วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ท่องเทวาลัยในแดนล้านนา

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร "สารใจ" 



 หน้าหนาวต้องขึ้นเหนือ...ดูจะเป็นสูตรในการเดินทางท่องเที่ยวที่ท่องกันจนขึ้นใจในหมู่ผู้ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยว   สายลมหนาว ทิวเทือกเขา ผืนป่า และวัดวาอารามที่งดงามตามแบบล้านนาโบราณ รวมไปถึงบรรยากาศแวดล้อมอันสงบงาม ยังคงความประทับใจทุกครั้งที่ได้มาเยือน

แต่ก็นั่นแหละครับ บางครั้งคนเราก็อยากเห็นอะไรที่แปลกแตกต่างออกไปบ้าง (รวมทั้งผมด้วย)

 มาเชียงใหม่ครั้งล่าสุดนี่ ผมก็เลยลองขับรถดูอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อยไป จนกระทั่งไปเจอสถานที่อีกแห่งน่าสนใจ เอามาเล่าให้คุณผู้อ่านฟัง เผื่อจะมีใครมาเชียงใหม่แล้วอยากจะลองไปเยี่ยมชมเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง


สถานที่น่าสนใจที่ว่าไม่ใช่ธรรมดาครับ เพราะว่าเป็นเสมือนเทวาลัยในตัว แน่ะ น่าสนใจแล้วใช่ไหมละครับ นั่นก็คือ “พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ” ไม่ต้องบอกก็คงรู้จักกันดีอยู่แล้ว ว่าพระพิฆเนศวรนั้นเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งของศาสนาฮินดู เป็นโอรสของพระอิศวรและพระอุมาเทวี   มีรูปกายเป็นมนุษย์ มีเศียรเป็นช้างทุกคนเคารพนับถือท่านในฐานะเทพเจ้าแห่งความสำเร็จในทุกศาสตร์และศิลป์

ผมขับรถไปเห็นป้ายบอกทางไปพิพิธภัณฑ์แถว ๆ อำเภอหางดงเข้าครับ เลยขับตามป้ายที่มีอยู่เป็นระยะไปเรื่อย ๆ  ไปจนถึงอำเภอสันป่าตอง เลี้ยวเข้าซอย ลดเลี้ยวตามถนนเล็ก ๆ ผ่านท้องทุ่งนาเขียวขจีและชุมชนบ้านเรือนแบบชนบทพักใหญ่พบเข้ากับกลุ่มอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์บาหลี โดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางร่มเงาไม้อันร่มครึ้ม จอดรถเดินเข้าไปภายในร่มรื่น  ไม่ว่าจะเป็นซุ้มประตู หรือแนวรั้วอิฐ ประดับประดาด้วยประติมากรรมอัปสรแบบขอม ยังมีรูปช้างและเทพเจ้าต่าง ๆ เรียงราย บรรยากาศแวดล้อมขรึมขลังน่าเลื่อมใสอย่างบอกไม่ถูกครับ


ตามประวัติว่าผู้สร้างพิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศแห่งนี้คือคุณปัณฑร ทีรคานนท์ หรือ “คุณไมค์” เห็นเขาว่าเป็นคนกรุงเทพฯ แท้ ๆ ครับ แต่ขึ้นมาประกอบอาชีพอยู่ที่เชียงใหม่ สนใจศึกษาเรื่องราวของพระพิฆเนศ อย่างชนิดเจาะลึกมานานกว่า ๓๐ ปี โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากเทวรูปพระพิฆเนศองค์เล็ก ๆ ขนาดพระเครื่องห้อยคอที่คุณพ่อให้ เมื่อตอนอายุ ๑๙  ปี  

จากความชื่นชอบในความแปลกของพระพิฆเนศที่มีเศียรเป็นช้างในตอนแรก ค่อย ๆ พัฒนามาศึกษาเรียนรู้ ค้นคว้าจากตำรับตำรา ซึ่งในสมัยก่อนยังไม่มีอินเทอร์เน็ตเหมือนทุกวันนี้ ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก กว่าจะได้ข้อมูล  ทั้งศึกษาจากตำราภาษาอังกฤษ รวมไปถึงภาษาฮินดู  ยิ่งศึกษายิ่งศรัทธา คุณไมค์ถึงขนาดลงทุนเดินทางไปศึกษาหาข้อมูลในประเทศอินเดียครั้งละหลายๆ เดือน แต่ละครั้งก็ได้เทวรูปพระพิฆเนศในรูปแบบต่าง ๆ หลายยุคหลายสมัย ไว้มากมายนับเป็นพันองค์เห็นจะได้ 

พรรคพวกเพื่อนพ้อง ตลอดจนผู้สนใจ พอรู้ข่าวว่าที่บ้านคุณไมค์สะสมพระพิฆเนศไว้เยอะขนาดนั้น  ก็มักจะมาขอชมกันอยู่บ่อย ๆ บ้างก็มาขอคำแนะนำเรื่องการบูชาเทวรูปพระพิฆเนศ จนคุณไมค์เห็นว่าบ้านชักจะคับแคบเกินไปแล้วในการต้อนรับผู้ศรัทธาที่มาเยือน เลยตัดสินใจมาซื้อที่ดิน ๕ ไร่ กลางทุ่งนาในกิ่งอำเภอดอยหล่อ สร้างเป็นเรือนไม้แบบง่ายๆ ให้เข้ากับชุมชนและธรรมชาติโดยรอบ ตั้งขึ้นเป็น พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ ในปี ๒๕๔๗  ซึ่งต้องถือว่าเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในเชียงใหม่ (และในประเทศไทยด้วยกระมัง เพราะผมเองก็ยังไม่เคยเห็นมีที่ไหนอีก)   

ผู้ศรัทธาเลื่อมใสพระพิฆเนศที่ทราบข่าว พากันแวะเวียนมาชม มาสักการะ และร่วมประกอบพิธีกรรมต่างๆ ที่พิพิธภัณฑ์ฯ จัดขึ้น  หลายคนก็มาศึกษาหาความรู้กันอย่างจริงจัง จนทุกวันนี้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นประจำทุกวันไม่ขาดสาย และนับวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนผมมานี่ก็มีนักท่องเที่ยวและผู้ศรัทธามากันเป็นระยะ ๆ




เดินผ่านซุ้มประตูเข้าไป บนลานมีเวทีประดิษฐานเทพประจำราศีดาวนพเคราะห์ต่าง ๆ  ใกล้กันเป็นเป็นอาคารบูชา สำหรับจัดกิจกรรมสาธิตการประกอบพิธีบูชาองค์พระพิฆเนศ ภายในอาคารมีเทวรูปพระพิฆเนศประดิษฐานร่วมกับครอบครัว เห็นเขาว่ากันว่าเป็นแห่งเดียวในโลกเสียด้วยนาครับ เพราะที่ประเทศอื่น ๆ จะไม่นำมาไว้รวมกันเป็นครอบครัวอย่างนี้

ใต้ต้นไม้ที่ร่มรื่นเรียงรายยังประดิษฐานเทวรูปเทพองค์อื่น ๆ ไว้  กึ่งกลางลานมีสระน้ำใหญ่พร้อมน้ำพุ เบื้องหลังเป็นเทวาลัย ภายในประดับประดาด้วยสัญลักษณ์ ถ่ายทอดความเชื่อถึงโลกอันเป็นที่ประทับขององค์พระพิฆเนศ อย่างเช่น พื้นเทวาลัยเป็นลายดอกบัว สื่อถึงน้ำหรือมหาสมุทร ส่วนฐานสี่เหลี่ยมกลางเทวาลัย สื่อถึงเกาะอันเป็นที่ประทับขององค์พระพิฆเนศ

ตามทิศต่าง ๆ  รอบพิพิธภัณฑ์ ได้สร้างเทวสถาน ประดิษฐานรูปจำลองหินที่มีรูปลักษณ์เป็นองค์พระพิฆเนศซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ   ๘ แห่ง ในประเทศอินเดียที่เมืองมุมไบและเมืองปูเน เพื่อให้ผู้ศรัทธาเลื่อมใสในเมืองไทย ได้มีโอกาสสักการะบูชาขอพรได้สะดวกขึ้น


ผ่านร้านขายเครื่องดื่ม เดินต่อผ่านซุ้มประตู  เข้าไปด้านในอันเป็นที่ตั้งของตัวอาคารพิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศซึ่งถือเป็นไฮไลต์  เพราะตรงนี้แหละ ที่จัดแสดงเทวรูปปางต่างๆ ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และ ขนาดใหญ่ เป็นจำนวนนับพันๆองค์  อาคารจัดแสดงสถาปัตยกรรมชั้นเดียวตามแบบของชาวฮินดูในเกาะบาหลี ๒ อาคาร ขนานกันอยู่ด้านซ้าย-ขวา 

ภายในเป็นที่จัดแสดงพระพิฆเณศปางต่างๆ มากมาย ต่างยุคต่างสมัยกัน รวมทั้งหมดประมาณพันกว่าองค์ มี วัสดุที่ใช้สร้างมีสารพัดชนิด ตั้งแต่เนื้อทองคำ เงิน นาก ทองแดง ทองเหลือง แก้ว หิน ดิน ผง ไม้ ฯลฯ โดยมีน้องสาว ๆ คอยเดินตามมาบรรยายข้อมูลของแต่ละชิ้นให้ทราบหรือตอบข้อซักถามสงสัยของผู้มาเยือน อลังการน่าตื่นตามากครับ ถ้าเดินดูกันจริงจังน่าจะอยู่ได้เป็นชั่วโมง เสียดายที่ในบริเวณนี้ห้ามถ่ายภาพ ผมก็เลยไม่มีภาพมาให้ชมกัน อยากเห็นต้องมาดูเองเท่านั้น



            กลับออกมาหน้าส่วนจัดแสดงเป็นอาคารจำหน่ายของที่ระลึก มีเทวรูปตลอดจนเครื่องบูชาและของที่ระลึก ตลอดจนหนังสือหนังหาเกี่ยวกับพระพิฆเนศให้เลือกซื้อได้ ผ่านมาแล้วอย่าลืมแวะเวียนเข้ามาชมกัน

 ทางพิพิธภัณฑ์จัดให้มีพิธีกรรมสักการบูชาพระพิฆเนศ ทุกวันอาทิตย์ เวลา ๑๐.๐๐นาฬิกา และวันสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์พระพิฆเนศ ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์จะมีการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันล่วงหน้า สำหรับผู้ที่มีความศรัทธาสนใจมาก อยากจะร่วมเดินทางไปสักการะพระพิฆเนศที่ประเทศอินเดีย โดยเฉพาะพระพิฆเนศวร ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติทั้ง ๘  แห่งในอินเดีย  ก็มีโครงการนำคณะศรัทธาเดินทางไปประเทศอินเดีย ในแต่ละปีหลายครั้งด้วยกัน สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้



คู่มือนักเดินทาง

พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ ตั้งอยู่ที่เลขที่ ๒๗๗ หมู่ ๑๐ ถนนเชียงใหม่-ฮอด (อินทนนท์) หลักกิโลเมตรที่ ๓๕  ตำบลยางคราม กิ่งอำเภอดอยหล่อ (บนรอยต่ออำเภอสันป่าตอง) จังหวัดเชียงใหม่ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ระหว่างเวลา ๐๙.๐๐- ๑๗.๐๐ นาฬิกา   โทรศัพท์  ๐ ๕๓๒๖ ๙๑๐๑ ,๐๘ ๙๘๕๕ ๕๘๕๒ ,๐๘ ๙๔๓๐ ๔๐๕๐ หรือเปิดหาข้อมูลได้ที่ www.ganeshmuseum.com  หากขับรถจากแยกเซ็นทรัลแอร์พอร์ต ให้วิ่งไปทาง อำเภอหางดง ตรงไปเรื่อยๆ ระยะทางประมาณ ๓๕ กิโลเมตร ผ่าน อำเภอหางดง อำเภอสันป่าตอง ถึงปั๊มบางจาก จะเห็นป้ายพิพิธภัณฑ์อยู่ทางขวามือ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น