ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ ๕๐ ฉบับที่ ๓ เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
เมืองหนองคายในตอนสาย ๆ บรรยากาศยังคงเงียบสงบ ถนนหนทางปลอดโปร่ง รถเราไม่ติดขัด สองสหายเราเดินออกจากบังกะโลที่พัก ทอดน่องสบาย ๆ กันไปตามฟุตปาธ มุ่งหน้าไปหาไข่กระทะรองท้องเป็นมื้อเช้า แล้วว่าจะไปโต๋เต๋ซื้อของกันในตลาดท่าเสด็จ หาของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านเป็นรายการต่อไป เพราะวันนี้เป็นวันที่เราจะต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ หลังจากที่ข้ามฝั่งโขงไปตะลอนบนเส้นทางเวียงจันทร์-วังเวียง-เชียงขวางกันมาเสียหลายวัน
ครั้งแรก ๆ ที่มาหนองคายพบก็เหมือนกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ นั่นแหละครับ ที่ต้องแวะเวียนไปแหล่งท่องเที่ยวสำคัญสักภาระหลวงพ่อพระใสที่วัดโพธิ์ชัย ชมประติมากรรมเทวรูปมหึมาที่ศาลาแก้วกู่ ฯลฯ แต่พักหลังก็เริ่มที่จะรู้สึกขึ้นมาว่า ไม่ต้องตระเวนดูแหล่งท่องเที่ยวทุกแห่งก็ได้ เพียงแค่หาที่พักผ่อนหย่อนใจ ปรับเปลี่ยนชีวิตในแต่ละวันให้ช้าลง ตามจังหวะชีพจรของเมืองชายแดนที่ดำเนินไปอย่างเนิบ ๆ เท่านี้ก็รู้สึกมีความสุขไปอีกแบบ
ยิ่งเมืองหนองคายได้ชื่อว่าเป็นเมืองน่าอยู่อันดับ ๗ ของโลกด้วยแล้ว เปรียบเสมือนมีใบรับประกันคุณภาพระดับนานาชาติครับ เรื่องน่าอยู่นี่ใครที่มาถึงหนองคายจะสัมผัสได้ด้วยตัวเอง ด้วยความที่ตัวเมืองหนองคายอยู่ริมน้ำเย็นสบาย อากาศสดชื่น ผู้คนไม่พลุกพล่าน อาหารการกินอร่อย ที่พักก็ราคาไม่แพง พูดรวม ๆ ก็คือสิ่งแวดล้อมดี
หลักฐานยืนยันพิสูจน์ความน่าอยู่ได้อย่างเป็นรูปธรรมอีกอย่างก็คือ ระหว่างที่เตร็ดเตร่อยู่ในเมือง เราจะเจอกับฝรั่งที่แต่งงานอยู่กินกับสาวชาวหนองคาย อุ้มลูกจูงหลานลูกครึ่ง มานั่งกินอาหารอยู่ตามร้านกันแบบเป็นครอบครัว ไม่ใช่น้อยนาครับ เห็นนับสิบรายทีเดียว แปรสภาพจากนักท่องเที่ยวมาตั้งรกรากอาศัยอยู่เป็นหลักเป็นฐานไปแล้ว น่าอยู่ขนาดไหนก็คิดดู เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแอบอิจฉาฝรั่งอยู่เหมือนกัน (อิจฉาที่ได้มาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนำอยู่ระดับโลกอย่างหนองคายนาครับ ไม่ใช่อะไร อย่าคิดมาก)
หนองคาย-เวียงจันทน์
หนแรกนั้นผมตั้งใจจะมาเที่ยวหนองคายทางรถไฟ ตามที่มีข่าวว่าเชื่อมต่อเส้นทางรางจากหนองคายเข้าไปในประเทศลาวเมื่อไม่นานมานี้ครับ แต่พอหาข้อมูลรายละเอียดมาดูเป็นเรื่องเป็นราวถึงเห็นว่า ทางรถไฟที่เข้าไปในลาวนั้นเข้าไปจริงแค่นิดเดียว ไม่กี่กิโลเมตร ถึงสถานีท่านาแล้วก็สุดทาง ต้องนั่งรถสามล้อ กระป๊อหรือสกายแล็บ ต่อเข้าไปในเวียงจันทน์อยู่ดี ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากเดิม (ไม่รู้ทำไปทำไมเหมือนกัน แต่แว่ว ๆ มาว่าต้องรีบทำตัดหน้าประเทศอื่น ทำนองจองไว้ก่อนอะไรประมาณนั้นแหละครับ) ก็เลยเซ็ง ๆ ไป
จังหวะพอดีกับที่ทาง พี่จ๊อด-หฤทัย บุญวงศ์โสภณ แห่งสีสันทัวร์ สหายร่วมอุดมการณ์ที่เคยไปตะลอน ๆ ด้วยกันมาทั้งในและต่างประเทศหลายครั้งหลายหน มีโครงการจะพาสื่อมวลชนเข้าไปสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวหนองคาย-วังเวียง-เชียงขวาง อยู่พอดี ผมเลยถือโอกาสสนธิกำลัง ขอติดสอยห้อยตามเข้าไปด้วยคน เพราะได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้การท่องเที่ยวบนเส้นทางสายนี้ กำลังได้รับความนิยมนอกเหนือจากสายที่ไปทางหลวงพระบาง เรียกว่าเป็นอีกทางเลือกใหม่ก็ว่าได้
โอเล่ ผู้ประสานงานจากบริษัททัวร์ในลาว เอารถตู้ฮุนไดข้ามฝั่งโขงมารับคณะพรรคของเราตั้งแต่เช้า (เห็นชื่อฝรั่งอย่างนี้เป็นคนไทย บ้านอยู่อุดรฯ นะครับ ไม่ใช่ฝรั่งอั้งม้อที่ไหน) จุดนัดหมายก็คือร้านทานตะวัน ไข่กระทะเจ้าดังของหนองคาย พวกเราอันประกอบด้วยผม พี่จ๊อด และ คุณปิ้น คอลัมนิสต์จากเว็บไซต์ผู้จัดการ ไปนั่งรอตั้งแต่เปิดร้าน กินไปรอรถไป ไม่เสียเวลา ออกจากร้านมาได้ก็ข้ามโขงกันเลย เดี๋ยวนี้ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเปิดให้ข้ามไปมาได้ตั้งแต่ ๖โมงเช้า แถมขั้นตอนรวดเร็วกว่าเก่าเยอะครับ ยื่นเอกสารไม่นานรถตู้ของเราก็แล่นข้ามสะพานปร๋อเข้าสู่ฝั่งลาว มองไปยังแลเห็นรางรถไฟสายใหม่พาดวางอยู่กลางสะพาน
"อ้าว ใช้ทางเดียวกันกับรถยนต์เลยนี่ แล้วเวลารถไฟข้ามมาจะทำยังไง" พี่จ๊อดสงสัย
"ก็ห้ามรถยนต์ ปล่อยให้รถไฟข้ามมาก่อนครับ เพราะนาน ๆ มาที" โอเล่ตอบ ก่อนที่อีกพักใหญ่ ๆ จะชี้ให้ดูริมทางที่ผ่าน "นั่นไงครับ ตัวอาคารสถานรถไฟ ยังใหม่เอี่ยมอยู่เลย"
หลายปีแล้วเหมือนกันที่ผมไม่ได้ข้ามมาฝั่งเวียงจันทน์ บ้านเมืองตึกรามบ้านช่องดูหนาตามากกว่าเดิม ถนนหนทางดูสะอาดสะอ้านขึ้น ลาดยางอย่างดี มีฟุตปาธเรียบร้อย แม้แต่ป้ายรถเมล์ก็ยังเป็นเพิงสเตนเลสแบบใหม่เงาแว้บ ดูทันสมัยเหมือนกับป้ายรถเมล์ในกรุงเทพฯ (ขาดไปก็แต่ป้ายจอดแท็กซี่อัจฉริยะเท่านั้นที่ยังไม่มีเหมือนบ้านเรา)
นึกเปรียบเทียบกับสภาพที่เคยเห็นตอนมาเวียงจันทน์ครั้งแรก เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นเมืองดูโทรม ๆ ตามถนนหนทางจะเห็นรถยนต์สีทีม ๆ หน้าตาเก่าโบราณจากรัสเซียบ้าง จีนบ้างแล่นไปแล่นมาอยู่บนถนน แถมมีไม่กี่คัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วครับกลายเป็นรถยนต์เกาหลียี่ห้อฮุนไดกับเกีย รวมทั้งเณอรี่ เก๋งคันจิ๋วจากจีนแผ่นดินใหญ่ ใหม่เอี่ยม สีสันสดใส แล่นกันอยู่ขวักไขว่เต็มถนนในเมือง รถตู้ที่เรานั่งก็เป็นยี่ห้อฮุนได รุ่นสตาเร็กซ์ ขนาดกะทัดรัด เป็นรุ่นที่ถือว่าฮิตมากรุ่นหนึ่ง เพราะไปไหนก็จะเห็นแต่รุ่นนี้วิ่งรับส่งนักท่องเที่ยว
"รถส่วนใหญ่จะนำเข้าจากจีน รถนำเช้าจากไทยจะราคาแพงกว่า อย่างมอเตอร์ไซค์นี่นำเข้าจากจีนราคา ๑๕,๐๐๐บาท ถ้านำเข้ามาจากเมืองไทยคันละ ๕๐,๐๐๐ บาท" โอเล่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อเห็นเราสนใจกับบรรดายวดยาน
ที่เห็นมีอยู่เยอะอีกอย่างก็คือป้ายโฆษณารณรงค์ "อยู่เมืองลาว ใช้เงินกีบ" ติดอยู่ทั่วไปในเมือง ไม่รู้ได้ผลหรือไม่อย่างไร เพราะเวลาไปซื้อของจริง ๆ เงินดอลลาร์และเงินบาทไทยก็เห็นยังใช้ได้อยู่เหมือนเดิม (แต่จะว่าไม่มีผลก็คงไม่ได้ละครับ อย่างน้อยก็เงินทอนนั่นแหละ ซื้อของทีไรได้ทอนจากแม่ค้ากลับมาเป็นเงินกีบทุกที นับกันไม่หวาดไม่ไหว)
แวะเวียนไปสังเกตการณ์แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในเวียงจันทน์ก็ต้องแปลกใจครับ เพราะแต่ละแห่งยังคงสภาพเหมือนเดิมที่เคยเห็น ยังไงก็ยังงั้น แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นที่ หอพระแก้ว ที่ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บโบราณวัตถุสำคัญ วัดสีสะเกด ตัวโบสถ์ จิตรกรรมฝาผนัง และหอไตรยังคงความเก่าคร่ำคร่าเอาไว้แนบแน่น รวมทั้ง พระธาตุดำ อันตระหง่านอยู่ก็คงพื้นผิวกระดำกระด่างอยู่อยู่ดังเดิม เช่นเดียวกับที่ วัดพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ โบราณวัตถุในระเบียงคดยังครบถ้วน องค์พระธาตุสีทองอร่ามตัดกับฟ้าครามเด่นเช่นเคย ที่เปลี่ยนไปคือภายนอกมี่การปรับภูมิทัศน์ใหม่ด้านหน้าประตูทางเข้าวัด กลายเป็นลานโล่งกว้างยังกับสนามบิน กับสร้างอาคารหอประชุมธรรมสภาที่ใหม่เอี่ยมอยู่ใกล้ ๆ กันเท่านั้น
ขนาดไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป พวกเราก็ยังใช้เวลาหมดไปกว่าครึ่งค่อนวันในการตระเวนเที่ยวดูเที่ยวชม ส่วนหนึ่งก็เสียเวลาไปกับการพักเที่ยง เพราะพิพิธภัณฑ์ที่นี่เขาปิดทำการตอนพักกลางวันด้วย (แถมถึงเวลาเปิดยังไม่ค่อยจะยอมเปิดเสียอีกแน่ะ สงสัยแอบไปงีบหลังมื้อกลางวัน) แต่ก็เป็นโอกาสให้เรามีเวลาได้ไปลิ้มลองอาหารบุฟเฟต์ที่ร้านชอบใจเด้อ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวในระหว่างรอ เข้าท่าดีเหมือนกันครับ อาหารหลากหลาย รสชาติอร่อยใช้ได้
แดดร่มลมตก พวกเราถึงพากันไปโต๋เต๋แถว ประตูชัยเวียงจันทน์ ที่สร้างเป็นอนุสาวรีย์รำลึกถึงเหล่าทหารหาญที่สละชีพ เพื่อชาติในสงคราม ซื้อตั๋วขึ้นไปชมทิวทัศน์ด้านบนของประตูชัย เดินขึ้นบันไดไปก็ให้นึกแปลงใจอยู่ไม่น้อยครับ เพราะภายในประตูชัยแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเห็นเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทั้งภายนอกภายใน ห้องโถงกลางยังคงทรุดโทรมคร่ำคร่ามืดทึม มีร้านขายของที่ระลึกเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น
แต่เมื่อมองลงมาจากด้านบนจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของเมืองใต้ชัด
ถนนหนทางที่กว้างขวางสะอาดสะอ้าน รถราแล่นกันขวักไขว่ ตึกรามบ้านช่องใหม่ ๆ
ผุดโผล่ให้เห็นหนาตา
บนลานด้านหน้าประตูชัยเดี๋ยวนี้ยังมีบ่อน้ำพุเต้นระบำเพิ่มเติมขึ้นมาด้วย
เปิดเฉพาะในยามเย็นที่มีประชาชนชาวลาวมาพักผ่อนหย่อนใจ ดูสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้น
เห็นมีคนสนใจมายืนคอยดูลีลาของน้ำพุเยอะเหมือนกัน
แหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งในเวียงจันทน์ที่คราวนี้เราเพิ่งมีโอกาสได้ดูกันเป็นครั้งแรก ทั้งที่มีนานแล้วก็คือ พิพิธภัณฑ์ปฏิวัติ อยู่ในอาคารเก่ าๆ ตรงข้ามศูนย์วัฒนธรรมในเมืองนั่นเอง ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าพวกเราแต่ละคนต่างเคยมาเวียงจันทน์กันคนละหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยมีใครได้เข้ามา คราวนี้ยังเกือบพลาดอีกแล้วครับ แต่ด้วยความที่การเดินทางครั้งนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนไกด์คนเก่งของเราเป็นต้องอ้างถึงพิพิธภัณฑ์ปฏิวัติทุกที ขากลับพวกเราก็เลยต้องขอแวะเข้ามาดูให้ได้ ไม่งั้นไม่หายคาใจ
แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ ภายในรวบรวมข้อมูล โบราณวัตถุ และภาพถ่ายจากหลอกหลายยุคสมัย เที่ยวชมแล้วช่วยให้เข้าใจประวัติศาสตร์ความเป็นมาของลาว ตั้งแต่เริ่มต้นมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันง่ายขึ้นเยอะเลย โดยเฉพาะห้องก่อนประวัติศาสตร์ ผมชอบใจเป็นพิเศษ เพราะมีโบราณวัตถุหินตั้งขนาดใหญ่อายุกว่า ๒,๐๐๐ ปี สลักลวดลายเป็นรูปดาว รูปทรงแปลกประหลาด ไม่เคยเห็นที่ไหน
เสียดายอยู่หน่อยครับ ที่คราวนี้เรามีเวลาให้กับเวียงจันทน์ไม่มากเท่าไหร่ (มาทีไรก็ยังงี้ทุกทีแหละ...เฮ้อ) เพราะยังมีจุดหมายต่อไปที่น่าสนใจรออยู่ข้างหน้าอีกหลายแห่ง แต่อย่างน้อยพวกเราก็ได้เห็นความเป็นไปในทางด้านการท่องเที่ยวของเวียงจันทน์ ว่าเจริญรุ่งเรืองเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มตัวแล้วในตอนนี้
แหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งในเวียงจันทน์ที่คราวนี้เราเพิ่งมีโอกาสได้ดูกันเป็นครั้งแรก ทั้งที่มีนานแล้วก็คือ พิพิธภัณฑ์ปฏิวัติ อยู่ในอาคารเก่ าๆ ตรงข้ามศูนย์วัฒนธรรมในเมืองนั่นเอง ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าพวกเราแต่ละคนต่างเคยมาเวียงจันทน์กันคนละหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยมีใครได้เข้ามา คราวนี้ยังเกือบพลาดอีกแล้วครับ แต่ด้วยความที่การเดินทางครั้งนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนไกด์คนเก่งของเราเป็นต้องอ้างถึงพิพิธภัณฑ์ปฏิวัติทุกที ขากลับพวกเราก็เลยต้องขอแวะเข้ามาดูให้ได้ ไม่งั้นไม่หายคาใจ
แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ ภายในรวบรวมข้อมูล โบราณวัตถุ และภาพถ่ายจากหลอกหลายยุคสมัย เที่ยวชมแล้วช่วยให้เข้าใจประวัติศาสตร์ความเป็นมาของลาว ตั้งแต่เริ่มต้นมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันง่ายขึ้นเยอะเลย โดยเฉพาะห้องก่อนประวัติศาสตร์ ผมชอบใจเป็นพิเศษ เพราะมีโบราณวัตถุหินตั้งขนาดใหญ่อายุกว่า ๒,๐๐๐ ปี สลักลวดลายเป็นรูปดาว รูปทรงแปลกประหลาด ไม่เคยเห็นที่ไหน
เสียดายอยู่หน่อยครับ ที่คราวนี้เรามีเวลาให้กับเวียงจันทน์ไม่มากเท่าไหร่ (มาทีไรก็ยังงี้ทุกทีแหละ...เฮ้อ) เพราะยังมีจุดหมายต่อไปที่น่าสนใจรออยู่ข้างหน้าอีกหลายแห่ง แต่อย่างน้อยพวกเราก็ได้เห็นความเป็นไปในทางด้านการท่องเที่ยวของเวียงจันทน์ ว่าเจริญรุ่งเรืองเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มตัวแล้วในตอนนี้
เวียงจันทน์-วังเวียง
รุ่งขึ้นรถตู้คันเก่าพาคณะพรรคเราออกจากโรงแรมที่พักในเวียงจันทน์แต่เช้า โดยมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกคนคือไกด์หนุ่มน้อยแก้มยุ้ย หุ่นตุ้ยนุ้ยคล้ายโดราเอมอน ขึ้นรถปุ๊บก็หันมาแนะนำตัวด้วยท่าทางอารมณ์ดี กับรอยยิ้มละไมระบายเอาไว้บนใบหน้าจนตายิบหยีแทบตลอดเวลา "ผมชื่อมานะครับ เป็นลูกครึ่งหลวงพระบาง-ไทยดำ จะมาทำหน้าที่มัคคุเทศก์ให้จนกระทั่งถึงวันกลับ"
นับแต่รถออก ยอดมัคคุเทศก์ของเราก็ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งไม่ว่าจะพบเจออะไรบนเส้นทาง มัคคุเทศก์ของเราอธิบายได้ทุกเรื่องราว พร้อมตัวเลขละเอียดยิบยังกับอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาพร้อมลูกเล่นลูกฮาเพียบ ทำให้การเดินทางคราวนี้ไม่มีคำว่าเงียบเหงากันละ
"ระยะทางจากเวียงจันทน์ถึงวังเวียง ๑๖๕ กิโลเมตรครับ ตอนนี้เราออกมาถึงเมืองโพนโฮง เป็นเมืองหลวงของแขวงเวียงจันทน์ เป็นคนละส่วนกับกำแพงนครเวียงจันทน์นะครับ อันนั้นเป็นเมืองหลวงของประเทศลาว...ที่เราข้ามมาคือสะพานเหล็กข้ามลำน้ำหลีก สหรัฐอเมริกามาสร้างไว้เมื่อปี ค.ศ.๑๙๖๐ เชื่อมระหว่างบ้านหินเกิบเหนือกับบ้านหินเกิบใต้ ลำน้ำนี้มีเส้นทางพายเรือคายักจากวังเวียงไปเวียงจันทน์ได้…แยกที่เห็นเป็นทางไปเขื่อนน้ำงึม เขื่อนแห่งแรกของประเทศลาว สร้างเมื่อปี ค.ศ.๑๙๖๓ ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า ข้างหน้ามีหมู่บ้านห้วยหม้อ เป็นชุมชนริมทะเลสาบน้ำงึมที่เกิดจากการกั้นเขื่อนน้ำงึม"
มองออกไปก็เห็นว่าบ้านเรือนสองฟากถนนเรียงรายไปด้วย แผงขายผลิตภัณฑ์อาหารจากทะเลสาบ ปลาตกแห้ง ปลาตัวเล็ก หลังจากรถแล่นตามทางคดเคี้ยวขึ้นเขาลงเขาอยู่นานพอสมควร ก็เข้าสู่เขตเมืองวังเวียง และเห็นเทือกเขาหินปูนทอดตัวยาวเหยียดเด่นอยู่แต่ไกล เสียงไกด์มานะยังบรรยายเรื่อย ๆ
"ช่วงปี ค.ศ.๑๘๖๓ ฝรั่งเศสปกครองเวียดนามแล้วก็พยายามจะเข้ามาปลูกฝิ่นแถววังเวียงครับ มาช่วงปี ค.ศ.๑๘๙๓ วังเวียงก็กลายเป็นฐานทัพที่มั่นของกองทัพรัฐบาลลาว ที่เลือกวังเวียงก็เพราะที่นี่มีภูเขาหิน มีถ้ำเยอะ เหมาะสำหรับเป็นที่หลบซ่อนกำบังในการสู้รบ ตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจเรื่องท่องเที่ยวหรอก ไม่เห็นความสำคัญเรื่องความสวยงาม รู้แต่ว่าเป็นชัยภูมิดี ลาวเพิ่งริเริ่มเรื่องท่องเที่ยวเมื่อประมาณปี ค.ศ.๑๙๙๕ แล้วมาประกาศเป็นปี Visit Lao Year เมื่อปี ค.ศ.๒๐๐๐ ไม่กี่ปีนี่เอง วังเวียงก็กลายมาเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ"
"ทัวร์ไทยเราส่วนใหญ่ก็จะแวะมาพักค้างคืนที่วังเวียงนี่แหละ ก่อนจะเดินทางต่อไปหลวงพระบาง แต่ไม่ค่อยได้เที่ยวดูอะไร แค่เป็นทางผ่าน" เสียงพี่จ๊อดเสริมขึ้นมา ทำให้ผมนึกได้ว่าตอนมาลาวครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน ในคาราวานรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสำรวจเส้นทางท่องเที่ยววงรอบไทย-ลาว จากอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ข้ามมาหลวงน้ำทา ล่องลงมาถึงเวียงจันทน์ ผมก็เคยมาแวะพักค้างคืนที่วังเวียงเหมือนกัน
ในสมัยนั้นวังเวียงเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ
ภาพประทับใจก็คือเทือกเขาหินปูนสูงใหญ่ยาวเหยียดกับสายน้ำของที่หลากไหลท่ามกลางสายหมอกขาว
จนได้รับสมญานามว่า "กุ้ยหลินเมืองลาว"แต่ช่วงหลัง ๆ
นี่แว่วว่าวังเวียงมีการเปลี่ยนแปลงสมญานามกลายเป็น "ปายแห่งเมืองลาว" สงสัยคนไทยนั่นแหละที่มาตั้งชื่อให้ใหม่
เพราะพักหลังมานี้ปายมาแรง เป็นแหล่งท่องเที่ยวฮิตติดอันดับต้น ๆ ของไทย
พอรถแล่นเข้าในเขตเมืองก็ได้เห็นกันชัด ๆ ครับ ว่าเมืองวังเวียงเดี๋ยวนี้ต่างไปจากที่ผมเคยเห็นลิบลับ เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มตัวไปแล้วจริง ๆ ดูจากร้านรวงที่เรียงรายติดกันเป็นตับสองฟากถนน ป้ายโฆษณาที่พัก ทัวร์ และอะไรต่อมีอะไร รวมทั้งนักท่องเที่ยวฝรั่งเดนิกันอยู่ขวักไขว่ ระหว่างแวะพักกินอาหารกลางวันในร้าน มัคคุเทศก์มานะ ก็ทำการวางแผนท่องเที่ยวในวังเวียงให้กับพวกเรา แถมมีตัวเลือกให้เสียด้วย
"แผนแรกคือปั่นจักรยานไปเที่ยวถ้ำ ส่วนใหญ่มาเที่ยววังเวียงนักท่องเที่ยวฝรั่งก็จะไปปั่นจักรยานเที่ยวถ้ำกัน วังเวียงมีถ้ำที่สำรวจแล้ว ๖๗ ถ้ำ ยังมีที่ไม่สำรวจอีกเยอะ ถ้ำช้าง จะมีหินงอกหินย้อยรูปเหมือนช้างตัวเล็ก ๆ ถ้ำลม ต้องปีนขึ้นไปประมาณ ๑๒๐ เมตร ถ้ำปูคำ จะมีปูทอง ไม่ใช่หินรูปปู เป็นปูจริง ๆ นะ เดินได้ กระดองเป็นสีทอง แต่จะออกมาเฉพาะช่วงวันสงกรานต์ อยากจะดูต้องมาตอนสงกรานต์อีกที ถ้ำหลุบ นี่ก็จะเป็นหลุม ถ้ำน้ำ จะเป็นถ้ำน้ำลอด มีน้ำไหลผ่านด้านล่างใต้พื้นถ้ำ ต้องนั่งบักกงเบ็งไต่ตามเชือกเข้าไป"
พวกเราพากันงงว่าบักกงเบ็งคืออะไร แต่พอมานะอมยิ้มบอกว่าคือ ห่วงยาง ก็หากันถึงบางอ้อ "กง" ก็คือวง "เบ็ง" ก็คือเบ่ง คือสูบลมเข้าไปจนพองนั่นเอง
"ยังไม่หมดนะ ที่ถ้ำหอย มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ อ้อ เคยมีเด็กอิตาลีหลงหายเข้าไปข้างใน ไม่กลับออกมาด้วยนะครับ" มานะคุยอย่างภูมิใจ แต่คณะพรรคเราฟังแล้วหันหน้ามองตากันไปมาอยู่ปริบ ๆ "หรือจะเอาแผนสอง นั่งรถไปดูเฉพาะถ้ำเป็นไฮไลต์แล้วไปล่องเรือเที่ยวแม่น้ำซองกัน ถ้าล่องเรือนี่จะไปผ่านตรงที่ฝรั่งเล่นน้ำด้วย" ได้ยินปุ๊บคณะเราพยักหน้าตกลงเลือกแผนสองอย่างเป็นเอกฉันท์แทบจะทันทีทันใด เพราะจะว่าไปแล้ว ถ้ำในเมืองไทยเรานั้นก็มีเยอะและสวยงามอลังการอยู่แล้ว ไม่ต้องมาดูที่ลาวก็ได้ (แต่เหตุผลสำคัญที่สุดน่าจะเป็นเพราะแผนสองสบายกว่าแผนแรกนั่นแหละ...แฮ่ม)
ช่วงบ่ายเราก็เลยไปถ้ำจัง ที่ตั้งในบริเวณวังเวียงรีสอร์ตกันก่อนเสียค่าผ่านประตูแล้ว ๓๐,๐๐๐ กีบ เดินข้ามสะพานแขวนสีส้ม เข้าไปยังต้องเสียค่าขึ้นไปชมถ้ำอีกรอบคนละ ๑๕,๐๐๐ กีบ มานะบอกว่าถ้ำนี้คนจีนมาประมูลได้สัมปทานเก็บค่าเข้าชม (มิน่า เก็บแล้วเก็บอีก) เข้าไปใกล้หน่อยก็จะเห็นธารน้ำไหลลงมาจากปล่องถ้ำ นักท่องเที่ยวลงเล่นลอยคอต้านกระแสน้ำเป็นที่สนุกสนาน พี่จ๊อดติดอกติดใจสาหร่ายเขียวพลิ้วไหวอยู่ในลำธาร ก้ม ๆ เงย ๆ หามุมถ่ายภาพอยู่เป็นนานสองนาน
"บันไดมีทั้งหมด ๑๔๗ ขั้น" ไกด์มานะรายงานตัวเลข หลังจากที่พวกเราพากันปีนขึ้นไปหยุดหอบซี่โครงบานเหงื่อท่วมตัวอยู่หน้าปากถ้ำแล้ว ยังดีที่มีลมพัดออกมาจากถ้ำเย็นเจี๊ยบ เหมือนกับพัดจากเครื่องปรับอากาศ จนพวกเราสงสัยมองหาแอร์กันเป็นการใหญ่ ไกด์มานะยืนยันว่าเป็นลมธรรมชาติ ไม่มีแอร์แต่อย่างใด เชื่อกันว่าเป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ ใครเข้าไปทำพฤติกรรมไม่เหมาะไม่ควรจะเกิดอาการมือเท้างอหงิกเป็นง่อย ขยับไปไหนไม่ได้ ภาษาลาวเรียกว่าจัง เป็นที่มาของชื่อถ้ำ ภาษาไทยก็คงว่า "จังงัง" ประมาณนั้น
ภายในถ้ำทำเป็นทางเดินลดเลี้ยวไปตามซอกหลืบ แต่ละมุมคูหาตกแต่งประดับประดาด้วยแสงไฟหลากสี ช่วยเพิ่มมิติและจินตนาการให้กับหินงอกหินย้อยได้ไม่เบาครับ รูปเจ้าแม่กวนอิมบ้าง รูปคนแปดศอกบ้าง ฯลฯ แล้วแต่จะจินตนาการไป มานะบอกว่าภายในถ้ำยังมีเส้นทางไปได้อีกไกล แต่จำกัดพื้นที่ให้เดินอยู่ในระยะที่ปลอดภัยเท่านั้น มุมหนึ่งเป็นทางเดินออกไปโผล่ริมหน้าผามองเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำ ทิวเขา และท้องทุ่งนาเขียวขจีสบายตา
พอรถแล่นเข้าในเขตเมืองก็ได้เห็นกันชัด ๆ ครับ ว่าเมืองวังเวียงเดี๋ยวนี้ต่างไปจากที่ผมเคยเห็นลิบลับ เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มตัวไปแล้วจริง ๆ ดูจากร้านรวงที่เรียงรายติดกันเป็นตับสองฟากถนน ป้ายโฆษณาที่พัก ทัวร์ และอะไรต่อมีอะไร รวมทั้งนักท่องเที่ยวฝรั่งเดนิกันอยู่ขวักไขว่ ระหว่างแวะพักกินอาหารกลางวันในร้าน มัคคุเทศก์มานะ ก็ทำการวางแผนท่องเที่ยวในวังเวียงให้กับพวกเรา แถมมีตัวเลือกให้เสียด้วย
"แผนแรกคือปั่นจักรยานไปเที่ยวถ้ำ ส่วนใหญ่มาเที่ยววังเวียงนักท่องเที่ยวฝรั่งก็จะไปปั่นจักรยานเที่ยวถ้ำกัน วังเวียงมีถ้ำที่สำรวจแล้ว ๖๗ ถ้ำ ยังมีที่ไม่สำรวจอีกเยอะ ถ้ำช้าง จะมีหินงอกหินย้อยรูปเหมือนช้างตัวเล็ก ๆ ถ้ำลม ต้องปีนขึ้นไปประมาณ ๑๒๐ เมตร ถ้ำปูคำ จะมีปูทอง ไม่ใช่หินรูปปู เป็นปูจริง ๆ นะ เดินได้ กระดองเป็นสีทอง แต่จะออกมาเฉพาะช่วงวันสงกรานต์ อยากจะดูต้องมาตอนสงกรานต์อีกที ถ้ำหลุบ นี่ก็จะเป็นหลุม ถ้ำน้ำ จะเป็นถ้ำน้ำลอด มีน้ำไหลผ่านด้านล่างใต้พื้นถ้ำ ต้องนั่งบักกงเบ็งไต่ตามเชือกเข้าไป"
พวกเราพากันงงว่าบักกงเบ็งคืออะไร แต่พอมานะอมยิ้มบอกว่าคือ ห่วงยาง ก็หากันถึงบางอ้อ "กง" ก็คือวง "เบ็ง" ก็คือเบ่ง คือสูบลมเข้าไปจนพองนั่นเอง
"ยังไม่หมดนะ ที่ถ้ำหอย มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ อ้อ เคยมีเด็กอิตาลีหลงหายเข้าไปข้างใน ไม่กลับออกมาด้วยนะครับ" มานะคุยอย่างภูมิใจ แต่คณะพรรคเราฟังแล้วหันหน้ามองตากันไปมาอยู่ปริบ ๆ "หรือจะเอาแผนสอง นั่งรถไปดูเฉพาะถ้ำเป็นไฮไลต์แล้วไปล่องเรือเที่ยวแม่น้ำซองกัน ถ้าล่องเรือนี่จะไปผ่านตรงที่ฝรั่งเล่นน้ำด้วย" ได้ยินปุ๊บคณะเราพยักหน้าตกลงเลือกแผนสองอย่างเป็นเอกฉันท์แทบจะทันทีทันใด เพราะจะว่าไปแล้ว ถ้ำในเมืองไทยเรานั้นก็มีเยอะและสวยงามอลังการอยู่แล้ว ไม่ต้องมาดูที่ลาวก็ได้ (แต่เหตุผลสำคัญที่สุดน่าจะเป็นเพราะแผนสองสบายกว่าแผนแรกนั่นแหละ...แฮ่ม)
ช่วงบ่ายเราก็เลยไปถ้ำจัง ที่ตั้งในบริเวณวังเวียงรีสอร์ตกันก่อนเสียค่าผ่านประตูแล้ว ๓๐,๐๐๐ กีบ เดินข้ามสะพานแขวนสีส้ม เข้าไปยังต้องเสียค่าขึ้นไปชมถ้ำอีกรอบคนละ ๑๕,๐๐๐ กีบ มานะบอกว่าถ้ำนี้คนจีนมาประมูลได้สัมปทานเก็บค่าเข้าชม (มิน่า เก็บแล้วเก็บอีก) เข้าไปใกล้หน่อยก็จะเห็นธารน้ำไหลลงมาจากปล่องถ้ำ นักท่องเที่ยวลงเล่นลอยคอต้านกระแสน้ำเป็นที่สนุกสนาน พี่จ๊อดติดอกติดใจสาหร่ายเขียวพลิ้วไหวอยู่ในลำธาร ก้ม ๆ เงย ๆ หามุมถ่ายภาพอยู่เป็นนานสองนาน
"บันไดมีทั้งหมด ๑๔๗ ขั้น" ไกด์มานะรายงานตัวเลข หลังจากที่พวกเราพากันปีนขึ้นไปหยุดหอบซี่โครงบานเหงื่อท่วมตัวอยู่หน้าปากถ้ำแล้ว ยังดีที่มีลมพัดออกมาจากถ้ำเย็นเจี๊ยบ เหมือนกับพัดจากเครื่องปรับอากาศ จนพวกเราสงสัยมองหาแอร์กันเป็นการใหญ่ ไกด์มานะยืนยันว่าเป็นลมธรรมชาติ ไม่มีแอร์แต่อย่างใด เชื่อกันว่าเป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ ใครเข้าไปทำพฤติกรรมไม่เหมาะไม่ควรจะเกิดอาการมือเท้างอหงิกเป็นง่อย ขยับไปไหนไม่ได้ ภาษาลาวเรียกว่าจัง เป็นที่มาของชื่อถ้ำ ภาษาไทยก็คงว่า "จังงัง" ประมาณนั้น
ภายในถ้ำทำเป็นทางเดินลดเลี้ยวไปตามซอกหลืบ แต่ละมุมคูหาตกแต่งประดับประดาด้วยแสงไฟหลากสี ช่วยเพิ่มมิติและจินตนาการให้กับหินงอกหินย้อยได้ไม่เบาครับ รูปเจ้าแม่กวนอิมบ้าง รูปคนแปดศอกบ้าง ฯลฯ แล้วแต่จะจินตนาการไป มานะบอกว่าภายในถ้ำยังมีเส้นทางไปได้อีกไกล แต่จำกัดพื้นที่ให้เดินอยู่ในระยะที่ปลอดภัยเท่านั้น มุมหนึ่งเป็นทางเดินออกไปโผล่ริมหน้าผามองเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำ ทิวเขา และท้องทุ่งนาเขียวขจีสบายตา
แล่นไปก็สวนกับนักท่องเที่ยวหลอกชาติหลายภาษา ที่หน้าตาคุ้น ๆ เหมือนคนไทย ฮ่องกง ญี่ปุ่น ทำนองคนเอเชียจะมาในเรือคายัก พายสวนมาเป็นกลุ่ม ๆ ส่วนหน้าตาฝรั่งดั้งโด่ง หัวทองผมแดง ทั้งหญิงและชายจะมาใน "กงเบ็ง" หรือห่วงยาง เอกเขนกลอยคอหลับตาพริ้ม แบบเดี่ยว ๆ เป็นส่วนใหญ่ มานะบอกว่าห่วงยางพวกนี้จะมีจุดปล่อยอยู่ที่หน้าออร์แกนิกฟาร์ม ล่องลงมาแล้วก็เดินกลับขึ้นไปล่องมาใหม่ ไม่รู้สนุกตรงไหนเหมือนกัน
นั่งกินลมชมวิวทิวเขาหินและท้องทุ่งผ่านรีสอร์ตหลากรูปแบบ ที่เรียงรายอยู่สองฟากฝั่ง พักใหญ่ก็ไปถึงบริเวณที่ฝรั่งเล่นน้ำ เป็นย่านที่พักและร้านอาหาร ดนตรีดังสนั่น มองไปบนท่าน้ำที่ทำยื่นออกมาเป็นแนวยาว ฝรั่งทั้งชายหญิงในชุดว่ายน้ำนั่ง ๆ นอน ๆ กันระเกะระกะ แต่ละคนในมือถือกระป๋องเครื่องดื่ม สนุกสนาน เฮฮากันเต็มที่ ริมน้ำหลายแห่งทำเป็นหอสูง มีเชือกไว้ให้ห้อยโหนแบบทาร์ซาน บางแห่งก็ทำเป็นสไลเดอร์ขนาดใหญ่ เราล่องเรือผ่านไปก็จะเห็นฝรั่งเข้าแถววาดลวดลายห้อยโหนโจนทะยานกระโดดลงน้ำกันตูม ๆ แล้วก็กลับขึ้นมากระโดดใหม่ ส่งเสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าว มานะบอกว่าคนลาวเรียกแถวนี้ว่าย่านฝรั่งบ้า (ดูแล้วก็น่าจะเรียกอย่างนั้นแหละ)
ขึ้นจากเรือมาก็พากันเดินเล่นเตร็ดเตร่ เห็นมีสะพานข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้เลยลองเดินไปดู ปรากฏว่าต้องเสียเงินค่าเดินข้ามด้วยคนละ ๑,๐๐๐ กีบ เพราะเป็นสะพานเอกชนสร้าง แต่ก็คุ้มค่าครับ เพราะได้เดินชมท้องทุ่งนาในแสงยามเย็นเป็นสีทองอร่ามท่ามกลางทิวเทือกเขา ฝั่งนี้มีรีสอร์ตอยู่แค่แห่งสองแห่ง นอกนั้นเป็นบ้านเรือนชาวบ้านเสียส่วนใหญ่ แต่ริมสะพานด้านหนึ่งเห็นกำลังมีการถมที่ริมตลิ่งอยู่ อาจจะก่อสร้างเป็นรีสอร์ตหรือเกสต์เฮาส์ขึ้นมาใหม่อีกแห่ง
"ไม่แน่นะ มาคราวหน้าอาจจะได้เห็นตึกเกสต์เฮาส์สี่ห้าชั้นโผล่ขึ้นมาอยู่หน้าวิวภูเขาตรงนี้ก็ได้" ซุบซิบกันพลางเดินออกมา ทำเล่นไปนาครับ เป็นไปได้จริง เพราะเห็นเกสต์เฮาส์แถวนี้กำลังฮิตสร้างอาคารหลายชั้นกันอยู่
อีกวันหนึ่งพวกเราพากันออกไปขี่จักรยานชมเมืองยามแดดร่มลมตก ค่อยเห็นว่าเมืองวังเวียงก็มีส่วนคล้าย ๆ ปายจริง ๆ อย่างที่ว่า คือเป็นเมืองเล็กในหุบเขา ขี่จักรยานไม่นานก็รอบเมืองวนออกไปรอบนอกก็เห็นว่ารายล้อมด้วยทุ่งนา มีลำน้ำสวยใสไหลผ่าน
บรรยากาศในเมืองก็คล้าย ๆ ครับ ตอนค่ำ ๆ พวกเราไปนั่งกินอาหารเย็นกัน โดยเลือกร้านตรงกันข้ามกับผ่านสามแยกไชโย ที่เป็นแหล่งกินดื่มยามราตรีของที่นี่ เป็นการสังเกตการณ์บรรยากาศไปในตัว ในย่านนี้จะมีแสงไฟสว่างไสวกว่าที่อื่น รอบด้านครึกครื้น มีฝรั่งนั่งรถสองแถวกลับจากล่องห่วงยางมาลงเป็นระยะ ผู้ชายนุ่งกางเกงว่ายน้ำตัวเดียว ผู้หญิงสวมบิกินี ถือห่วงยางกันคนละห่วง เดินกันเต็มถนน ดูเพลิน ๆ ก็ขำดี เรานั่งอยู่นี่ยังมีฝรั่งผู้ชายสองคนท่าทางเมาได้ที่ ใส่ห่วงยางวิ่งชนกันเด้งไปเด้งมาเหมือนรถบัมพ์
ร้านชะนะไชตรงหัวมุมดูเหมือนจะเป็นที่นิยมสูงสุด คนแน่นร้านตลอด นักท่องเที่ยวมีหลากหลายชาติทั้งฝรั่ง ญี่ปุ่น ฮ่องกง รวมทั้งคนไทย
"โต๊ะนั้นต้องเป็นคนไทยแน่ ๆ เพราะว่าสั่งอาหารมาทีเต็มโต๊ะ" พลพรรคเราตั้งข้อสังเกต ฝรั่งจะสั่งแค่เครื่องดื่มอย่างเดียวนั่งทั้งคืน แต่คนไทยเรื่องกินเรื่องใหญ่ ต้องสั่งหลาย ๆ อย่างทั้งกับข้าว กับแกล้ม เครื่องเคียง มาประกอบเกียรติยศ (ว่าแต่เขา โต๊ะเราเองก็เหมือนกันนั่นแหละ)
มีที่ไม่คล้ายก็คือบนถนนไม่จัดเป็นถนนคนเดินเหมือนปาย และไม่มีร้านขายของที่ระลึกเก๋ ๆ กินมื้อเย็นเสร็จสรรพพวกเราก็เลยพากันเดินกลับที่พัก เพราะไม่มีอะไรให้ดู นอกจากฝรั่งเมา ซึ่งก็ไม่เห็นจะน่าดูเท่าไหร่ เดินผ่านร้านขายโรตีเรียงรายอยู่หลายร้าน พี่จ๊อดได้กลิ่นหอมแล้วอดใจไม่ไหว เกร่เข้าไปซื้อลองชิม โรตีที่นี่เขาเป็นแผ่นใหญ่ไม่ม้วน ใส่นมโรยน้ำตาลแล้วตัดเป็นชิ้น ๆ ใส่กล่อง รสชาติใช้ได้ (แอบขอชิมชิ้นนึง) แต่ราคาน่ะสิ คิดเป็นเงินไทยชิ้นละเกือบ ๕๐ บาทเชียวละครับ พี่จ๊อดกินเข้าไปแล้วจะนอนหลับรึเปล่าก็ไม่รู้ ขนาดผมไม่ได้เป็นคนซื้อยังเสียดายตังค์เลย
วังเวียง-เชียงขวาง
เช้าวันนี้ออกจากวังเวียงมาได้ไม่ไกล พวกเราก็มาแวะติดอกติดใจ "แหง็ก" อยู่กับทุ่งนาขั้นบันไดที่กังลังออกรวงเหลืองอร่ามตัดกับทิวเขาหินยาวสุดลูกตาอยู่ข้างทาง
"ตรงนี้เรียกว่าผาตั้ง เห็นภูเขาตรงนั้นไหม แยกออกมาตั้งอยู่ มีเรื่องเล่าว่าพระสีทน (ไทยเรียกพระสุธน) พานางมโนราห์หนียักษ์มาถึงตรงนี้ เจอภูเขาสูงขวางหน้า พระสีทนก็เลยใช้ง้าวฟันภูเขาแยกออก กลายเป็นผาตั้ง บนยอดเขาข้างหน้ายังมีหินรูปม้า พี่เชื่อว่าเป็นม้าของพระสีทนอยู่ด้วย"
ไม่ว่าแวะตรงไหน ไกด์มานะยังคงทำหน้าที่ให้ข้อมูล แถมยังเป็นนาฬิกาปลูกคอยเตือนเรื่องเวลาอีกด้วย เมื่อเห็นว่าชักจะแวะนานเกินไป
หลังอาหารกลางวันแกล้มทิวทัศน์เหนือทะเลภูเขา พวกเราก็เริ่มต้นผจญโค้งกันนับจากนั้น เดี๋ยวเลี้ยวซ้ายเดี๋ยวขวาตามทางคดโค้งบนภูเขาแทบตลอดเวลา จนทุกคนต้องพากันนั่งหลับตา เพื่อที่จะได้ไม่วิงเวียนจนเกินไป โอเล่ ผู้ประสานงานของเรานั้น อาการหนักกว่าใคร เพราะเมารถ ถึงขนาดต้องกินยาแก้แพ้ให้ง่วงหลับอุตุตลอด
"ต่อจากนี้ไปไม่มีทางโค้งไปโค้งมาอีกแล้วละครับ" เสียงไกด์มานะบอก เมื่อเวลา ๒ ชั่วโมงผ่านไป พอดีกับรถตู้คันเก่งของเราแล่นเข้าเขตเมืองพูกูด อันเป็นเมืองแรกของแขวงเชียงขวาง ลืมตาขึ้นมามองออกไปนอกหน้าต่างก็ต้องตาโตครับ เพราะทิวทัศน์ที่ปรากฏต่อสายตานั้นเป็นภูเขารูปโค้งที่ปกคลุมด้วยหญ้าเขียวขจี คล้ายกับภูเขาหญิงของจังหวัดระนองบ้านเรา ที่เคยสร้างความฮือฮาเป็น Unseen Thailand มาแล้ว แต่ที่นี่มีเป็นสิบครับ แถมขนาดใหญ่กว่า ใส่สลับเรียงกันไป ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา
พี่จ๊อดชอบอกชอบใจ
"โอ้โห นั่น บนเนินเขากั้นรั้วไม้เป็นแนว เลี้ยงแกะด้วย
เป็นนิวซีแลนด์เลย"
"อ้าว ได้ยังไงครับ ที่นี่ประเทศลาว ต้องเป็นนิวซีลาวสิ" ผมคัดค้านขึ้นมา
"เออแฮะ เข้าท่า" พี่จ๊อดเห็นด้วย นับจากนั้นเป็นต้นมาเราก็เลยตกลงเรียนภูเขาทุ่งหญ้าแบบที่เห็นนี้แบบเล่น ๆ ว่านิวซีลาวกันมาตลอด จะว่าไปแล้วภูเขาหญ้าเขียวขจีและป่าสนเป็นสิ่งที่พวกเราไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นในเชียงขวาง ส่วนใหญ่มักจะนึกไปถึงสมรภูมิสงครามมากกว่า
"เชียงขวางได้ชื่อว่าเป็นดินแดนวีรบุรุษ ปลดปล่อยประเทศลาวจากการยืดครองของต่างชาติ ทุก ๆ ปีประธานประเทศลาวจะมาทำพิธีสักการะวีรบุรุษ ในวันที่ระลึกถึงการปลดแอกชาติลาวในสงครามอินโดจีน 2 ธันวาคม ค.ศ.๑๙๗๕ เชียงขวางยังมีอะไรเป็นที่สุดอีกหลายอย่างนะ ภูเบี้ย ยอดเขาที่สูงที่สุดในลาวคือ ๒,๘๐๐ เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ก็อยู่ที่นี่ ยังมีเรื่องเล่าว่าป่าหิมพานต์ก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน มีม้งที่รู้ทาง เห็นเขาว่าเดินไป ๒ วันถึง สาวชาวเชียงขวางก็ได้ชื่อว่าสุดยอดเข้มแข็งไม่แพ้ผู้ชาย" มานะพูดถึงตรงนี้บนถนนก็เห็นมีกลุ่มผู้หญิงชาวบ้านแบกถังน้ำใบใหญ่เดินข้ามเขาเสมือนมาช่วยยืนยัน แหม ยังกับนัดกันไว้
"อ้าว ได้ยังไงครับ ที่นี่ประเทศลาว ต้องเป็นนิวซีลาวสิ" ผมคัดค้านขึ้นมา
"เออแฮะ เข้าท่า" พี่จ๊อดเห็นด้วย นับจากนั้นเป็นต้นมาเราก็เลยตกลงเรียนภูเขาทุ่งหญ้าแบบที่เห็นนี้แบบเล่น ๆ ว่านิวซีลาวกันมาตลอด จะว่าไปแล้วภูเขาหญ้าเขียวขจีและป่าสนเป็นสิ่งที่พวกเราไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นในเชียงขวาง ส่วนใหญ่มักจะนึกไปถึงสมรภูมิสงครามมากกว่า
"เชียงขวางได้ชื่อว่าเป็นดินแดนวีรบุรุษ ปลดปล่อยประเทศลาวจากการยืดครองของต่างชาติ ทุก ๆ ปีประธานประเทศลาวจะมาทำพิธีสักการะวีรบุรุษ ในวันที่ระลึกถึงการปลดแอกชาติลาวในสงครามอินโดจีน 2 ธันวาคม ค.ศ.๑๙๗๕ เชียงขวางยังมีอะไรเป็นที่สุดอีกหลายอย่างนะ ภูเบี้ย ยอดเขาที่สูงที่สุดในลาวคือ ๒,๘๐๐ เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ก็อยู่ที่นี่ ยังมีเรื่องเล่าว่าป่าหิมพานต์ก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน มีม้งที่รู้ทาง เห็นเขาว่าเดินไป ๒ วันถึง สาวชาวเชียงขวางก็ได้ชื่อว่าสุดยอดเข้มแข็งไม่แพ้ผู้ชาย" มานะพูดถึงตรงนี้บนถนนก็เห็นมีกลุ่มผู้หญิงชาวบ้านแบกถังน้ำใบใหญ่เดินข้ามเขาเสมือนมาช่วยยืนยัน แหม ยังกับนัดกันไว้
เป้าหมายแรกของพวกเราคือ ทุ่งไหหิน อยู่ในเขตเมืองแปก เมืองหลวงของแขวงเชียงขวางครับ
เลี้ยวตามป้ายบอกทางเข้าไปไม่ไกลก็ถึง
จ่ายเงินซื้อบัตรเข้าชมแล้วก็พากันเดินไต่ขึ้นไปตามเนินเขาโล้นเลี่ยน
แว่วเสียงไกด์เราตะโกนบอก "เดินตามทางดี ๆ นะครับ
บนพื้นจะมีป้ายสีแดงกับป้ายสีขาวติดไว้ ที่เขียนว่าแม็กนั่นแหละสีแดงคือเขตอันตราย
ยังไม่ได้เก็บกู้ระเบิด สีขาวคือเขตปลอดภัยกู้ระเบิดเรียบร้อยแล้ว"
มานะบอกว่า ที่ระเบิดในเชียงขวางมีเยอะขนาดนี้ก็เพราะในปี ค.ศ.๑๙๖๐อเมริกาเข้ามาทำสงครามต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ ยิงทุกอย่างที่เคลื่อนไหวและจับได้จากเรดาร์ ถล่มซ้ำด้วยลูกระเบิดจากป้อมบินบี ๕๒ ซึ่งบินจากจังหวัดอุดรธานีในไทยเข้ามาทิ้งระเบิดในลาว มีข้อมูลว่าอเมริกาใช้ระเบิดทั้งหมด ๓ ตันต่อคนลาว ๑ คน สมัยนั้นลาวมีประชากร ๓ ล้าน คำนวณดูแล้วกันครับว่ามีระเบิดอยู่เท่าไหร่ (ขนาดกู้ไปเยอะแล้วนะเนี่ย) บนยอดเนินมีไหหินขนาดมหึมาใบใหญ่น้อยตั้งอยู่ระเกะระกะ ดูเป็นปริศนาน่าสนใจว่าใช้สำหรับทำอะไร ตำนานว่าเป็นไหเหล้าของขุนเจือง วีรบุรุษในตำนานพื้นบ้านและเหล่าทหารหาญ แต่นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าใช้สำหรับประกอบพิธีฝังศพของคนในยุคก่อนประวัติศาสตร์
"ในบรรดาไซต์ทั้งหมด ไซต์ ๑ นี่เป็นไซต์ที่มีไหหินเยอะที่สุด ๓๓๔ ใบ ในพื้นที่ ๒๕ เฮกตาร์ ( ๑ เฮกตาร์เท่ากับ ๗ ไร่) ใบใหญ่ที่สุดก็อยู่ที่นี่ ก่อนช่วงสงครามไหหินทุกใบมีฝาปิด แต่หลังสงครามฝาหายหมด ช่วงปี ๑๙๖๐ ท่านไกสอน พมวิหาร ประธานประเทศคนที่ ๒ ตั้งกองราชวงศ์ที่ชำเหนือ ก่อนย้ายลงมาตั้งฐานที่มั่นที่ทุ่งไหหิน ฝ่ายศัตรูเข้ามาล้อมจับ เกิดรบกันขึ้น ทหารท่านไกสอนก็ใช้ไหหิน นี่แหละเป็นบังเกอร์ จะเห็นว่ามีหลายใบที่มีช่องให้ปากกระบอกปืนโผล่ออกไป"
มานะบอกว่า ที่ระเบิดในเชียงขวางมีเยอะขนาดนี้ก็เพราะในปี ค.ศ.๑๙๖๐อเมริกาเข้ามาทำสงครามต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ ยิงทุกอย่างที่เคลื่อนไหวและจับได้จากเรดาร์ ถล่มซ้ำด้วยลูกระเบิดจากป้อมบินบี ๕๒ ซึ่งบินจากจังหวัดอุดรธานีในไทยเข้ามาทิ้งระเบิดในลาว มีข้อมูลว่าอเมริกาใช้ระเบิดทั้งหมด ๓ ตันต่อคนลาว ๑ คน สมัยนั้นลาวมีประชากร ๓ ล้าน คำนวณดูแล้วกันครับว่ามีระเบิดอยู่เท่าไหร่ (ขนาดกู้ไปเยอะแล้วนะเนี่ย) บนยอดเนินมีไหหินขนาดมหึมาใบใหญ่น้อยตั้งอยู่ระเกะระกะ ดูเป็นปริศนาน่าสนใจว่าใช้สำหรับทำอะไร ตำนานว่าเป็นไหเหล้าของขุนเจือง วีรบุรุษในตำนานพื้นบ้านและเหล่าทหารหาญ แต่นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าใช้สำหรับประกอบพิธีฝังศพของคนในยุคก่อนประวัติศาสตร์
"ในบรรดาไซต์ทั้งหมด ไซต์ ๑ นี่เป็นไซต์ที่มีไหหินเยอะที่สุด ๓๓๔ ใบ ในพื้นที่ ๒๕ เฮกตาร์ ( ๑ เฮกตาร์เท่ากับ ๗ ไร่) ใบใหญ่ที่สุดก็อยู่ที่นี่ ก่อนช่วงสงครามไหหินทุกใบมีฝาปิด แต่หลังสงครามฝาหายหมด ช่วงปี ๑๙๖๐ ท่านไกสอน พมวิหาร ประธานประเทศคนที่ ๒ ตั้งกองราชวงศ์ที่ชำเหนือ ก่อนย้ายลงมาตั้งฐานที่มั่นที่ทุ่งไหหิน ฝ่ายศัตรูเข้ามาล้อมจับ เกิดรบกันขึ้น ทหารท่านไกสอนก็ใช้ไหหิน นี่แหละเป็นบังเกอร์ จะเห็นว่ามีหลายใบที่มีช่องให้ปากกระบอกปืนโผล่ออกไป"
จากบนเนินมีทางเดินลงไปลานด้านล่างที่ยังมีไหหินขนาดย่อม ๆ
อีกกลุ่มใหญ่ มีใบหนึ่งยังหลงเหลือฝาไหที่แกะเป็นรูปคนด้วย
พวกเราเดิมตามทางซึ่งพาขึ้นไปบนเนินใหญ่อีกลูก ริมทางเห็นมีไหหินกระจายอยู่หลายใบ
บนยอดเนินเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล เสียดายที่อากาศปิด
พวกเราก็เลยต้องถอนทัพกลับที่พักเมื่อความมืดเข้ามาเยือน
เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศหนาวยะเยือกเหมือนอยู่ในฤดูหนาว รีสอร์ตที่พักของเราบนภูเขาหมอกลงขาวโพลนไปหมดทั่วบริเวณพวกเราออกเดินทางฝ่าม่านหมอกระยะทาง ๓๑ กิโลเมตร ไปยัง เมืองคูนซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของอาณาจักรพวนโบราณ ปัจจุบันประชากรในเมืองคูนยังเป็นชาวพวนอยู่ ใช้เวลาไม่นานก็เห็นยอดเจดีย์เก่าคร่ำกระดำกระด่างโดดเด่นอยู่เหนือยอดเขาแต่ไกล
โบราณสถานในเมืองคูนส่วนใหญ่ถูกทำลายจากการทิ้งระเบิดของอเมริกาในปี ค.ศ.๑๙๖๐ ส่วนใหญ่ก็เลยเหลือแต่ซากปรักหักพัง ไม่ว่าจะเป็น วัดเพีย ที่เหลือซากพระประธานกับเสาและผนังวิหาร พระธาตุฝุ่น ที่เห็นยอดลิบ ๆ อยู่เหนือทิวไม้ สถาปัตยกรรมทรวดทรงคล้ายกับ พระธาตุดำ ที่เวียงจันทน์ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพี่น้องกัน ก็อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม ฐานเจดีย์ด้านล่างเป็นโพรงขนาดใหญ่ รวมทั้งพระธาตุจอมเพชรที่อยู่บนเนินเขาอีกลูกใกล้ ๆ กัน ก็ยอดหักหายไปเหลือแต่องค์ระฆังจมอยู่ในป่ารกชัฏ ที่เมืองคูนนี้มีเรื่องตลกเกี่ยวกับค่าเข้าชมโบราณสถาน เพราะจะต้องเก็บคนละ ๘,๐๐๐ กีบ แปลกตรงที่นักท่องเที่ยวที่เข้าชม ต้องเอาเงินไปให้กับร้านค้าในเมืองด้านล่างเอง ไม่มีคนเฝ้าขายบัตร สงสัยเหมือนกันว่าถ้านักท่องเที่ยวไม่แวะเข้าไปจ่ายเงินแล้วจะทำยังไง
ช่วงบ่ายเราแวะเข้าไปทุ่งไหหินไซต์ ๒ ในเขตเมืองผาไซ รถแล่นตามทางลูกรังขรุขระเป็นหลุมบ่อ ผ่านท้องทุ่งที่มีบึงน้ำใหญ่เมฆขาวฟ้าครามสะท้อนในผืนน้ำดูงามแปลกตา มานะบอกว่าเวลาน้ำแห้งจะมีจรวดโผล่ขึ้นมา ให้เด็ก ๆ ขึ้นไปปีนเล่น บนทางยังผ่านบ้านเรือนแบบพวกดั้งเดิมที่เป็นครอบครัวขยาย แวะซื้อตั๋วเข้าชมจากศาลาหลังเล็กริมทางแล้ว พวกเราเดินขึ้นเขาไปไม่ไกลก็ถึงแหล่งไหหินบนยอดเขาสูง มีทางเดินเชื่อมไปยังแหล่งไหบนยอดเนินอีกแห่ง ว่ากันว่ามีทั้งหมด ๙๕ ไห ขนาดไม่ใหญ่ แต่มีหลายใบที่มีรูปร่างแปลกออกไป คือเป็นทรงกระบอกยาว
ทุ่งในไหหินไซต์ ๓ ก็อยู่ในเมืองผาไซเหมือนกัน จอดรถในลาน วัดเชียงดี เดินผ่านท้องทุ่งนาที่กำลังเขียว ปีนป่ายบันไดข้ามรั้วไม้ที่กั้นไว้โดยรอบก็ถึงเนินเตี้ย ๆ อันระเกะระกะไปด้วยไหหิน เห็นได้แต่ไกลทั่วไป มีไหทั้งหมด ๑๙๕ ใบ ถ้าไม่รวมไหนแตกมี ๑๒๐ ใบ เท่าที่ดูรู้สึกว่าไหหินในไซต์ที่ ๓ นี้จะเล็กกว่าที่ไซต์ ๑ และไซต์ ๒ มีนักท่องเที่ยววัยรุ่นชาวเชียงขวางมาเที่ยวถ่ายภาพกันสนุกสนานเป็นกลุ่มใหญ่ พวกเรายังเที่ยวดูไม่ทันจุใจ สายฝนก็โปรยปรายลงมาช่วยปิดฉากการเดินทางของเราในวันนี้ลง
แต่ก็ยังดีครับที่ได้ไปเที่ยวชมแหล่งสำคัญ ๆ จนครบถ้วน เท่าที่เห็นบนเส้นทางสายนี้มีอนาคตทางการท่องเที่ยวสดใสครับ เพราะไม่ใช่แต่แหล่งโบราณคติที่น่าสนใจ ธรรมชาติที่นี่ยังสวยงามและอุดมสมบูรณ์อีกด้วย เห็นได้จากวันรุ่งขึ้นที่เราพากันไปเที่ยวดูตลาดเช้าในเมืองแปก เดินไปในตลาดจะเห็นมีสัตว์ป่านานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นอัน นิ่ม กระรอก กวางชายเรียงรายให้เห็นมากมาย แสดงว่ายังมีป่าไม้และสัตว์ป่าอยู่อีกมาก (แต่จับมาขายทีละเยอะ ๆ อย่างนี้อนาคตก็มีหวังหมดเหมือนกัน) ด้วยความที่ลาวยังมีความสดใหม่ของธรรมชาติ และศิลปวัฒนธรรมที่ยังคงความดั้งเดิมเอาไว้ มีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศมากันมาก ถ้าเชื่อมโยงเข้ากับเส้นทางท่องเที่ยวสายอีสานของไทยผ่านทางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่หนองคายได้จะแจ๋วขนาดไหน คงได้นักท่องเที่ยวเพิ่มอีกไม่น้อย
นักท่องเที่ยวไทยเรามาหนองคายแล้ว ลองข้ามไปเที่ยวบนเส้นทางนี้ก็ไม่เลว อย่าคิดว่าเป็นการไปเที่ยวต่างประเทศแล้วเงินทองจะรั่วไหล บ้านใกล้เรือนเคียงแบบนี้เศรษฐกิจเชื่อมโยงหมุนเวียนซึ่งกันและกันครับ เราซื้อเขา เขาซื้อเรา มีแต่ได้กับได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ท่องเที่ยวหาความรู้ไม่สิ้นเปลืองอะไรมากมาย ดีกว่าไปเที่ยวเล่นการพนัน อย่างขากลับเราแวะเข้าไปในเขื่อนน้ำงึม ที่นี่มีบ่อนกาสิโนกลางน้ำ เห็นว่าคนไทยไปเที่ยวกันเยอะ เอาเงินไปทิ้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เที่ยวแบบนี้ไม่ได้อะไรครับ มีแต่เจ๊งกับเจ๊งลูกเดียวอย่าได้คิดไปลองเชียว
เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศหนาวยะเยือกเหมือนอยู่ในฤดูหนาว รีสอร์ตที่พักของเราบนภูเขาหมอกลงขาวโพลนไปหมดทั่วบริเวณพวกเราออกเดินทางฝ่าม่านหมอกระยะทาง ๓๑ กิโลเมตร ไปยัง เมืองคูนซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของอาณาจักรพวนโบราณ ปัจจุบันประชากรในเมืองคูนยังเป็นชาวพวนอยู่ ใช้เวลาไม่นานก็เห็นยอดเจดีย์เก่าคร่ำกระดำกระด่างโดดเด่นอยู่เหนือยอดเขาแต่ไกล
โบราณสถานในเมืองคูนส่วนใหญ่ถูกทำลายจากการทิ้งระเบิดของอเมริกาในปี ค.ศ.๑๙๖๐ ส่วนใหญ่ก็เลยเหลือแต่ซากปรักหักพัง ไม่ว่าจะเป็น วัดเพีย ที่เหลือซากพระประธานกับเสาและผนังวิหาร พระธาตุฝุ่น ที่เห็นยอดลิบ ๆ อยู่เหนือทิวไม้ สถาปัตยกรรมทรวดทรงคล้ายกับ พระธาตุดำ ที่เวียงจันทน์ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพี่น้องกัน ก็อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม ฐานเจดีย์ด้านล่างเป็นโพรงขนาดใหญ่ รวมทั้งพระธาตุจอมเพชรที่อยู่บนเนินเขาอีกลูกใกล้ ๆ กัน ก็ยอดหักหายไปเหลือแต่องค์ระฆังจมอยู่ในป่ารกชัฏ ที่เมืองคูนนี้มีเรื่องตลกเกี่ยวกับค่าเข้าชมโบราณสถาน เพราะจะต้องเก็บคนละ ๘,๐๐๐ กีบ แปลกตรงที่นักท่องเที่ยวที่เข้าชม ต้องเอาเงินไปให้กับร้านค้าในเมืองด้านล่างเอง ไม่มีคนเฝ้าขายบัตร สงสัยเหมือนกันว่าถ้านักท่องเที่ยวไม่แวะเข้าไปจ่ายเงินแล้วจะทำยังไง
ช่วงบ่ายเราแวะเข้าไปทุ่งไหหินไซต์ ๒ ในเขตเมืองผาไซ รถแล่นตามทางลูกรังขรุขระเป็นหลุมบ่อ ผ่านท้องทุ่งที่มีบึงน้ำใหญ่เมฆขาวฟ้าครามสะท้อนในผืนน้ำดูงามแปลกตา มานะบอกว่าเวลาน้ำแห้งจะมีจรวดโผล่ขึ้นมา ให้เด็ก ๆ ขึ้นไปปีนเล่น บนทางยังผ่านบ้านเรือนแบบพวกดั้งเดิมที่เป็นครอบครัวขยาย แวะซื้อตั๋วเข้าชมจากศาลาหลังเล็กริมทางแล้ว พวกเราเดินขึ้นเขาไปไม่ไกลก็ถึงแหล่งไหหินบนยอดเขาสูง มีทางเดินเชื่อมไปยังแหล่งไหบนยอดเนินอีกแห่ง ว่ากันว่ามีทั้งหมด ๙๕ ไห ขนาดไม่ใหญ่ แต่มีหลายใบที่มีรูปร่างแปลกออกไป คือเป็นทรงกระบอกยาว
ทุ่งในไหหินไซต์ ๓ ก็อยู่ในเมืองผาไซเหมือนกัน จอดรถในลาน วัดเชียงดี เดินผ่านท้องทุ่งนาที่กำลังเขียว ปีนป่ายบันไดข้ามรั้วไม้ที่กั้นไว้โดยรอบก็ถึงเนินเตี้ย ๆ อันระเกะระกะไปด้วยไหหิน เห็นได้แต่ไกลทั่วไป มีไหทั้งหมด ๑๙๕ ใบ ถ้าไม่รวมไหนแตกมี ๑๒๐ ใบ เท่าที่ดูรู้สึกว่าไหหินในไซต์ที่ ๓ นี้จะเล็กกว่าที่ไซต์ ๑ และไซต์ ๒ มีนักท่องเที่ยววัยรุ่นชาวเชียงขวางมาเที่ยวถ่ายภาพกันสนุกสนานเป็นกลุ่มใหญ่ พวกเรายังเที่ยวดูไม่ทันจุใจ สายฝนก็โปรยปรายลงมาช่วยปิดฉากการเดินทางของเราในวันนี้ลง
แต่ก็ยังดีครับที่ได้ไปเที่ยวชมแหล่งสำคัญ ๆ จนครบถ้วน เท่าที่เห็นบนเส้นทางสายนี้มีอนาคตทางการท่องเที่ยวสดใสครับ เพราะไม่ใช่แต่แหล่งโบราณคติที่น่าสนใจ ธรรมชาติที่นี่ยังสวยงามและอุดมสมบูรณ์อีกด้วย เห็นได้จากวันรุ่งขึ้นที่เราพากันไปเที่ยวดูตลาดเช้าในเมืองแปก เดินไปในตลาดจะเห็นมีสัตว์ป่านานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นอัน นิ่ม กระรอก กวางชายเรียงรายให้เห็นมากมาย แสดงว่ายังมีป่าไม้และสัตว์ป่าอยู่อีกมาก (แต่จับมาขายทีละเยอะ ๆ อย่างนี้อนาคตก็มีหวังหมดเหมือนกัน) ด้วยความที่ลาวยังมีความสดใหม่ของธรรมชาติ และศิลปวัฒนธรรมที่ยังคงความดั้งเดิมเอาไว้ มีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศมากันมาก ถ้าเชื่อมโยงเข้ากับเส้นทางท่องเที่ยวสายอีสานของไทยผ่านทางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่หนองคายได้จะแจ๋วขนาดไหน คงได้นักท่องเที่ยวเพิ่มอีกไม่น้อย
นักท่องเที่ยวไทยเรามาหนองคายแล้ว ลองข้ามไปเที่ยวบนเส้นทางนี้ก็ไม่เลว อย่าคิดว่าเป็นการไปเที่ยวต่างประเทศแล้วเงินทองจะรั่วไหล บ้านใกล้เรือนเคียงแบบนี้เศรษฐกิจเชื่อมโยงหมุนเวียนซึ่งกันและกันครับ เราซื้อเขา เขาซื้อเรา มีแต่ได้กับได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ท่องเที่ยวหาความรู้ไม่สิ้นเปลืองอะไรมากมาย ดีกว่าไปเที่ยวเล่นการพนัน อย่างขากลับเราแวะเข้าไปในเขื่อนน้ำงึม ที่นี่มีบ่อนกาสิโนกลางน้ำ เห็นว่าคนไทยไปเที่ยวกันเยอะ เอาเงินไปทิ้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เที่ยวแบบนี้ไม่ได้อะไรครับ มีแต่เจ๊งกับเจ๊งลูกเดียวอย่าได้คิดไปลองเชียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น