ภาคภูมิ
น้อยวัฒน์ เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ ๕๓ ฉบับที่ ๗ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
วิถีความเป็นไปของเมืองน่าน สะท้อนผ่านงานจิตรกรรมของอาจารย์สุรเดช กาละเสน |
ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมานี้
นักท่องเที่ยวแห่มาเมืองน่านกันอย่างถล่มทลายเป็นประวัติการณ์ครับ
ต้องบันทึกเอาไว้เลย วัดวาอาราม ที่พัก ร้านอาหาร ล้วนเนืองแน่นไปด้วยผู้คนล้นหลาม
จากการพูดคุยกับผู้สันทัดกรณี บ้างก็ว่าเป็นเพราะปีนี้ลมหนาวมาช้ากว่าทุกปี
กว่าฝนจะหมดก็ปาเข้าเดือนธันวาฯ ทำให้นักท่องเที่ยวอัดอั้น ไม่ได้เที่ยวรับลมหนาวตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาฯ
– พฤศจิกาฯ อย่างปีก่อน ๆ บ้างก็ว่าเป็นเพราะนักท่องเที่ยวไม่มีที่จะไปรับลมหนาว
เนื่องจากปีที่ผ่านๆ มาไปเที่ยวที่อื่นมาหมดแล้ว
บ้างก็ว่าเป็นเพราะนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลท่านนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย ฯลฯ ต่างคนต่างว่ากันไป
แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร วันนี้ต้องถือว่าเมืองน่านกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมแห่งใหม่ของนักท่องเที่ยวอย่างเต็มตัวและเป็นทางการไปแล้วละครับ
อย่างไรก็ตาม หลังผ่านพ้นจากช่วงเทศกาลวันหยุดยาว
ดูเหมือนเมืองน่านกลับคืนสู่ความเป็นเมืองที่เงียบสงบและงดงาม ด้วยจังหวะความเป็นไปอันเนิบช้า
เหมือนที่ผมเคยรู้จักครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตกหลุมรักเข้าอย่างจังกับความงดงามของศิลปกรรมในเมืองเล็กในหุบเขาแห่งนี้
ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ติดตาติดใจอยู่ตลอดมา
วัดหัวข่วงกับสถาปัตย์อันงดงาม |
ศิลป์แห่งอดีต ในเมืองแห่งวันเวลาที่ค่อยเป็นไป
สุขใจจริง ๆ ครับ สำหรับวันแล้ววันเล่าที่ผมวนเวียนอยู่กับการเที่ยวชมศิลปกรรมตามวัดวาอารามต่าง
ๆ ในเมืองน่าน ไปพร้อม ๆ กับสังเกตดูว่าเมืองน้อย ๆ แห่งนี้
มีความเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน หลังจากไม่ได้มาเยี่ยมเยือนเสียนานหลายปี
อากาศหนาว แดดอุ่นสวย ท้องฟ้าสีครามใส เป็นใจให้ตลอดเวลาที่ผมตระเวนไปรอบ
ๆ ตามเส้นทาง ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยม น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน ที่น่านในวันนี้ยังไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่
ทำเอาผมชักเริ่มรู้สึกอย่างที่เขาชอบพูดกันแล้วละครับ
ว่าเวลาที่เมืองน่านอาจจะเดินช้ากว่าที่อื่นจริง ๆ
บนจุดชมทิวทัศน์วัดพระธาตุเขาน้อย
มองลงมาเมืองน่านยังดูสงบสวยอยู่โอบล้อมของขุนเขา เห็นตึกรามบ้านช่องสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาบ้างแต่ไม่ได้มากมาย เจดีย์เหลี่ยมที่มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปเรียงรายลดหลั่นตามแบบหริภุญไชยของวัดพญาวัด
ริมทางผ่านขึ้นลงเขาก็รักษาสภาพความเก่าแก่งดงามเอาไว้ดีอยู่ มีเพียงวิหารที่อยู่ในระหว่างซ่อมสร้าง เดินดูรอบ
ๆ ลายแกะสลักไม้ ๑๒ นักษัตรประดับวิหารที่ผมเคยชื่นชอบก็อยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ บรรยากาศรอบข้างร่มรื่นเขียวขจี
ด้วยแมกไม้
ทิวทัศน์จากวัดพระธาตุเขาน้อย |
เช่นเดียวกับในอีกมุมเมือง
ปูชนียสถานสำคัญ วัดพระธาตุแช่แห้ง ยังคงตระหง่านงามด้วยเจดีย์สีทองอร่ามอยู่บนเนินเขาน้อย
ๆ นอกเมืองน่าน ให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาสักการะเพื่อเป็นศิริมงคลในการเดินทาง
มีเพียงย่านโบราณสถานอันเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญใจกลางเมือง
ในบริเวณที่เรียกว่า “ข่วงเมืองน่าน” ดูเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ตรงที่ปัจจุบันไม่มีสายไฟฟ้าซึ่งเคยระโยงระยางรุงรังให้เห็นอีกแล้ว
หลังจากย้ายลงไปไว้ใต้ดินเมื่อไม่กี่ปีมานี้
รวมถึงวัดวาอารามสำคัญแต่ละแห่งได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์จนเอี่ยมอ่อง จัดภูมิทัศน์สองฟากฝั่งถนนอย่างสวยงาม
พรั่งพร้อมด้วยศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เดิน ๆ อยู่จะเห็นรถทัศนาจรหน้าตาเหมือนรถรางนำนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศเต็มคันแล่นลดเลี้ยวชมเมืองพร้อมเสียงบรรยายเจื้อยแจ้วของมัคคุเทศก์
ได้อารมณ์ของความเป็นเมืองท่องเที่ยว
วัดพระธาตุแช่แห้ง |
จุดสนใจอันดับต้น ๆ
ของผมที่เทียวไปเทียวมาอยู่ทุกวันคือวัดภูมินทร์ ครับ ด้วยความประทับใจในสุดยอดสถาปัตยกรรมหนึ่งเดียวในประเทศไทย(และในโลกก็ว่าได้)
ที่รวมเอาวิหารและโบสถ์เข้าด้วยกันเป็นอาคารจัตุรมุข ตระหง่านงามอยู่บนหลังพญานาค
๒ ตัว
กึ่งกลางภายในประดิษฐานพระประธาน ๔ ทิศ แปลกไม่เหมือนที่ไหน อีกอย่างที่ปัจจุบันเป็นที่สนใจกันมากก็คือภาพจิตรกรรมฝาผนังภายใน
ซึ่งว่ากันว่าวาดขึ้นในช่วงปฏิสังขรณ์ใหญ่ปลายรัชสมัยรัชกาลที่
๔ ต่อรัชกาลที่ ๕ โดยมีภาพพุทธประวัติอยู่ด้านบน ของผนังทั้ง ๔ ด้าน ส่วนล่างของผนังทางทิศเหนือ ตะวันออก
และใต้ วาดเป็นเรื่องคัทธณะกุมารชาดก ส่วนด้านตะวันตกวาดเรื่องเนมิราชชาดก
ความแปลกตาของจิตรกรรมเมืองน่านอยู่ที่ศิลปินวาดภาพตัวเอกใหญ่มาก
เกือบเท่าขนาดคนจริง และแม้แต่ตัวประกอบก็มีขนาดใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม ผิดกับจิตรกรรมฝาผนังโดยทั่วไป
คุณค่าของภาพนอกจากความสวยงามแล้วยังอยู่ที่เนื้อหาในภาพ ที่บันทึกรายละเอียดสถาปัตยกรรมบ้านเรือน
ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ทรงผม เสื้อผ้า การแต่งกายของชาวน่านในอดีตเอาไว้อย่างน่าดู
วิหารจัตุรมุข วัดภูมินทร์ |
จิตรกรรม ปู่ม่าน ย่าม่าน อันลือลั่น |
โดยเฉพาะภาพหนุ่มสาวชาวพม่าข้างประตู ที่ฝ่ายชายป้องปากหันไปทางฝ่ายหญิงซึ่งเอียงหูเข้ามา
เรียกกันว่าภาพ “กระซิบ” ซึ่งปัจจุบันจากการนำไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง
ๆ กลายเป็นภาพ "กระซิบรักบันลือโลก" ฮิตติดลมบนไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าไปที่ไหนในเมืองน่าน ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ต
ก็หรือแม้ตามถนนหนทางก็ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป จนแทบจะเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างของเมืองน่าน
ในขณะที่ภาพนรกสวรรค์อันน่าตื่นตาตื่นใจอยู่บนผนังข้างประตูอีกด้าน
มาจากเรื่อง “เนมิราชชาดก” ที่พระวิษณุกรรมรับบัญชาจากพระอินทร์พาพระเนมิราชไปชมเมืองสวรรค์กับเมืองนรก เป็นอีกภาพที่น่าสนใจ เพราะสะท้อนถึงความเชื่อของผู้คนเมืองน่าน
มุมหนึ่งยังมีภาพวาดของเรือกลไฟ ที่ดูดี
ๆ จะเห็นฝรั่งตะวันตกเป็นผู้โดยสาร เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์สะท้อนการเข้ามาของชาวตะวันตกในยุคนั้นรายละเอียดพวกนี้
ต้องใช้เวลาค่อย ๆ ดู พินิจพิจารณาไป วันละนิดละหน่อย (เแหงนคอดูนาน ๆ
ก็เมื่อยเหมือนกันนี่ครับ )
ฝั่งตรงข้ามกันกับวัดภูมินทร์ สถาปัตยกรรมตะวันตกผสมพื้นเมืองของ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
น่าน โดดเด่นอยู่หลังแนวต้นลั่นทมที่เรียงรายริมรั้ว กลายเป็นอุโมงค์ต้นไม้ที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายภาพกัน
บนสนามหญ้าหน้าพิพิธภัณฑ์ยังเป็นที่ตั้งของวัดน้อย
วัดที่ขนาดเล็กที่สุดในเมืองน่าน และน่าจะเล็กที่สุดในประเทศไทยและในโลกอีกด้วย
ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์อันสวยงาม แต่เดิมเป็น”หอคำคุ้มแก้ว”
ที่ประทับและว่าราชการของเจ้าผู้ครองนครน่าน ภายในซึ่งมี ๒ ชั้นแบ่งเป็นชั้นล่างจัดแสดงชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าต่าง
ๆ ในจังหวัดน่าน รวมทั้งเทศกาลงานประเพณีสำคัญของจังหวัด เช่น พิธีสืบชะตา การแข่งเรือ
ส่วนชั้นบนจัดแสดงโบราณวัตถุสมัยต่าง ๆ ที่พบในจังหวัดน่าน ซึ่งชิ้นที่สำคัญที่สุดคืองาช้างดำ
วัตถุมงคลคู่บ้านคู่เมืองน่าน ถูกเก็บไว้ในห้องกระจกอย่างดี มาพิพิธภัณฑ์แต่ละครั้งผมใช้เวลาอยู่ได้นาน ๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่แดดแรง เดินข้างนอกไม่ไหว อาศัยหลบแดดดูโน่นดูนี่อยู่ข้างใน
ไม่ร้อนดีครับ
หอไตรวัดหัวข่วงอันงดงาม |
สถาปัตยกรรมอิทธิพลสุโขทัยเจดีย์วัดช้างค้ำ
อาบแสงสีทองอร่ามยามเย็น ช่วงเวลานี้เหมาะที่จะไปเยี่ยมชมวัดหัวข่วง
อารามเล็ก ๆ ที่อยู่เยื้องกัน จุดเด่นของวัดนี้อยู่ที่การจัดวางผังอย่างตัวกำแพงรั้ววัดที่ไม่สูงจนเกินไป
ทำให้บริเวณวัดดูมีพื้นที่เหมาะเจาะกำลังดี ไม่อึดอัด
เจดีย์ประธานองค์ใหญ่สง่างามอยู่หลังวิหาร จุดเด่นประการสำคัญ คือหอไตรที่ประดับลวดลายอย่างเรียบง่าย
แต่งดงาม จนหลายต่อหลายคนที่มาเห็นหลงใหล ส่วนใหญ่บอกว่าเห็นแล้วรู้สึกคล้าย ๆ
ศิลปกรรมในเมืองหลวงพระบาง
ปูนปั้นอันวิจิตรของวัดมิ่งเมือง |
ไม่ไกลจากกัน ความอลังการของลวดลายปูนปั้นที่วัดมิ่งเมือง เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นอีกแห่งของเมืองน่าน
ถึงขนาดพูดกันว่า “ไปเที่ยวเชียงรายต้องไม่ลืมแวะวัดร่องขุ่น
มาเที่ยวเมืองน่านก็ไม่ควรผ่านเลยวัดมิ่งเมืองเหมือนกัน” วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานเสาหลักเมืองน่าน
วิหารและศาลหลักเมืองที่ขาวโพลนอลังการตระการตาด้วยฝีมือปั้นปูนอันละเอียดยิบยับของสล่าเสาร์แก้ว
เลาดี ช่างปูนปั้นสกุลช่างเชียงแสน ในวิหารยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังมารผจญและประวัติเมืองน่านที่งดงามตระการตาอย่างสกุลช่างเมืองน่าน
ฝีมืออาจารย์สุรเดช กาละเสน ศิลปินสายเลือดน่าน ผู้ที่กลายเป็นตำนานไปแล้วในวันนี้
ปูนปั้นสีทองวัดศรีพันต้น |
อีกวัดหนึ่งที่คล้าย ๆ กันกับวัดมิ่งเมือง
คือวัดศรีพันต้น วิหารประดับประดาด้วยลวดลายปูนปั้นระยิบระยับไม่แพ้กัน
ในวิหารก็มีจิตรกรรมประวัติเมืองน่านเหมือนกันด้วย มีต่างกันอยู่ก็ตรงสีสัน
ที่ทางวัดศรีพันต้นทาสีทองอร่ามมลังเมลืองไปทั้งหลังเท่านั้น
นี่แหละ เหตุผลที่ว่า
ทำไมผมถึงใช้เวลาหลายวันวนเวียนไปมาอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แค่นี้
นั่นก็เพราะรายละเอียดดี ๆ ที่น่าสนใจมีอยู่เยอะครับ
บรรยากาศภายในหอศิลป์พิงพฤกษ์ |
เวลาแห่งชีวิตของศิลปิน
หอศิลป์พิงพฤกษ์
หอศิลป์ชั้นเดียวเล็ก ๆ
ที่หลบมุมอยู่ในเงาของร่มไม้ริมรั้ว ดูไม่แตกต่างไปจากภาพในความทรงจำเมื่อหลายปีก่อน
ตอนนั้นผมมาตระเวนขี่จักรยานเที่ยวกับเพื่อนคู่หูคู่ปั่นในเมืองน่าน
แล้ววันหนึ่งก็ขับรถแวะเวียนผ่านมาพบหอศิลป์แห่งนี้เข้าโดยบังเอิญ
จำได้ดีครับถึงความรู้สึกตื่นเต้น
ที่ได้รู้ว่าที่แห่งนี้คือบ้านของอาจารย์สุรเดช กาละเสน ศิลปินผู้วาดจิตรกรรมฝาผนังอันงดงามตระการตาในวิหารวัดมิ่งเมือง
ที่เราได้ไปดูไปเห็นมา พร้อม ๆ ไปกับรู้สึกเสียดายอย่างที่สุด เมื่อได้รู้ว่าเจ้าของบ้านได้จากโลกนี้ไปแล้ว
ก่อนที่จะทันได้เปิดหอศิลป์ส่วนตัวที่ค่อยๆ
ก่อร่างสร้างขึ้นทีละเล็กละน้อยจนใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ในบริเวณบ้าน
ยังดีที่คุณโสภา
กาละเสน ภรรยา ยืนหยัดในอุดมการณ์ เดินหน้าสานต่อความฝันด้วยการ เปิด “หอศิลป์พิงพฤกษ์”
จัดแสดงนิทรรศการผลงานของอาจารย์สุรเดชที่ทิ้งเอาไว้จนสำเร็จอย่างที่ได้เห็น บอกตรง
ๆ ครับ ว่าตอนแรกนั้นผมเองยังคิดว่าน่าจะไปไม่รอด เพราะขาดตัวศิลปินผู้สร้างผลงาน คงอยู่ลำบาก
ผ่านไปหลายปี กลับมาอีกครั้ง ได้เห็นหอศิลป์น้อย ๆ แห่งนี้ยังคงอยู่ ก็รู้สึกโล่งใจ
กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ
ผลงานอาจารย์สุรเดช กาละเสน |
ภายในหอศิลป์เรียงรายด้วยผลงานของอาจารย์สุรเดช กาละเสนในรูปแบบต่าง ๆ
ทั้งที่วาดด้วยลายเส้นดินสอ สีน้ำ สีอครีลิค และสีน้ำมัน
จิตรกรรมฝาผนังที่คัดลอกแบบจากจิตรกรรมวัดภูมินทร์ ที่เน้นเลือกมาวาดเฉพาะภาพที่ประทับใจ
ภาพสเก็ตช์ ภาพบุคคลเหมือนจริง ภาพทิวทัศน์ป่าเขาลำเนาไพร แถมมีหลายขนาด
ตั้งแต่งานขนาดเล็กบนแผ่นกระดาษ ไปจนกระทั่งงานขนาดใหญ่บนผืนผ้าใบสูงท่วมหัว
งานที่โดดเด่นที่สุดก็คืองานด้านจิตรกรรมไทยประเพณีสกุลช่างเมืองน่าน ที่ท่านเรียนรู้จากผลงานชั้นครูคือจิตรกรรมวัดภูมินทร์
จนสามารถสืบสานงานในอดีต นำมาประยุกต์สร้างสรรค์เป็นผลงานใหม่ได้อย่างงดงาม
เชื่อได้เลยว่าใครที่มาเยือน
ได้เห็นผลงานแต่ละชิ้นแล้วก็ต้องทึ่งละครับ ยิ่งหากได้รู้ประวัติว่าศิลปินชาวน่านท่านนี้ไม่เคยผ่านการร่ำเรียนหลักสูตรทางด้านศิลปะโดยตรงจากสถาบันการศึกษา
ไม่ว่าในระดับไหนทั้งนั้น หากแต่อาศัยใจรักด้านศิลปะ
หมั่นศึกษาศึกษาค้นคว้า โดยเฉพาะจากภาพจิตรกรรมสกุลช่างเมืองน่าน นำมาเป็นแบบฝึกฝนด้วยตนเอง
จนกระทั่งมีฝีมือเข้าขั้น
การันตีฝีมือได้ด้วยรางวัลด้านศิลปะมามากมายที่ได้รับ
เด่น ๆ ได้แก่ รางวัลศิลปินดีเด่นจังหวัดน่านสาขาทัศนศิลป์ ด้านจิตรกรรม ประจำปี ๒๕๔๒ จากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ รางวัลชนะเลิศการประกวดแบบตราสัญลักษณ์
"น่านเมืองศิลปวัฒนธรรมนำสู่มรดกโลก"
แต่ผลงานที่ถือเป็นชิ้นเอกจริง ๆ คือจิตรกรรมฝาผนังที่วัดมิ่งเมือง ซึ่งวาดในเวลาว่างเว้นจากการทำงานประจำเป็นเจ้าหน้าที่โสตทัศนศึกษาในโรงพยาบาลจังหวัดน่าน แม้ขณะทำงานยังถูกรบกวนด้วยโรคประจำตัวคือเบาหวานและความดันโลหิตสูง
ทว่านั่นไม่ได้ทำให้ย่อท้อยังคงมุ่งมั่นทำงานจนสำเร็จ ฝากผลงานเอาไว้ในพุทธศาสนา
มุมทำงาน |
มุมด้านหนึ่งของหอศิลป์
โต๊ะทำงานและอุปกรณ์วาดภาพถูกจัดวางเรียงรายอยู่ มองดูเหมือนกับว่า
เจ้าของลุกไปเดินผ่อนคลายอิริยาบถแค่สักชั่วครู่ครั่วยาม แล้วจะกลับมานั่งทำงานต่อ ทว่าภาพวาดของอาจารย์สุรเดชในกรอบบนตู้ใส่หนังสือริมผนังอีกด้านซึ่งวางไว้ด้วยพวงมาลัยนั่นแหละ
ที่ทำให้รู้ว่าท่านจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว บนโต๊ะริมประตูทางเข้ายังมีภาพของอาจารย์สุรเดชกำลังนั่งเฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารีอยู่อีกภาพหนึ่ง
คุณมานะ
ทองใบศรี ผู้ดูแลหอศิลป์เล่าถึงความเป็นมาของแต่ละภาพ
“ภาพสเก็ตช์รูปตัวเองด้วยลายเส้นดินสอนี้เป็นภาพสุดท้ายของอาจารย์ วาดตัวเองจากภาพสะท้อนในกระจก ๓ วัน ก่อนที่ท่านจะเสีย หลังจากวันที่รับเสด็จสมเด็จพระเทพฯ
ในภาพถ่ายนั้นแหละครับ เช้ารุ่งขึ้นก็หัวใจวายเฉียบพลัน ”
แม้ว่าอาจารย์สุรเดชจะจากไปนานหลายปีแล้ว
แต่ผลงานที่สร้างไว้ก็ยังมีอยู่อีกมาก ที่ยังถูกเก็บรักษาเอาไว้ ไม่ได้เข้ากรอบนำมาจัดแสดง
ซึ่งผมก็หวังว่ากลับมาเยือนในครั้งต่อ ๆ ไป จะมีโอกาสที่ได้ชื่นชมกับผลงานเหล่านั้น เชื่อได้แน่นอนว่าต้องสวยงาม น่าประทับใจ
ตามแบบสกุลช่างเมืองน่าน
ผมอำลาจากหอศิลป์มา
เมื่อแสงแดดยามเย็นสาดส่องลายปูนปั้นภาพวิถีชีวิตในอดีตของชาวน่านบนผนังด้านนอกของหอศิลป์ ซึ่งอาจารย์สุรเดชลงมือเรียงหินรวมทั้งปั้นปูนบนผนังนี้เองกับมือ
อาคารหอศิลป์พิงพฤกษ์แม้ไม่ใหญ่โต
แต่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของผู้ที่ชื่นชอบในงานศิลป์
คนสร้างงานศิลปะเหมือนกันเท่านั้นแหละครับ
ถึงจะรู้ ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะใช้เวลาในชีวิตซึ่งไม่ยาวนานอย่างมีคุณค่า
สร้างผลงานระดับ “ชิ้นเอก” ซึ่งแม้ตัวศิลปินจะจากไปแล้ว แต่ผลงานที่สร้างไว้ยังคงอยู่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้มาพบเห็นต่อไปได้อย่างนี้
หอศิลป์ริมน่าน |
หอศิลป์ริมน่าน อาณาจักรศิลปกรรมเหนือกาลเวลา
ออกห่างจากตัวเมืองน่านมาประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ตามถนนสายลดเลี้ยวร่มรื่น
ริมสายน้ำน่าน ท่ามกลางความเขียวขจีของแมกไม้
และเนินเขาเล็ก ๆ สวยงาม ที่พลิ้วไหวด้วยทะเลหญ้าสีเขียวขจี เป็นที่ตั้งของหอศิลป์ริมน่าน
นับตั้งแต่เคยมาเห็นครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ผมบอกได้คำเดียวครับ
ว่าที่แห่งนี้คือ “อาณาจักรของศิลปกรรม” อย่างแท้จริง เพราะบนพื้นที่กว้างขวางกว่า ๑๓ ไร่ ในสภาพภูมิประเทศที่เป็นธรรมชาติ จัดสร้างเป็นหอแสดงงานศิลปะขนาดใหญ่
ผู้ที่สถาปนาอาณาจักรจักรแห่งศิลปะนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
เป็นศิลปินชาวน่านแท้ ๆ อาจารย์วินัย ปราบริปู หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ตักศิลาแห่งศิลปกรรม
คร่ำหวอดอยู่ในวงการกว่า ๒๕ ปี มีประสบการณ์แสดงงานศิลปะทั้งในประเทศ
รวมทั้งต่างประเทศที่เจริญด้วยศิลปะอย่างในยุโรปและอเมริกาจนนับจำนวนครั้งไม่ถ้วน เกิดเป็นความตั้งใจที่จะสร้างหอศิลป์ขึ้นแสดงงานศิลปะ
ท่ามกลางความงดงามของทิวทัศน์ธรรมชาติ เพื่อให้เด็กเยาวชน และประชาชนในจังหวัดบ้านเกิดเล็ก ๆ
อย่างน่านได้มีโอกาสสัมผัสศึกษาเรียนรู้ผลงานของศิลปินระดับชาติ ศิลปินชั้นเยี่ยม เช่นเดียวกับในกรุงเทพฯและมหานครในต่างประเทศ
งานศิลปะที่จัดแสดงภายใน |
“เชิญชมตามสบายนะ “
ศิลปินใหญ่ในเสื้อม่อฮ่อมสีน้ำเงินเดินทักทายนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอย่างเป็นกันเอง
ภายในอาคาร ๒ ชั้นขนาดใหญ่ บนจั่วหลังคาทำเป็นรูปลูกศรประดับภาพดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
โถงชั้นล่างโล่งกว้างเป็นห้องแสดงนิทรรศการศิลปกรรมร่วมสมัย
ซึ่งมักจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ตอนที่ผมมาชมนี้เป็นนิทรรศการ
“อิสรภาพแห่งจิตวิญญาณ” ของอาจารย์วินัย
ปราบริปูเอง สวย ๆ ทั้งนั้นครับ
มีทั้งภาพจิตรกรรม ประติมากรรม เดินดูเล่น ๆ ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงแล้ว
เพราะเยอะมาก อยากรู้มีภาพอะไรคงต้องมาดูเองครับ บรรยายทั้งหมด
คงต้องใช้กระดาษหนาเป็นเล่มสมุดโทรศัพท์แน่ ๆ
ภาพล้อ ฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ |
ส่วนบนชั้น
๒ จัดแสดงผลงานศิลปะที่เป็นงานสะสมของอาจารย์วินัย มีจิตรกรรมงาม ๆ ระดับ
”มาสเตอร์พีซ” หลายภาพ ทั้งทิวทัศน์ ผู้คน
ที่เกี่ยวกับเมืองน่าน รวมทั้งประติมากรรมที่จัดวางไว้เรียงราย แต่ภาพที่ถือเป็นไฮไลต์
คือภาพวาดฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี รวม ๓ ภาพ
ภาพหนึ่งชื่อว่าภาพ “กระซิบรัก” ทรงเขียนลายเส้นด้วยสีเลียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง
“กระซิบ” ของวัดภูมินทร์
ภาพที่สองชื่อภาพ
“ตะโกน” ซึ่งล้อเลียนภาพ “ปู่ฝรั่ง ย่าฝรั่ง”ของอาจารย์วินัย โดยทรงวาดเป็นลายเส้นรูปชายไว้ผมทรงโมฮอว์ก
ป้องปากตะโกนใส่หญิงเกล้าผมมวยซึ่งยกมือปิดหูหลับตาปี๋ (ภาพนี้ให้แรงบันดาลใจกับอาจารย์วินัย
นำไปสร้างเป็นประติมากรรมจากน็อตเป็นรูปชายหญิง
ตั้งไว้ด้านหน้าร้านของที่ระลึกของหอศิลป์)
และภาพสุดท้ายชื่อ “เจรจาสันติภาพ”
เป็นลายเส้นขาวดำรูปคนอยู่ในเรือ ๒ คน ทรงวาดในโอกาสทรงนำคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ
มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลมาเยือนหอศิลป์ริมน่าน ได้ชมแค่ ๓ ภาพนี้ก็เกินคุ้มแล้วละครับ ว่างั้น
เฮือนหนานบัวผัน |
มาคราวนี้ผมสังเกตเห็นว่าที่ห้องจัดแสดงใหม่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ
“เฮือนหนานบัวผัน” จัดนิทรรศการภาพถ่ายประวัติจิตรกรรมฝาผนังเมืองน่าน
ซึ่งอาจารย์วินัยได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของจิตรกรรมฝาผนังสกุลช่างเมืองน่านที่วัดหนองบัว
และวัดภูมินทร์ ซึ่งมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ จนพบว่าเป็นฝีมือของ
“หนานบัวผัน” ศิลปินชาวไทยลื้อ
จึงได้นำเอาข้อมูลและภาพถ่ายจิตรกรรมที่ใช้ศึกษาเปรียบเทียบมารวบรวมจัดแสดงเป็นนิทรรศการถาวรเพื่อเชิดชูเกียรติหนานบัวผัน
ในฐานะศิลปินเอกของเมืองน่าน
ถือเป็นงานค้นคว้าทางศิลปกรรมที่ทรงคุณค่าของอาจารย์วินัย
ซึ่งมีการรวบรวมจำหน่ายเป็นเล่มพร้อมคำบรรยายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้ผู้สนใจได้ซื้อหาไปไว้ศึกษา
ใครอยากรู้รายละเอียดว่าเกี่ยวกับหนานบัวผันคงต้องมาหาไปอ่านเอาเองครับ
เล่าตรงนี้คงที่ไม่พอ (ขนาดที่รวมเล่ม ยังหนาปึ้กเลยละครับ)
กลับออกมาจากหอศิลป์ริมน่านพร้อมของที่ระลึก
หนังสือ และซีดีเพลงล้านนา หอบใหญ่ ใช้เวลาไปทั้งวันเต็ม ๆ เลยครับ
ตั้งแต่เช้ายันเย็น เสียดายที่หอศิลป์ริมน่านอยู่ไกลถึงเมืองน่าน นี่ถ้าอยู่ใกล้ ๆ
บ้านผมคงจะได้แวะเวียนมาเที่ยวชมทุกวันเป็นแน่
พระพุทธรูปในรากไทร |
อยากหยุดเวลาเอาไว้ให้เมืองน่าน
แม้จังหวะชีวิตในเมืองน่านจะเป็นไปอย่างเนิบช้า
แต่ความรู้สึกเกี่ยวกับเวลานี่เป็นเรื่องแปลกครับ เวลาที่เรามีความสุขรู้สึกจะเหมือนกับว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแผล็บเดียวก็ถึงวันที่ผมจะต้องอำลาเมืองน่านซึ่งชีวิตค่อยเป็นค่อยไป
กลับสู่เมืองกรุงที่ชีวิตเร่งรีบและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย (ตกลงว่าเวลามันช้าหรือเร็วกันแน่ละเนี่ย
)
แม้เมืองน่านในวันนี้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ผมได้รู้จักในครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน
แต่ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอนครับ ยิ่งเมื่อเห็นถนนสายหลักที่ผ่านเมืองน่านในวันนี้กำลังมีการขยายถนนให้กว้างใหญ่
เพื่อเตรียมรับประชาคมอาเซียน ได้ยินว่าจะใช้เป็นเส้นทางการค้า
ขนส่งสินค้าผ่านลาวไปจนกระทั่งถึงตอนใต้ของจีน
อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเมื่อเปิดเส้นทางขนส่งสินค้าและผู้คนที่สัญจรไปมามากขึ้น อาจจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็เป็นได้
ถึงเวลานั้นเวลาที่เมืองน่านอาจจะไม่เนิบช้าอีกต่อไป
ครับ
ก็ได้แต่เป็นห่วง ทอดสายตามองเมืองน่านที่จากมาด้วยความอาลัย หวังว่าคงจะมีโอกาสได้กลับมามีช่วงเวลาสบาย ๆ สุนทรีย์ในอารมณ์กับจิตรกรรมประเพณีและจิตรกรรมร่วมสมัยในเมืองน่านอีก
ขอขอบคุณ
อาจารย์วินัย ปราบริปู หอศิลป์ริมน่าน คุณโสภา กาละเสน คุณมานะ ทองใบศรี
หอศิลป์พิงพฤกษ์ ที่ได้อำนวยความสะดวกในการจัดทำสารคดีเรื่องนี้จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
คู่มือนักเดินทาง
รถยนต์ จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๑ (ถนนพหลโยธิน) ผ่านประตูน้ำพระอินทร์
แล้วแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๒ ที่ อำเภอวังน้อย ผ่าน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี
ชัยนาท แล้วเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๑ อีกครั้ง ที่จังหวัดอุทัยธานี ตรงไปจนถึงจังหวัดนครสวรรค์
จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๑๑๗ จนถึงจังหวัดพิษณุโลก แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข
๑๑ ผ่านจังหวัดอุตรดิตถ์ และอำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ จากเด่นชัยใช้ทางหลวงหมายเลข
๑๐๑ ผ่านอำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตรงเข้าถึงจังหวัดน่านที่
อำเภอเวียงสา รวมระยะทางประมาณ ๖๖๘ กิโลเมตร
รถโดยสารประจำทาง มีรถโดยสารประจำทางธรรมดา และปรับอากาศไปจังหวัดน่านทุกวัน ที่สถานีขนส่งสายเหนือ
ถนนกำแพงเพชร ๒ (หมอชิต ๒) ใช้เวลาเดินทางประมาณ
๑๐ ชั่วโมง ถึงจังหวัดน่าน ติดต่อ บริษัท ขนส่ง จำกัด โทรศัพท์ ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๕๒-๖๖ หรือที่เว็บไซต์ www.transport.co.th สถานีขนส่งน่าน โทรศัพท์ ๐ ๕๔๗๑ ๑๖๖๑ บริษัท
ขนส่งน่าน จำกัด โทรศัพท์ ๐ ๕๔๗๑ ๐๑๒๗
หอศิลป์ริมน่าน
ตั้งอยู่เลขที่ ๑๒๒ หมู่ ๒ ตำบลบ่อ อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน ๕๕๐๐๐ เปิดบริการ
เวลา ๐๙.๐๐-๑๗.๐๐ นาฬิกา ทุกวัน ปิดวันพุธ
อัตราค่าเข้าชม ๒๐ บาท การเดินทางใช้ทางหลวงหมายเลข ๑๐๘๐ (น่าน- ท่าวังผา) ระยะทางประมาณ ๒๐ กิโลเมตร
จากตัวเมืองน่าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ ๐ ๕๔๗๙ ๘๐๔๖ (เวลาราชการ) หรือ
www.nanartgallery.com
หอศิลป์พิงพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่บ้านนาท่อ
ตำบลไชยสถาน อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน ๕๕๐๐๐
เปิดบริการ
เวลา ๐๙.๐๐-๑๗.๐๐ นาฬิกา ทุกวัน
ไม่เก็บค่าเข้าชม การเดินทาง ออกจากตัวเมืองผ่านวัดศรีพันต้น ใช้ทางหลวงหมายเลข (ถนนสายน่าน – พะเยา)
เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงชนบทหมายเลข นน. ๔๐๐๔ (บ้านน้ำปั้ว-เวียงสา)
จุดสังเกตคือปากซอยมีศาลพระภูมิตั้งอยู่หลายหลัง
ตรงเข้าไปแล้วเลี้ยวขวาเข้าซอยชุมชนร่วมใจพัฒนา ไปประมาณ ๕๐เมตร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทรศัพท์ ๐๘ ๑๙๘๐ ๖๔๗๐
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น