วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ก้าวแรกสู่เส้นทางฝัน โครงการอบรมนักเขียนและช่างภาพสารคดี อนุสาร อ.ส.ท.

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท.


             คนจำนวนไม่น้อยมีความฝันอยากจะเป็นนักเขียนสารคดีท่องเที่ยว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน
 
อนุสาร อ.ส.ท.เล็งเห็นในจุดนี้ จึงริเริ่มจัดโครงการอบรมนักเขียนสารคดีท่องเที่ยวขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจอยากจะเป็นนักเขียนสารคดีท่องเที่ยวได้มีจุดเริ่มต้นอย่างถูกต้อง โดยจัดขึ้นครั้งแรกในวาระที่อนุสาร อ.ส.ท. ครบรอบ ๕๐ ปี ในปีพ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ใช้ชื่อว่าโครงการ “ค่ายนักเขียนสารคดีท่องเที่ยวกับอนุสาร อ.ส.ท.” ครั้งที่ ๑  พาสมาชิกและผู้อ่านที่เข้าร่วมโครงการร่วมเดินทางอบรมการเขียนสารคดีและเก็บข้อมูลภาคสนามกับกองบรรณาธิการ อนุสาร อ.ส.ท. บนเส้นทาง กรุงเทพฯ –พิษณุโลก –ล่องแก่งลำน้ำเข็ก-ภูหินร่องกล้า ในระหว่างวันที่ ๕-๘ กันยายน ก่อนที่จะให้เวลากลับไปเขียนสารคดีนำมาส่งให้วิทยากรและกองบรรณาธิการอนุสาร อ.ส.ท.อ่านและวิพากษ์วิจารณ์งานเขียนเพื่อการพัฒนาในวันที่  ๑๐ ตุลาคม ซึ่งภาพรวมก็ได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ
  
            ในปี ๒๕๕๔ นี้ อนุสารอ.ส.ท. จึงได้มีการการจัดอบรมขึ้นเป็นครั้งที่ ๒ ในชื่อ “โครงการอบรมนักเขียนและช่างภาพสารคดีกับอนุสาร อ.ส.ท. “ แตกต่างออกไปจากครั้งแรก ตรงที่แบ่งออกเป็น ๒ หลักสูตร คือหลักสูตรการเขียนสารคดีท่องเที่ยว ที่เน้นให้ความรู้ความเข้าใจถึงกระบวนการการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในทุกขั้นตอน กับหลักสูตรการถ่ายภาพสารคดีท่องเที่ยวที่เน้นให้ความรู้การถ่ายภาพสำหรับประกอบสารคดีโดยเฉพาะ

  สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างก็คือ ทั้งสองหลักสูตรมีการจัดให้ผู้เข้าอบรมเข้าเรียนการเขียนสารคดีภาคทฤษฎีในห้องเรียนในกรุงเทพฯก่อนเป็นเวลา ๑ วัน ณ ห้องบุษราคัม ๑ และ ๒ โรงแรมอมารีเอเทรียม ในวันอาทิตย์ที่ ๒๘ สิงหาคม ที่ผ่านมา ในภาคเช้าเป็นการเรียนรวมในห้องใหญ่โดยมีวิทยากรคือคุณธีรภาพ โลหิตกุล นักเขียนสารคดีชื่อดัง อดีตกองบรรณาธิการอนุสาร อ.ส.ท. บรรยายในหัวข้อ “กล้องกับปากกา ด้วยดวงตาและหัวใจ” ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นสารคดี รวมถึงเทคนิคในการเขียนและการถ่ายภาพประกอบสารคดีท่องเที่ยว ก่อนที่ภาคบ่ายจะแยกการอบรมเป็น  ๒ ห้อง โดยผู้เข้าอบรมหลักสูตรนักเขียนเข้าฟังการบรรยายในหัวข้อ “เขียนด้วยใจ” กับวิทยากรอาจารย์สมปอง ดวงไสว คอลัมนิสต์จากนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ในขณะที่ผู้เข้าอบรมหลักสูตรช่างภาพสารคดีเข้าฟังการบรรยายและชมแนวทางการถ่ายภาพสารคดีจากคุณอภินันท์ บัวหภักดี บรรณาธิการฝ่ายภาพ อนุสาร อ.ส.ท. คุณเกรียงไกร ไวยกิจ และคุณนพดล กันบัว ช่างภาพของอนุสาร อ.ส.ท. เพื่อเรียนรู้แนวทางการถ่ายภาพ

   จากนั้นช่วงวันที่ ๒ -๔ กันยายน ผู้เข้าอบรมต้องออกเดินทางไปปฏิบัติการภาคสนาม  ฝึกหัดเก็บข้อมูลและบันทึกภาพในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย เป็นเวลา ๓ วัน ๒ คืน โดยร่วมเดินทางกับกองบรรณาธิการอนุสาร อ.ส.ท. พร้อมหน้าตั้งแต่ คุณปัญจมา มัณฑะจิตร ผู้อำนวยการกองวารสารในฐานะบรรณาธิการบริหาร คุณวินิจ รังผึ้ง บรรณาธิการอนุสาร อ.ส.ท. คุณอภินันท์ บัวหภักดี บรรณาธิการฝ่ายภาพ  ไปจนถึงนักเขียนและช่างภาพอนุสาร อ.ส.ท. รวมทั้งฝ่ายการตลาดซึ่งดูแลสมาชิก เรียกว่ายกกองกันไปเกือบหมด

            การเดินทางวันแรกในวันที่ ๒ กันยายน ภายหลังผู้เข้าอบรมลงทะเบียน ณ อาคารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานใหญ่เรียบร้อยแล้วแล้ว รถบัสคันใหญ่ก็นำคณะอบรมจากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าสู่จังหวัดสุโขทัย ระหว่างเดินทางหลังจากผู้อบรมผลัดเปลี่ยนเวียนกันแนะนำตัว คุณธีรภาพ โลหิตกุล วิทยากรก็ได้มอบหมายหัวข้อในการเขียนและถ่ายภาพสารคดีคือ “ความเป็นสุโขทัย”  จากนั้นได้ผลัดเปลี่ยนกับกองบรรณาธิการอนุสาร อ.ส.ท. นำโดยบรรณาธิการ บรรยายและพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางถ่ายทำสารคดีท่องเที่ยวกับผู้เข้าอบรมอย่างสนุกสนานด้วยสาระและความรู้ไปตลอดทางจนกระทั่งถึงจุดหมาย  


  หลังอาหารกลางวันมื้อแรกและลงทะเบียนเข้าที่พักคือโรงแรม The Legendha จังหวัดสุโขทัยแล้ว คณะได้เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง  โดยมีวิทยากรของกรมศิลปากรนำชมนิทรรศการโบราณวัตถุที่จัดแสดงอยู่ภายใน พร้อมบรรยายให้ผู้เข้าอบรมเก็บข้อมูล  ต่อด้วยการนั่งรถสามล้อเครื่องไปสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช   ก่อนจะเดินทางเป็นขบวนเที่ยวชมกลุ่มโบราณสถานรอบนอกอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยในบรรยากาศยามเย็น หลังอาหารเย็นยังมีปิดท้ายรายการของวันด้วยการบรรยายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ทำงานภาคสนามกันจนดึก เรียกว่าใช้เวลาอย่างมีสาระคุ้มค่าทุกวินาทีเลยทีเดียว



             เช้าวันรุ่งขึ้น คณะผู้อบรมยังต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อเดินทางไปถ่ายภาพแสงสียามรุ่งอรุณที่วัดสระศรี ภายในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย หลังจากนั้นออกเดินทางสู่แหล่งมรดกโลก อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย  โดยมีวิทยากรอาจารย์สมชาย เดือนเพ็ญ นักวิชาการท้องถิ่นมาร่วมบรรยายและนำชมวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ บริเวณเมืองเชลียงอันเป็นเมืองในยุคแรก   โดยปล่อยนักเขียนและช่างภาพลงพื้นที่เก็บข้อมูลโบราณสถานโดยมีวิทยากรดูแลอย่างอย่างใกล้ชิด


กระทั่งสาย จึงเคลื่อนขบวนไปฝึกปฏิบัติเก็บข้อมูลภาคสนาม บริเวณวัดเชิงคีรี ชุมชนเก่าแก่ที่ยังพูดจาเป็นภาษาสำเนียงสุโขทัยแท้ เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้พูดคุยเก็บข้อมูล รวมทั้งชมและถ่ายภาพการฟั่นเทียน หัตถกรรมท้องถิ่นที่นับวันจะหาชมได้ยาก

หลังอาหารกลางวันซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุโขทัยเป็นเจ้ามือเลี้ยงคณะอบรมเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ผ้าทองคำบ้านหาดเสี้ยว โดยมีอาจารย์สาธร โสรัจประสพสันติ  เจ้าของพิพิธภัณฑ์นำชมผ้าทอมือสมัยโบราณอายุนับร้อยปี ที่รวบรวมไว้  เสริมด้วยกิจกรรมจัดถ่ายภาพหญิงสาวในเครื่องแต่งกายผ้าพื้นเมืองบนเรือนไทยพวนโบราณ เพื่อให้มีชีวิตชีวาขึ้น



            ช่วงเย็นย้อนกลับไปยังอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยอีกครั้ง แต่คราวนี้เข้าไปในบริเวณเมืองศรีสัชนาลัยซึ่งเป็นเมืองที่ขยายตัวในยุคถัดมา คณะอบรมนั่งรถรางทัศนศึกษารอบบริเวณโบราณสถาน วัดนางพญา วัดเจดีย์เจ็ดแถว และวัดช้างรอบ ก่อนเดินทางกลับมาบันทึกภาพบรรยากาศยามเย็นพร้อมโบราณสถานที่สาดส่องด้วยแสงไฟในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นการส่งท้าย



            แม้ในวันสุดท้ายของการฝึกปฏิบัติภาคสนาม คณะอบรมยังคงต้องตื่นแต่เช้ามืดอีกเช่นเคย เพื่อไปเก็บข้อมูลและภาพบรรยากาศตลาดเช้าเมืองสุโขทัย  ก่อนที่ตอนสาย ๆ จะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าอบรมตระเวนเก็บข้อมูลและมุมภาพที่สนใจเป็นการเฉพาะตัวในพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยอย่างอิสระด้วยจักรยาน  




      ระหว่างเดินทางกลับออกเดินทางจากจังหวัดสุโขทัย กลับกรุงเทพฯ ยังเปิดโอกาสนำภาพถ่ายของผู้เข้าอบรมมาวิพากษ์วิจารณ์กันอีกตลอดทางจนถึงกรุงเทพฯ  และเพราะตารางฝึกที่อัดแน่นเอี้ยดด้วยสาระทุกวินาทีขนาดนี้ ผู้เข้าอบรมในรุ่น ๒ นี้จึงได้รับการเรียกขานกันเล่น ๆ จากวิทยากร ว่าเป็นรุ่น SEAL (ชื่อเดียวกับหน่วยรบพิเศษ  แต่ความจริงแล้วย่อมาจาก Sukhothai  Experience  Activities Learning)



หลังจากกลับมาให้เวลา ๑ สัปดาห์ สำหรับผู้เข้ารับการอบรมในหลักสูตรการเขียนต้องนำข้อมูลที่ได้มาเขียนเป็นสารคดี ในขณะที่ผู้อบรมการถ่ายภาพจะต้องคัดเลือกภาพถ่ายที่ถ่ายนำมาประกอบสารคดีให้สอดคล้องเหมาะสมในเวลาที่กำหนด ทั้งหมดนี้เน้นการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างผู้เข้าอบรมทั้งสองหลักสูตรเพื่อให้ผู้อบรมได้มีประสบการณ์เหมือนกับการปฏิบัติงานจริงทุกประการ โดยวิทยากรจะใช้เวลาประมาณ ๑สัปดาห์ ตรวจพิจารณางานเขียนและภาพถ่ายสารคดีของผู้เข้าอบรม

วันปิดการอบรม ๑๘ กันยายน คณะผู้เข้าอบรมเข้าประชุม ณ ห้องบุษราคัม  โรงแรมอมารี เอเทรียม กรุงเทพมหานคร  คณะวิทยากรได้ร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์ติชมผลงานสารคดีและภาพถ่ายพร้อมทั้งให้คำแนะนำในการแก้ไขปรับปรุงในบรรยากาศสนุกสนานครึกครื้นเป็นกันเองตลอดทั้งวัน ก่อนที่ในช่วงท้ายคณะวิทยากรประกาศรายชื่อผลงานผู้เข้าอบรมที่ได้รับรางวัล ซึ่งจะได้พิจารณาลงตีพิมพ์เผยแพร่ในอนุสาร อ.ส.ท.ต่อไป จากนั้นเป็นพิธีมอบประกาศนียบัตรก่อนจะปิดการอบรมครั้งนี้ด้วยการถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึก


การอบรมสิ้นสุดลง ทว่าสำหรับผู้ที่ผ่านการอบรมทุกคน นี่ถือเป็นก้าวแรก ซึ่งเมื่อมีก้าวแรกแล้วก็จะต้องมีก้าวต่อไป ส่วนใครจะก้าวหน้าไปไกลขนาดไหนบนเส้นทางสายนี้ กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไป

แต่ที่แน่ ๆ  การเดินทางบนเส้นทางของสารคดีท่องเที่ยวอันยาวไกลไม่รู้จบของพวกเขาได้เริ่มขึ้นแล้ว จากจุดเริ่มต้นที่อนุสาร อ.ส.ท. แห่งนี้

1 ความคิดเห็น:

  1. คิดถึงบรรยากาศ ตอนอบรมแต่ละครั้ง และมิตรภาพที่ดีจากสมาชิกทุกคน ทุกวันนี้กลุ่ม SEAL-OSOTHO ยังเหนียวแน่น มีการนัดพบกันบางครั้ง แต่ยังแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันผ่าน FB กันอย่างต่อเนื่อง บางคนได้ต่อยอดผลงานทั้งงานภาพและงานเขียน และมีสมาชิกเพิ่มขึ้นจากการได้ร่วมเดินทางกับกลุ่ม SEAL และ OSOTHO จนถึง ณ วันนี้ เรามี SEAL 2 แล้ว ขอบคุณมิตรภาพ และความอบอุ่นที่ได้รับจากทีมงาน อสท. อาจารย์ทุกท่าน และเพื่อน ๆ ทุกคน

    ตอบลบ