วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รูเดสไฮม์ แม่น้ำ เมืองเก่า ภูเขา และไร่องุ่น

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร "สารใจ" 

 อนุสาวรีย์นีเดอร์วาลโดดเด่นอยู่ท่ามกลางขุนเขาและไร่องุ่น


นั่นไง ๆ ถึงแล้ว สถานีรูเดสไฮม์

สองหนุ่มไทยคือผมกับพี่นิคชี้โบ๊ชี้เบ๊ล้งเล้งกันใหญ่เมื่อเห็นป้ายบอกชื่อสถานีอันเป็นจุดหมายปลายทาง ก่อนจะพากันตาลีตาเหลือกลุกจากที่นั่งหาประตูลงจากรถไฟกันให้จ้าละหวั่น แต่ขนาดนั้นยังเกือบไม่ทันด้วยซ้ำไป เพราะแค่พวกเราก้าวเท้าลงมายืนบนชานชาลาปุ๊ป ยังไม่ ได้ทำอะไร รถไฟก็แล่นออกไปปั๊บ ตรงเวลาดีเหลือเกินรถไฟของดินแดนอินทรีเหล็กเยอรมนี

ครับ ก็ติดอกติดใจกันมาตั้งแต่คราวก่อนที่ไปเมืองไฮเดลเบิร์กนั่นแหละ ทำให้สองสหายเราเลือกที่จะใช้บริการท่องเที่ยวทางรถไฟกันอีกครั้ง โดยในคราวนี้เรามุ่งหน้ามายังเมืองรูเดสไฮม์ (Rudesheim) ที่ว่ากันว่าเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่ง

แน่นอน ใช้สูตรเก่าเหมือนเดิมครับ ออกจากเมืองแฟรงก์เฟิร์ตมาแต่เช้าตรู่ นั่งชมทิวทัศน์สองฟากรางรถไฟเรื่อย ๆ มาถึงเอาตอนแดดยามสายกำลังสวยพอดี มองจากสถานีที่เป็นอาคารเล็ก ๆ  ออกไปแลเห็นตัวเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไรน์   ซึ่งกำลังสะท้อนแสงระยิบระยับโดยมีฉากหลังเป็นทิวเทือกเขาเขียวกับฟ้าครามและริ้วเมฆขาวสบายตา

 วิหารบรอมเซอร์บอร์ก

ตามประวัติบอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปีค.ศ. ๑๐๙๐ สมัยอาณาจักรโรมันโน่น เดิมทีเป็นเมืองชนบทเล็ก    เพิ่งมาเติบโตเป็นเมืองใหญ่เอาในปีค.ศ. ๑๘๒๐ เนื่องจากได้กลายเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียง ด้วยภูมิประเทศและอากาศที่เป็นใจให้กับการปลูกองุ่น วัตถุดิบในการทำไวน์  ซึ่งจุดที่เป็นไฮไลต์อยู่ที่ถนนดรอสเซลกาซเซ่ (Drosselgasse)  ซึ่งกว้าง ๓ เมตร ยาวแค่ ๑๔๔ เมตร แต่ เป็นที่ตั้งของบาร์ไวน์ ๖ แห่ง ให้บริการสารพัดไวน์ท้องถิ่นหลากหลายรสชาติ  ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกนับล้านมาเยือนได้ทุกปี

สองหนุ่มเราเดินเลาะไปตามถนนที่เลียบริมฝั่ง ลมหนาวที่พัดโกรกทำให้ไม่รู้สึกร้อนแม้แดดจัดจ้า  ตึกรามบ้านช่องหลังขนาดกำลังดี เป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร โรงแรม เรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ผ่านพิพิธภัณฑ์ไวน์ไรน์ เกา (Rheingau Wine Museum) อันเลื่องชื่อในหมู่คอไวน์ เพราะเป็นแหล่งรวบรวมประวัติความเป็นมาของการผลิตไวน์ในเมืองรูเดสไฮม์ 

ย่ำต๊อกเรื่อยเปื่อยไปจนถึงท่าเรือ  เห็นป้ายติดเอาไว้ว่ามีบริการเรือทัศนาจรล่องแม่น้ำ ปรึกษากันแล้วเห็นว่าเวลาเรามีน้อย นั่งเรือเที่ยวสบายและได้เห็นทิวทัศน์จริง แต่ก็เห็นอยู่ไกลลิบ  สำคัญที่สุดคือค่าบริการทัศนาจรคิดเป็นเงินไทยก็ไม่ใช่ถูก  สรุปว่าเดินเที่ยวน่าจะได้ทั้งรายละเอียดและบรรยากาศของเมืองอย่างใกล้ชิด รวมทั้งประหยัดสตางค์มากกว่า (ข้อหลังนี่ดูเหมือนจะสำคัญที่สุด )

 บรรยากาศในเมืองครึกครื้นด้วยผู้คน

ตกลงกันดังนั้นแล้วก็เลยพากันเดินเลี้ยวเข้าไปในย่านเมือง ซึ่งเห็นแล้วผมก็ต้องนึกชื่นชมในใจว่าถึงแม้ว่าจะกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดฮิตมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมามากมาย แต่เขาก็ยังรักษาสภาพเมืองเล็ก ๆ แบบเมืองในชนบทในอดีตเอาไว้ค่อนข้างดี  ไม่มีสิ่งก่อสร้างแปลกปลอมผิดยุคผิดสมัยอย่างตึกแถวหรือห้างสรรพสินค้า รวมทั้งป้ายโฆษณาห้างร้าน บังแดด กันสาด ฯลฯ สารพัดสี มาเกะกะให้รกหูรกตาเหมือนอย่างบางประเทศ (อย่าให้บอกเลยว่าประเทศไหน) 

 หน้าต่างเก๋ไก๋ริมทาง

บนถนนแคบ ๆ สองฟากเรียงรายกันด้วยร้านขายของที่ระลึกอยู่ทั่วไป  น่าจะเรียกว่าเป็นซอยละลายทรัพย์ของเยอรมันก็ว่าได้ครับ ย่านนี้ เพราะของที่ระลึกแต่ละอย่างที่วางขายล้วนแล้วแต่ล่อตาล่อใจ ดึงดูดเงินออกจากกระเป๋านักท่องเที่ยวได้ทั้งนั้น  นี่ยังไม่นับร้านอาหารพร้อมดนตรีบรรเลงขับกล่อม และบาร์ไวน์อันเลื่องชื่อที่บอกเอาไว้ตอนต้น (อย่างหลังนี่ยังไงเราก็รอดตัว เพราะว่าผมไม่ดื่ม ส่วนพี่นิคเองก็อยู่ในระหว่างงดเหล้าเข้าพรรษา)

 กระเช้าลอยฟ้าผ่านไร่องุ่น

ตุหรัดตุเหร่ไปมาพลันสายตาสองเกลอเราก็ไปสะดุดเข้ากับรถกระเช้า ที่เรียกในภาษาเยอรมันว่าเซลบาห์น  (Sailbahn) แหงนมองตามสายสลิงและแนวเสาที่ปักเรียงรายลดหลั่นตามแนวเขาก็เห็นว่าเป็นรถกระเช้าสำหรับพานักท่องเที่ยวขึ้นไปบนภูเขาด้านหลังของเมือง แลเห็นอะไรบางอย่างคล้าย ๆ อนุสาวรีย์ตระหง่านอยู่บนยอดไกลลิบ โดยผ่านไปเหนือไร่องุ่นบนลาดไหล่เขาอันเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา เข้าท่าดีเหมือนกัน

เกร่เข้าไปดูราคา โอ้โห แพงไม่ใช่เล่น แค่นั่งขึ้นลง คิดเป็นเงินไทยก็นั่งรถทัวร์ไป-กลับกรุงเทพฯ เชียงใหม่ได้สบาย ๆ เลยละครับ เล่นเอาสองสหายเราต้องเปิดประชุมวิสามัญกันเป็นการด่วน เพราะจะว่าไป การขึ้นรถกระเช้าก็ถือว่าน่าสนุกดีไม่ใช่เล่น จะได้เห็นมุมมองอะไรใหม่ ๆ แปลกหูแปลกตาออกไป  อีกอย่างดูแล้วพื้นที่ในตัวเมืองก็เล็กนิดเดียว จะเดินเที่ยววนเวียนทั้งวันคงไม่ไหว เบื่อตายชัก  เป็นอันว่าสุดท้ายสองเกลอเราเลือกที่จะนั่งรถกระเช้ากัน แต่ซื้อตั๋วเฉพาะขาขึ้นเท่านั้น

ขากลับเราเดินลงก็ได้ เพราะลงเขาไม่เหนื่อยอยู่แล้ว จะได้แวะเข้าไปเที่ยวดูไร่องุ่นด้วย ประหยัดไปตั้งครึ่งพี่นิคชอบใจกับไอเดียที่ลงตัวซื้อตั๋วเสร็จก็พากันต่อแถวขึ้นบันไดไปชั้นบนของอาคารซึ่งเป็นสถานี  รอพักเดียวกระเช้าที่นั่งได้ ๒ คนก็พาเราแหวกสายลมเย็นยะเยือกเหินฟ้าขึ้นไปลอยละล่องอยู่เหนือไร่องุ่นอันไพศาลเขียวขจี 

 มุมมองจากบนกระเช้า
 นักท่องเที่ยวเดินขึ้นเขา

พอได้อยู่บนกระเช้าแล้วก็รู้สึกว่าคุ้มค่าคุ้มราคาขึ้นมาทันทีครับ ด้วยทัศนวิสัยที่เปิดโล่งหันมองได้รอบด้าน ๓๖๐ องศา เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำและตัวเมือง รวมทั้งยอดโดมของวิหารบูเซนเบิร์กที่สร้างตั้งแต่ในราวปี ค.ศ. ๑๒๐๐ เด่นอยู่กลางเมืองเก่าลิบๆ ยิ่งกระเช้าเคลื่อนตัวห่างออกมาตึกรามบ้านช่องที่เห็นยิ่งค่อย ๆ เล็กลงจนแลดูเหมือนเมืองตุ๊กตา กระเช้าลอยเลื่อนสูงขึ้นไป ผ่านไร่องุ่นเบื้องล่างและถนนเล็ก ๆ ที่ตัดผ่านกลางไร่ เห็นนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ กำลังดุ่มเดินขึ้นสู่ยอดเขาเป็นกลุ่มๆ 

เพลิดเพลินกับการนั่งกินลมหนาว ชมวิวภูเขาและไร่องุ่นพักเดียวสองหนุ่มเราก็ขึ้นมาถึงบนยอดเขาโดยสวัสดิภาพ พื้นที่ส่วนนี้ถูกตกแต่งให้เป็นสวนสาธารณะลอยฟ้า เดินตามถนนที่ลาดยางเอาไว้อย่างดีลดเลี้ยวไปในร่มเงาไม้ใหญ่  ริมทางมีอาคารโถงทรงกลมหลังคารูปโดมสำหรับชมทิวทัศน์ มองลงไปเห็นตัวเมืองรูเดสไฮม์ตั้งอยู่ริมน้ำไรน์ได้ชัดเจน ตามขั้นบันไดนักท่องเที่ยวฝรั่งพากันนั่งเอกเขนกอาบแดดเป็นกลุ่ม ๆ  ในขณะเดียวกันก็มีไม่น้อยที่เดินวนเวียนหามุมมองในการถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอย่างขะมักเขม้น  คู่หูไทยเราเลยขอเข้าไปผสมโรงเสียคนละแชะสองแชะ

 นักท่องเที่ยวบนเนินหน้าอนุสาวรีย์

 บางส่วนพากันนั่งอาบแดด

เดินต่อมาอีกหน่อย ก็ออกมาโผล่ตรงกลางลานกว้างอันเป็นจุดสูงสุดของภูเขา อนุสรณ์สถาน นีเดอวาลด์  (Niederwald monument)  ตระหง่านเสียดฟ้าจนสองเราต้องแหงนคอตั้งบ่า  รูปหล่อโลหะอันอลังการบนฐานสูงลิบแห่งนี้ถือเป็นจุดสำคัญของเมืองรูเดสไฮม์ มองเห็นได้แต่ไกล ตอนเราอยู่ในเมืองข้างล่างก็ยังชี้ให้ดูกันอยู่  ตามประวัติว่าเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงชัยชนะของชาวเยอรมนีที่มีต่อกองทัพฝรั่งเศสที่มารุกรานดินแดนแถบนี้  สร้างในปีค.ศ. ๑๘๗๗๑๘๘๓ โดยประติมากรโจฮานน์ ชิลลิง และสถาปนิกชื่อคาร์ล ไวซซ์แบค จากเมืองเดรสเดน  (บอกชื่อมาก็ไม่รู้จักอยู่ดีนั่นแหละ)

 ขนาดอันมหึมาของอนุสาวรีย์นีเดอร์วาล

แอ็คท่าถ่ายภาพกับอนุสาวรีย์ตามธรรมเนียมนักท่องเที่ยวที่ดีต้องมีภาพที่ระลึก  จนพอใจกันแล้วก็พากันไปหยุดยืนดูแผนที่บอกจุดน่าสนใจบนยอดเขาที่เราอยู่ จากตรงนี้ผมเห็นมีเส้นทางเดินกลับลงไปในเมืองได้เลย โดยผ่านไร่องุ่น ระยะทางไม่ไกล แต่พี่นิคอยากเดินอ้อมไปลงด้านหลังของภูเขา ดูว่ามีอะไรให้ทั่วถึง ว่างั้น 

เป็นอันว่าต้องตามใจผู้อาวุโส ออกเดินหน้าตามทางต่อไป ยังดีที่ทางเดินต่อมาร่มครึ้มด้วยต้นไม้ตลอด แม้ตะวันตรงหัวก็ยังเดินได้สบาย ไม่ต้องกลัวแดด ทำเอาสองนักท่องเที่ยวไทยเราเดินชมนกชมไม้เพลินกันไปเลยละครับ ทั้งที่จะว่าไปก็ไม่เห็นมีอะไรมาก อย่างว่าแหละมาต่างถิ่น เห็นอะไรมันก็ดูตื่นตาตื่นใจ น่าตื่นเต้นไปเสียหมด

 ป้ายสื่อความหมายบนเส้นทาง

มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มองดูรอบข้าง แล้วสังเกตเห็นนักท่องเที่ยวเยอรมันแต่งตัวเหมือนเดินป่าสะพายเป้หลังถือไม้เท้า ปีนเขา อีกทั้งรู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างจะเปลี่ยนไป คล้ายกับเข้าสู่เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ต้นไม้เริ่มหนาทึบ ระหว่างทาง ยังมีแผ่นป้ายสื่อความหมาย แสดงระบบนิเวศวิทยาบ้าง พืชพรรณไม้ในท้องถิ่นบ้าง รวมไปถึงข้อมูลแหล่งเพาะพันธุ์ทำรังของนกชนิดต่าง ๆ  ติดอยู่เป็นระยะ ให้อารมณ์คล้าย ๆ เดินอยู่แถว ๆ  ป่าดึกดำบรรพ์บนดอยอินทนนท์ยังไงยังงั้น

 ป้อมหลังเล็กท้ายเขา

ถนนในแนวไม้ทะมึนนำสองหนุ่มเรามาพบว่าเส้นทางสิ้นสุดอยู่หน้าป้อมขนาดเล็กหลังหนึ่ง ขนาดประมาณบ้านสองชั้นหลังใหญ่ ตั้งอยู่ริมหน้าผา เก็บสตางค์ค่าเข้าชมเสียด้วยแน่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่ามีความสำคัญอะไร เพราะอ่านป้ายภาษาเยอรมันไม่ออก  แต่น่าจะไม่ใช่ย่อย เพราะข้างหน้ามีภาพวาดป้อมแห่งนี้สมัยโบราณติดเอาไว้  มองไปนักท่องเที่ยวฝรั่งเดินเข้าเดินออกกันไม่ขาดสาย

 มุมมองจากบนระเบียงป้อม
 นักท่องเที่ยวนั่งตากแดดชมวิวบนระเบียงป้อม
 ห้องโถงภายในป้อมชั้นล่าง

ผมกับพี่นิคมองตากันไปมา  ก่อนกัดฟันตัดสินใจควักกระเป๋าเข้าไปดูให้รู้แน่ ไหน ๆ ก็มาจนถึงนี่แล้วปรากฏว่าชั้นล่างเป็นห้องเล็ก ๆ นอกเหนือจากตู้ โต๊ะ โซฟา เหมือนห้องรับแขกทั่วไป ก็มีบนผนังที่ประดับประดาด้วยเขาสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิด ขึ้นบันไดเวียนไปชั้นบนเป็นดาดฟ้า ก็ไม่มีอะไรอีกนั่นแหละ เห็นแต่นักท่องเที่ยวฝรั่งนั่งกินลมชมวิวทิวทัศน์อาบแดดกันไปคุยกันไป ทว่ายังดีที่มุมมองจากด้านบนนี้เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำไรน์ในมุมกว้าง ภาพของสายน้ำขุ่นเข้มไหลหลากผ่านเทือกเขาสลับซับซ้อนที่ปกคลุมด้วยผืนป่าเขียวขจี ถือว่าพอจะคุ้มค่าบัตรผ่านประตูที่ซื้อไปได้

กลับออกมาจากป้อมมองซ้ายมองขวา  ไม่เห็นถนนที่จะเดินต่อไปได้ มีแค่ทางดินลงเขาเข้าไปในป่า เห็นแต่นักท่องเที่ยวฝรั่งประเภทแบกเป้ถือไม้เท้าทั้งนั้นที่เดินลงไปกัน มองแล้วน่าจะเป็นทางไปแค้มปิงมากกว่า ไม่ใช่ทางลงเขาแล้วอ้อมไปเข้าเมืองได้อย่างที่พี่นิคคิดเอาไว้

ยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาก็ตาเหลือก เพราะล่วงเลยไปมากมาย เหลืออีกไม่ถึง ๒ ชั่วโมง จะต้องกลับไปขึ้นรถไฟให้ทัน ยุ่งละสิครับทีนี้ ต้องพากันจ้ำอ้าวย้อนกลับมาทางเก่า ยังดีที่ผมถ่ายภาพแผนที่ของภูเขาเก็บเอาไว้ในกล้องดิจิตอล เอามาเปิดดูเห็นว่ามีทางลัดตัดลงไปบรรจบกับทางลงเขาเข้าเมืองได้

 นาฬิกาแดดในไร่องุ่้น

 พวงองุ่นเต็มต้น

รู้ทางอย่างนี้พักเดียวสองสหายเราก็มาปร๋อกันอยู่บนถนนเล็ก ๆ ที่ลดเลี้ยวผ่านเข้าไปในไร่องุ่นกว้างใหญ่ มองไกล ๆ เป็นแถวเป็นแนวมีระเบียบ ไร่องุ่นที่นี่เห็นเขาบอกว่าปลูกบนพื้นที่ลาดเอียงกว่า ๖๐ องศาครับ ต้องใช้แรงงานคนในการเก็บผลผลิตเพราะพื้นที่ลาดเอียงมากเอาเครื่องจักรเข้ามาไม่ได้ เดินไปก็เห็นชาวไร่เยอรมันกำลังเก็บผลองุ่นในไร่กัน พอเห็นนักท่องเที่ยวอย่างเราเดินผ่านก็โบกไม้โบกมือทักทาย พี่นิคเลยถือโอกาสเข้าไปขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ชาวไร่ก็ไม่ขัดข้องพากันเข้ามารุมล้อมโอบหลังโอบไหล่กันยังกับรู้จักมานานนับสิบปี อัธยาศัยดีเหลือเกินละครับ

กลับลงมาถึงในเมืองสองคนหิวกันงั่ก เมื่อยขาก็เมื่อย เพราะเดินกันตะบันหลายชั่วโมง มานึกอีกทีนอกจากอาหารเช้าที่โรงแรมในแฟรงก์เฟิร์ต ตั้งแต่มาถึงเรายังไม่ได้กินอะไรกันเลย โซซัดโซเซไปร้านอาหาร กะว่าหาอะไรใส่ท้องนั่งพักแข้งพักขาไปในตัว ทว่าเจ้ากรรมจริง ๆ ครับ แต่ละร้านย่านนี้มีแต่โต๊ะให้ยืนกินทั้งนั้น ไม่มีที่นั่งให้สักร้าน คงกลัวนักท่องเที่ยวมานั่งแช่กันนาน ๆ ทำให้ขายของไม่ได้ (นัยว่ากินแล้วก็ให้รีบ ๆ ไปซะ คนอื่นจะได้มากินบ้าง ) เราสั่งได้แฮมเบอร์เกอร์ คนละอันกับโค้กคนละแก้ว ยืนกินไปก็คิดถึงเมืองไทย เรื่องกินเรื่องอยู่บ้านเราสะดวกสบายกว่าเยอะครับ ขนาดร้านตามข้างถนนยังมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่ง นี่ร้านออกจะหรูหรา ให้ลูกค้ายืนกินกันขาแข็ง

 ตึกรามบ้านช่องหน้าสถานีรถไฟ
เดินกลับมาถึงสถานีรถไฟยังพอมีเวลาเหลือให้เตร็ดเตร่ในร้านค้าในสถานีได้อีก เข้าไปเห็นมีตู้สล็อตแมชีนตั้งเอาไว้ให้ฆ่าเวลาระหว่างรอรถไฟเสียด้วย พี่นิคสั่งโค้กกระป๋อง ผมลองซื้อเครื่องดื่มน้ำผลไม้กล่องใหญ่ที่เห็นเด็กนักเรียนเยอรมันแถวนั้นเดินถือดูดกันคนละกล่องมาลองดูบ้าง รสชาติก็เข้าท่าดีเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ

ที่น่าเอาเป็นตัวอย่างก็คือเวลาเราซื้อเครื่องดื่มกระป๋องหรือเครื่องดื่มกล่อง เขาจะบวกค่าธรรมเนียมขยะเข้าไปด้วย พอเรากินหมดแล้วเอากระป๋องหรือกล่องไปให้ที่เคาน์เตอร์ก็จะได้เงินค่าธรรมเนียมคืนมา มิน่าบ้านเมืองเขาถึงสะอาดสะอ้านไม่ค่อยมีขยะให้เห็น ความจริงบ้านเราก็น่าเอาอย่างบ้างเหมือนกัน ง่าย ๆ แค่นี้ ทำได้เมื่อไหร่แหล่งท่องเที่ยวไทยคงปลอดขยะ ในเมื่อไม่มีใครทิ้ง ก็ไม่ต้องมารณรงค์เก็บเมืองไทยให้สวยงามอะไรให้เหนื่อย เสียค่าโฆษณา


ขึ้นรถไฟได้สองหนุ่มไทยเราไชโยโห่ฮิ้วกันเป็นการใหญ่ ไม่ใช่อะไรหรอกครับจะได้นั่งพักแข้งขากันเสียที นั่งรถไฟเที่ยวนี่อะไรก็ดีหมดครับเสียอย่างเดียวตอนลงไปแล้วต้องเดินนี่แหละ...เมื่อยมาก  

             แต่ไม่เข็ดหรอก เชื่อไหมล่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น