             แต่ไม่เข็ดหรอก เชื่อไหมล่ะ