ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร "สารใจ"
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร "สารใจ"
อนุสาวรีย์นีเดอร์วาลโดดเด่นอยู่ท่ามกลางขุนเขาและไร่องุ่น |
“นั่นไง ๆ ถึงแล้ว สถานีรูเดสไฮม์”
สองหนุ่มไทยคือผมกับพี่นิคชี้โบ๊ชี้เบ๊ล้งเล้งกันใหญ่เมื่อเห็นป้ายบอกชื่อสถานีอันเป็นจุดหมายปลายทาง
ก่อนจะพากันตาลีตาเหลือกลุกจากที่นั่งหาประตูลงจากรถไฟกันให้จ้าละหวั่น
แต่ขนาดนั้นยังเกือบไม่ทันด้วยซ้ำไป เพราะแค่พวกเราก้าวเท้าลงมายืนบนชานชาลาปุ๊ป
ยังไม่ ได้ทำอะไร รถไฟก็แล่นออกไปปั๊บ
ตรงเวลาดีเหลือเกินรถไฟของดินแดนอินทรีเหล็กเยอรมนี
ครับ
ก็ติดอกติดใจกันมาตั้งแต่คราวก่อนที่ไปเมืองไฮเดลเบิร์กนั่นแหละ
ทำให้สองสหายเราเลือกที่จะใช้บริการท่องเที่ยวทางรถไฟกันอีกครั้ง โดยในคราวนี้เรามุ่งหน้ามายังเมืองรูเดสไฮม์
(Rudesheim) ที่ว่ากันว่าเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่ง
แน่นอน ใช้สูตรเก่าเหมือนเดิมครับ
ออกจากเมืองแฟรงก์เฟิร์ตมาแต่เช้าตรู่ นั่งชมทิวทัศน์สองฟากรางรถไฟเรื่อย ๆ
มาถึงเอาตอนแดดยามสายกำลังสวยพอดี มองจากสถานีที่เป็นอาคารเล็ก ๆ ออกไปแลเห็นตัวเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไรน์ ซึ่งกำลังสะท้อนแสงระยิบระยับโดยมีฉากหลังเป็นทิวเทือกเขาเขียวกับฟ้าครามและริ้วเมฆขาวสบายตา
วิหารบรอมเซอร์บอร์ก |
ตามประวัติบอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปีค.ศ.
๑๐๙๐ สมัยอาณาจักรโรมันโน่น เดิมทีเป็นเมืองชนบทเล็ก ๆ เพิ่งมาเติบโตเป็นเมืองใหญ่เอาในปีค.ศ. ๑๘๒๐
เนื่องจากได้กลายเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียง
ด้วยภูมิประเทศและอากาศที่เป็นใจให้กับการปลูกองุ่น วัตถุดิบในการทำไวน์
ซึ่งจุดที่เป็นไฮไลต์อยู่ที่ถนนดรอสเซลกาซเซ่ (Drosselgasse)
ซึ่งกว้าง ๓ เมตร ยาวแค่ ๑๔๔ เมตร แต่ เป็นที่ตั้งของบาร์ไวน์ ๖
แห่ง ให้บริการสารพัดไวน์ท้องถิ่นหลากหลายรสชาติ ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกนับล้านมาเยือนได้ทุกปี
สองหนุ่มเราเดินเลาะไปตามถนนที่เลียบริมฝั่ง
ลมหนาวที่พัดโกรกทำให้ไม่รู้สึกร้อนแม้แดดจัดจ้า ตึกรามบ้านช่องหลังขนาดกำลังดี เป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร โรงแรม
เรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ผ่านพิพิธภัณฑ์ไวน์ไรน์ เกา (Rheingau
Wine Museum) อันเลื่องชื่อในหมู่คอไวน์
เพราะเป็นแหล่งรวบรวมประวัติความเป็นมาของการผลิตไวน์ในเมืองรูเดสไฮม์
ย่ำต๊อกเรื่อยเปื่อยไปจนถึงท่าเรือ เห็นป้ายติดเอาไว้ว่ามีบริการเรือทัศนาจรล่องแม่น้ำ
ปรึกษากันแล้วเห็นว่าเวลาเรามีน้อย นั่งเรือเที่ยวสบายและได้เห็นทิวทัศน์จริง
แต่ก็เห็นอยู่ไกลลิบ สำคัญที่สุดคือค่าบริการทัศนาจรคิดเป็นเงินไทยก็ไม่ใช่ถูก
สรุปว่าเดินเที่ยวน่าจะได้ทั้งรายละเอียดและบรรยากาศของเมืองอย่างใกล้ชิด
รวมทั้งประหยัดสตางค์มากกว่า (ข้อหลังนี่ดูเหมือนจะสำคัญที่สุด )
บรรยากาศในเมืองครึกครื้นด้วยผู้คน |
ตกลงกันดังนั้นแล้วก็เลยพากันเดินเลี้ยวเข้าไปในย่านเมือง
ซึ่งเห็นแล้วผมก็ต้องนึกชื่นชมในใจว่าถึงแม้ว่าจะกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดฮิตมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมามากมาย
แต่เขาก็ยังรักษาสภาพเมืองเล็ก ๆ แบบเมืองในชนบทในอดีตเอาไว้ค่อนข้างดี ไม่มีสิ่งก่อสร้างแปลกปลอมผิดยุคผิดสมัยอย่างตึกแถวหรือห้างสรรพสินค้า
รวมทั้งป้ายโฆษณาห้างร้าน บังแดด กันสาด ฯลฯ สารพัดสี
มาเกะกะให้รกหูรกตาเหมือนอย่างบางประเทศ (อย่าให้บอกเลยว่าประเทศไหน)
หน้าต่างเก๋ไก๋ริมทาง |
บนถนนแคบ ๆ
สองฟากเรียงรายกันด้วยร้านขายของที่ระลึกอยู่ทั่วไป น่าจะเรียกว่าเป็นซอยละลายทรัพย์ของเยอรมันก็ว่าได้ครับ ย่านนี้
เพราะของที่ระลึกแต่ละอย่างที่วางขายล้วนแล้วแต่ล่อตาล่อใจ
ดึงดูดเงินออกจากกระเป๋านักท่องเที่ยวได้ทั้งนั้น นี่ยังไม่นับร้านอาหารพร้อมดนตรีบรรเลงขับกล่อม
และบาร์ไวน์อันเลื่องชื่อที่บอกเอาไว้ตอนต้น (อย่างหลังนี่ยังไงเราก็รอดตัว
เพราะว่าผมไม่ดื่ม ส่วนพี่นิคเองก็อยู่ในระหว่างงดเหล้าเข้าพรรษา)
กระเช้าลอยฟ้าผ่านไร่องุ่น |
ตุหรัดตุเหร่ไปมาพลันสายตาสองเกลอเราก็ไปสะดุดเข้ากับรถกระเช้า
ที่เรียกในภาษาเยอรมันว่าเซลบาห์น
(Sailbahn) แหงนมองตามสายสลิงและแนวเสาที่ปักเรียงรายลดหลั่นตามแนวเขาก็เห็นว่าเป็นรถกระเช้าสำหรับพานักท่องเที่ยวขึ้นไปบนภูเขาด้านหลังของเมือง
แลเห็นอะไรบางอย่างคล้าย ๆ อนุสาวรีย์ตระหง่านอยู่บนยอดไกลลิบ
โดยผ่านไปเหนือไร่องุ่นบนลาดไหล่เขาอันเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา เข้าท่าดีเหมือนกัน
เกร่เข้าไปดูราคา โอ้โห แพงไม่ใช่เล่น
แค่นั่งขึ้นลง คิดเป็นเงินไทยก็นั่งรถทัวร์ไป-กลับกรุงเทพฯ –เชียงใหม่ได้สบาย ๆ เลยละครับ
เล่นเอาสองสหายเราต้องเปิดประชุมวิสามัญกันเป็นการด่วน เพราะจะว่าไป
การขึ้นรถกระเช้าก็ถือว่าน่าสนุกดีไม่ใช่เล่น จะได้เห็นมุมมองอะไรใหม่ ๆ
แปลกหูแปลกตาออกไป อีกอย่างดูแล้วพื้นที่ในตัวเมืองก็เล็กนิดเดียว
จะเดินเที่ยววนเวียนทั้งวันคงไม่ไหว เบื่อตายชัก เป็นอันว่าสุดท้ายสองเกลอเราเลือกที่จะนั่งรถกระเช้ากัน
แต่ซื้อตั๋วเฉพาะขาขึ้นเท่านั้น
“ ขากลับเราเดินลงก็ได้ เพราะลงเขาไม่เหนื่อยอยู่แล้ว
จะได้แวะเข้าไปเที่ยวดูไร่องุ่นด้วย ประหยัดไปตั้งครึ่ง” พี่นิคชอบใจกับไอเดียที่ลงตัวซื้อตั๋วเสร็จก็พากันต่อแถวขึ้นบันไดไปชั้นบนของอาคารซึ่งเป็นสถานี
รอพักเดียวกระเช้าที่นั่งได้ ๒
คนก็พาเราแหวกสายลมเย็นยะเยือกเหินฟ้าขึ้นไปลอยละล่องอยู่เหนือไร่องุ่นอันไพศาลเขียวขจี
มุมมองจากบนกระเช้า |
นักท่องเที่ยวเดินขึ้นเขา |
พอได้อยู่บนกระเช้าแล้วก็รู้สึกว่าคุ้มค่าคุ้มราคาขึ้นมาทันทีครับ
ด้วยทัศนวิสัยที่เปิดโล่งหันมองได้รอบด้าน ๓๖๐ องศา
เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำและตัวเมือง
รวมทั้งยอดโดมของวิหารบูเซนเบิร์กที่สร้างตั้งแต่ในราวปี ค.ศ. ๑๒๐๐
เด่นอยู่กลางเมืองเก่าลิบๆ
ยิ่งกระเช้าเคลื่อนตัวห่างออกมาตึกรามบ้านช่องที่เห็นยิ่งค่อย ๆ
เล็กลงจนแลดูเหมือนเมืองตุ๊กตา กระเช้าลอยเลื่อนสูงขึ้นไป
ผ่านไร่องุ่นเบื้องล่างและถนนเล็ก ๆ ที่ตัดผ่านกลางไร่
เห็นนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ กำลังดุ่มเดินขึ้นสู่ยอดเขาเป็นกลุ่มๆ
เพลิดเพลินกับการนั่งกินลมหนาว
ชมวิวภูเขาและไร่องุ่นพักเดียวสองหนุ่มเราก็ขึ้นมาถึงบนยอดเขาโดยสวัสดิภาพ พื้นที่ส่วนนี้ถูกตกแต่งให้เป็นสวนสาธารณะลอยฟ้า
เดินตามถนนที่ลาดยางเอาไว้อย่างดีลดเลี้ยวไปในร่มเงาไม้ใหญ่ ริมทางมีอาคารโถงทรงกลมหลังคารูปโดมสำหรับชมทิวทัศน์ มองลงไปเห็นตัวเมืองรูเดสไฮม์ตั้งอยู่ริมน้ำไรน์ได้ชัดเจน
ตามขั้นบันไดนักท่องเที่ยวฝรั่งพากันนั่งเอกเขนกอาบแดดเป็นกลุ่ม ๆ ในขณะเดียวกันก็มีไม่น้อยที่เดินวนเวียนหามุมมองในการถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอย่างขะมักเขม้น
คู่หูไทยเราเลยขอเข้าไปผสมโรงเสียคนละแชะสองแชะ
นักท่องเที่ยวบนเนินหน้าอนุสาวรีย์ |
บางส่วนพากันนั่งอาบแดด |
เดินต่อมาอีกหน่อย
ก็ออกมาโผล่ตรงกลางลานกว้างอันเป็นจุดสูงสุดของภูเขา อนุสรณ์สถาน นีเดอวาลด์
(Niederwald monument) ตระหง่านเสียดฟ้าจนสองเราต้องแหงนคอตั้งบ่า
รูปหล่อโลหะอันอลังการบนฐานสูงลิบแห่งนี้ถือเป็นจุดสำคัญของเมืองรูเดสไฮม์
มองเห็นได้แต่ไกล ตอนเราอยู่ในเมืองข้างล่างก็ยังชี้ให้ดูกันอยู่ ตามประวัติว่าเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงชัยชนะของชาวเยอรมนีที่มีต่อกองทัพฝรั่งเศสที่มารุกรานดินแดนแถบนี้
สร้างในปีค.ศ. ๑๘๗๗–๑๘๘๓ โดยประติมากรโจฮานน์
ชิลลิง และสถาปนิกชื่อคาร์ล ไวซซ์แบค จากเมืองเดรสเดน (บอกชื่อมาก็ไม่รู้จักอยู่ดีนั่นแหละ)
ขนาดอันมหึมาของอนุสาวรีย์นีเดอร์วาล |
แอ็คท่าถ่ายภาพกับอนุสาวรีย์ตามธรรมเนียมนักท่องเที่ยวที่ดีต้องมีภาพที่ระลึก จนพอใจกันแล้วก็พากันไปหยุดยืนดูแผนที่บอกจุดน่าสนใจบนยอดเขาที่เราอยู่
จากตรงนี้ผมเห็นมีเส้นทางเดินกลับลงไปในเมืองได้เลย โดยผ่านไร่องุ่น ระยะทางไม่ไกล
แต่พี่นิคอยากเดินอ้อมไปลงด้านหลังของภูเขา ดูว่ามีอะไรให้ทั่วถึง ว่างั้น
เป็นอันว่าต้องตามใจผู้อาวุโส
ออกเดินหน้าตามทางต่อไป ยังดีที่ทางเดินต่อมาร่มครึ้มด้วยต้นไม้ตลอด
แม้ตะวันตรงหัวก็ยังเดินได้สบาย ไม่ต้องกลัวแดด
ทำเอาสองนักท่องเที่ยวไทยเราเดินชมนกชมไม้เพลินกันไปเลยละครับ ทั้งที่จะว่าไปก็ไม่เห็นมีอะไรมาก
อย่างว่าแหละมาต่างถิ่น เห็นอะไรมันก็ดูตื่นตาตื่นใจ น่าตื่นเต้นไปเสียหมด
ป้ายสื่อความหมายบนเส้นทาง |
มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มองดูรอบข้าง
แล้วสังเกตเห็นนักท่องเที่ยวเยอรมันแต่งตัวเหมือนเดินป่าสะพายเป้หลังถือไม้เท้า
ปีนเขา อีกทั้งรู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างจะเปลี่ยนไป
คล้ายกับเข้าสู่เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ต้นไม้เริ่มหนาทึบ ระหว่างทาง
ยังมีแผ่นป้ายสื่อความหมาย แสดงระบบนิเวศวิทยาบ้าง พืชพรรณไม้ในท้องถิ่นบ้าง
รวมไปถึงข้อมูลแหล่งเพาะพันธุ์ทำรังของนกชนิดต่าง ๆ ติดอยู่เป็นระยะ ให้อารมณ์คล้าย ๆ เดินอยู่แถว ๆ ป่าดึกดำบรรพ์บนดอยอินทนนท์ยังไงยังงั้น
ป้อมหลังเล็กท้ายเขา |
ถนนในแนวไม้ทะมึนนำสองหนุ่มเรามาพบว่าเส้นทางสิ้นสุดอยู่หน้าป้อมขนาดเล็กหลังหนึ่ง
ขนาดประมาณบ้านสองชั้นหลังใหญ่ ตั้งอยู่ริมหน้าผา เก็บสตางค์ค่าเข้าชมเสียด้วยแน่ะ
ไม่รู้เหมือนกันว่ามีความสำคัญอะไร เพราะอ่านป้ายภาษาเยอรมันไม่ออก แต่น่าจะไม่ใช่ย่อย เพราะข้างหน้ามีภาพวาดป้อมแห่งนี้สมัยโบราณติดเอาไว้
มองไปนักท่องเที่ยวฝรั่งเดินเข้าเดินออกกันไม่ขาดสาย
มุมมองจากบนระเบียงป้อม |
นักท่องเที่ยวนั่งตากแดดชมวิวบนระเบียงป้อม |
ห้องโถงภายในป้อมชั้นล่าง |
ผมกับพี่นิคมองตากันไปมา ก่อนกัดฟันตัดสินใจควักกระเป๋าเข้าไปดูให้รู้แน่ ไหน ๆ
ก็มาจนถึงนี่แล้วปรากฏว่าชั้นล่างเป็นห้องเล็ก ๆ นอกเหนือจากตู้ โต๊ะ โซฟา
เหมือนห้องรับแขกทั่วไป ก็มีบนผนังที่ประดับประดาด้วยเขาสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิด
ขึ้นบันไดเวียนไปชั้นบนเป็นดาดฟ้า ก็ไม่มีอะไรอีกนั่นแหละ
เห็นแต่นักท่องเที่ยวฝรั่งนั่งกินลมชมวิวทิวทัศน์อาบแดดกันไปคุยกันไป
ทว่ายังดีที่มุมมองจากด้านบนนี้เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำไรน์ในมุมกว้าง
ภาพของสายน้ำขุ่นเข้มไหลหลากผ่านเทือกเขาสลับซับซ้อนที่ปกคลุมด้วยผืนป่าเขียวขจี
ถือว่าพอจะคุ้มค่าบัตรผ่านประตูที่ซื้อไปได้
กลับออกมาจากป้อมมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นถนนที่จะเดินต่อไปได้ มีแค่ทางดินลงเขาเข้าไปในป่า เห็นแต่นักท่องเที่ยวฝรั่งประเภทแบกเป้ถือไม้เท้าทั้งนั้นที่เดินลงไปกัน
มองแล้วน่าจะเป็นทางไปแค้มปิงมากกว่า
ไม่ใช่ทางลงเขาแล้วอ้อมไปเข้าเมืองได้อย่างที่พี่นิคคิดเอาไว้
ยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาก็ตาเหลือก
เพราะล่วงเลยไปมากมาย เหลืออีกไม่ถึง ๒ ชั่วโมง จะต้องกลับไปขึ้นรถไฟให้ทัน
ยุ่งละสิครับทีนี้ ต้องพากันจ้ำอ้าวย้อนกลับมาทางเก่า
ยังดีที่ผมถ่ายภาพแผนที่ของภูเขาเก็บเอาไว้ในกล้องดิจิตอล
เอามาเปิดดูเห็นว่ามีทางลัดตัดลงไปบรรจบกับทางลงเขาเข้าเมืองได้
นาฬิกาแดดในไร่องุ่้น |
พวงองุ่นเต็มต้น |
รู้ทางอย่างนี้พักเดียวสองสหายเราก็มาปร๋อกันอยู่บนถนนเล็ก
ๆ ที่ลดเลี้ยวผ่านเข้าไปในไร่องุ่นกว้างใหญ่ มองไกล ๆ เป็นแถวเป็นแนวมีระเบียบ
ไร่องุ่นที่นี่เห็นเขาบอกว่าปลูกบนพื้นที่ลาดเอียงกว่า ๖๐ องศาครับ
ต้องใช้แรงงานคนในการเก็บผลผลิตเพราะพื้นที่ลาดเอียงมากเอาเครื่องจักรเข้ามาไม่ได้
เดินไปก็เห็นชาวไร่เยอรมันกำลังเก็บผลองุ่นในไร่กัน พอเห็นนักท่องเที่ยวอย่างเราเดินผ่านก็โบกไม้โบกมือทักทาย
พี่นิคเลยถือโอกาสเข้าไปขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
ชาวไร่ก็ไม่ขัดข้องพากันเข้ามารุมล้อมโอบหลังโอบไหล่กันยังกับรู้จักมานานนับสิบปี
อัธยาศัยดีเหลือเกินละครับ
กลับลงมาถึงในเมืองสองคนหิวกันงั่ก
เมื่อยขาก็เมื่อย เพราะเดินกันตะบันหลายชั่วโมง
มานึกอีกทีนอกจากอาหารเช้าที่โรงแรมในแฟรงก์เฟิร์ต
ตั้งแต่มาถึงเรายังไม่ได้กินอะไรกันเลย โซซัดโซเซไปร้านอาหาร
กะว่าหาอะไรใส่ท้องนั่งพักแข้งพักขาไปในตัว ทว่าเจ้ากรรมจริง ๆ ครับ
แต่ละร้านย่านนี้มีแต่โต๊ะให้ยืนกินทั้งนั้น ไม่มีที่นั่งให้สักร้าน คงกลัวนักท่องเที่ยวมานั่งแช่กันนาน
ๆ ทำให้ขายของไม่ได้ (นัยว่ากินแล้วก็ให้รีบ ๆ ไปซะ คนอื่นจะได้มากินบ้าง )
เราสั่งได้แฮมเบอร์เกอร์ คนละอันกับโค้กคนละแก้ว ยืนกินไปก็คิดถึงเมืองไทย
เรื่องกินเรื่องอยู่บ้านเราสะดวกสบายกว่าเยอะครับ
ขนาดร้านตามข้างถนนยังมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่ง นี่ร้านออกจะหรูหรา
ให้ลูกค้ายืนกินกันขาแข็ง
ตึกรามบ้านช่องหน้าสถานีรถไฟ |
เดินกลับมาถึงสถานีรถไฟยังพอมีเวลาเหลือให้เตร็ดเตร่ในร้านค้าในสถานีได้อีก
เข้าไปเห็นมีตู้สล็อตแมชีนตั้งเอาไว้ให้ฆ่าเวลาระหว่างรอรถไฟเสียด้วย
พี่นิคสั่งโค้กกระป๋อง ผมลองซื้อเครื่องดื่มน้ำผลไม้กล่องใหญ่ที่เห็นเด็กนักเรียนเยอรมันแถวนั้นเดินถือดูดกันคนละกล่องมาลองดูบ้าง
รสชาติก็เข้าท่าดีเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ
ที่น่าเอาเป็นตัวอย่างก็คือเวลาเราซื้อเครื่องดื่มกระป๋องหรือเครื่องดื่มกล่อง
เขาจะบวกค่าธรรมเนียมขยะเข้าไปด้วย
พอเรากินหมดแล้วเอากระป๋องหรือกล่องไปให้ที่เคาน์เตอร์ก็จะได้เงินค่าธรรมเนียมคืนมา
มิน่าบ้านเมืองเขาถึงสะอาดสะอ้านไม่ค่อยมีขยะให้เห็น
ความจริงบ้านเราก็น่าเอาอย่างบ้างเหมือนกัน ง่าย ๆ แค่นี้
ทำได้เมื่อไหร่แหล่งท่องเที่ยวไทยคงปลอดขยะ ในเมื่อไม่มีใครทิ้ง
ก็ไม่ต้องมารณรงค์เก็บเมืองไทยให้สวยงามอะไรให้เหนื่อย เสียค่าโฆษณา
ขึ้นรถไฟได้สองหนุ่มไทยเราไชโยโห่ฮิ้วกันเป็นการใหญ่
ไม่ใช่อะไรหรอกครับจะได้นั่งพักแข้งขากันเสียที
นั่งรถไฟเที่ยวนี่อะไรก็ดีหมดครับเสียอย่างเดียวตอนลงไปแล้วต้องเดินนี่แหละ...เมื่อยมาก
แต่ไม่เข็ดหรอก เชื่อไหมล่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น