วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

แกะรอย เวียงโบราณถิ่นล้านนา


ภาคภูมิ  น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน อนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ ๔๖  ฉบับที่   เดือนสิงหาคม  พ.ศ. ๒๕๔๘ 


              แดดซ่อนแสงไว้ในมวลเมฆขาว  ลมพัดระเรื่อยแผ่วเบาเย็นสบาย

 ผมนั่งเอกเขนกไปในรถม้าคันกะทัดรัดที่กำลังแล่นลัดเลาะตามถนนสายเล็ก ๆ ซอกซอนผ่านบ้านเรือนและสวนลำไยของชาวบ้านในอาณาบริเวณของเวียงกุมกาม  เมืองโบราณเก่าแก่ในยุคก่อนเมืองเชียงใหม่  ซึ่งถูกกลบฝังอยู่ใต้ดินมาเนิ่นนาน

             สุโขอย่าให้เซดเชียวครับ  ได้มานั่งรถม้าตระเวนไปในนครโบราณใต้พิภพอายุกว่า ๗๐๐ ปี  เกลื่อนกล่นไปด้วยเจดีย์เก่า  ฐานรากของวิหาร  ร่องรอยลวดลายปูนปั้นงดงามอลังการ  ซึ่งขุดค้นขึ้นมาจากใต้พื้นปฐพี  แบบเดียวกับเมืองทรอยของฝรั่งเปี๊ยบ



 ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครคิดหรอกครับว่าเมืองไทยของเราจะมีเมืองโบราณแบบนี้กับเขาด้วย

ขนาดความเป็นมาก็ยังคล้าย ๆ กัน  เพราะชื่อของเวียงกุมกามในตอนแรก ๆ  มีก็แต่เพียงในตำนานกับเรื่องราวที่เล่าขานกันมาแบบปากต่อปาก เป็นเมืองในนิทานที่ไม่มีใครคิดว่าจะมีอยู่จริง กระทั่งวันดีคืนดี กรมศิลปากรไปขุดพบวิหารกานโถม  วัดช้างค้ำเป็นแห่งแรก  ตามติดมาด้วยวัดวาอารามอีกหลายแห่งที่พบอย่างต่อเนื่อง  เหมือนกับอยู่ดี ๆ มีเมืองโบราณผุดโผล่ขึ้นมาจากใต้ดินอย่างนั้น

แต่เวียงกุมกามไม่ได้มีความน่าสนใจอยู่แค่เป็นเมืองโบราณที่ถูกกลบฝังอยู่ให้พิภพแห่งเดียวในประเทศไทยเท่านั้นครับ

                ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  เวียงกุมกามแห่งนี้เคยมีฐานะเป็นราชธานีในยุคแรกของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ดินแดนภาคเหนือของประเทศไทย  ที่รู้จักกันในนาม  “อาณาจักรล้านนา”  ก่อนจะย้ายศูนย์กลางไปอยู่ที่นพบุรี-ศรีนครพิงค์เชียงใหม่

  ความจริงแล้วไม่เพียงเวียงกุมกามเท่านั้น  ยังมีเวียงโบราณอีกหลายแห่งในพื้นที่ภาคเหนือที่มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับการก่อร่างสร้างตัวเป็นอาณาจักรล้านนา  กว่าจะกลายมาเป็นดินแดนอันมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล  เจริญรุ่งเรืองด้วยศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เป็นมรดกหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน

            เยือนถิ่นล้านนาคราวนี้  ผมลองตระเวนเที่ยวไปตามเรื่องราวในตำนาน  ปรากฏว่าเข้าท่าดีเหมือนกันครับ  บนเส้นทางเราจะเห็นร่องรอยพัฒนาการของบ้านเมือง  นับตั้งแต่สมัยแรก  จนกระทั่งมาเป็นอาณาจักรล้านนาได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว




โยนกนาคพันธุ์  ตำนานเวียงล่ม

            ท้องผ้ามืดครึ้มด้วยเมฆฝน  เมื่อผมมายืนทอดอารมณ์อยู่ริมเวิ้งน้ำอันไพศาลของทะเลสาบเชียงแสน  ในจังหวัดเชียงราย

มาทีไรก็อดไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงตำนานเรื่องเวียงหนองล่มทุกทีไปครับ  เพราะเป็นตำนานที่มีฉากตื่นเต้นระทึกใจยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในบรรดานิทานพื้นบ้านทั้งหลาย  เทียบได้กับตำนานเรื่องอาณาจักรแอตแลนติสที่ถล่มล่มจมลงในมหาสมุทรของฝรั่งเชียวละ  (ถ้าเอาไปสร้างเป็นภาพยนตร์ก็คงทำฉากคอมพิวเตอร์กราฟิกได้ตื่นตามาก  ใครมีสตางค์น่าจะลองทำมาแบ่งกันดูบ้าง)

ที่สำคัญก็คือ  เป็นต้นตำนานแรกเริ่มของบ้านเมืองในถิ่นล้านนาครับ

 ตำนานเล่าเอาไว้ว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของเวียงโบราณแห่งหนึ่ง  ก่อตั้งขึ้นโดยเจ้าชายสิงหนวัติ ซึ่งเสด็จมาจากนครไทยเทศ  ที่นักประวัติศาสตร์เขาสันนิษฐานกันว่าอยู่แถบมณฑลยูนนาน  ในประเทศจีน  อพยพผู้คนลงมาสร้างเมืองในราวปี พ.ศ. ๖๓๘

            แค่วิธีสร้างเมืองก็ไม่ธรรมดาเสียแล้วครับ  เพราะว่ามีพญานาคกับบริวารมาแนะนำชัยภูมิให้  แถมยังช่วยปรับพื้นที่  ทำคันดินเป็นกำแพงให้จนเสร็จสรรพในคืนเดียว  เจ้าชายทรงสำนึกในบุญคุณ  จึงทรงขนานนามเมืองโดยใช้ชื่อของพญานาคนำหน้าพระนามของพระองค์ว่า  นครโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติ  เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่พญานาค

เรียกสั้น ๆ ว่านครโยนกนาคพันธุ์

 ในยุคนี้เองที่พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้ามา  เพราะตำนานเล่าว่า  ประมาณปี พ.ศ. ๗๐๐  พระมหากัสสปะเถระได้อัญเชิญพระบรมธาตุรากขวัญ (กระดูกไหปลาร้า) เบื้องซ้าย  มายังนครโยนกนาคพันธุ์  พญาอชุตราช ซึ่งครองราชย์ต่อจากปฐมกษัตริย์สิงหนวัติจึงได้ทรงซื้อที่ดินบริเวณดอยแห่งหนึ่งจากปู่เจ้าลาวจก  หัวหน้าเผ่าชาวละว้าที่ตั้งถิ่นฐานอยู่เชิงดอย  เพื่อใช้เป็นสถานที่สร้างสถูปบรรจุพระบรมธาตุ  ก่อนสร้างโปรดให้ปักตุงผ้าขนาดใหญ่มีความยาวถึง ๑,๐๐๐ วา  โดยถือว่าปลายตุงสะบัดไปถึงที่ใดก็ให้ถือเป็นขอบเขตของฐานสถูป  แล้วจึงสร้างจนแล้วเสร็จ  ถือว่าเป็นเจดีย์แห่งแรกของดินแดนล้านนา

            ดอยแห่งนี้ต่อมาจึงเรียกกันว่าดอยตุง  และสถูปเจดีย์นั้นก็เรียกว่าพระธาตุดอยตุง

จากนั้นนครโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องมายาวนานกว่า ๔๕๐ ปี  จนกระทั่งถึงรัชกาลของพญามหาไชยชนะ  กษัตริย์องค์ที่ ๔๕ ของโยนกนาคพันธุ์  กาลอวสานก็มาถึง  เมื่อวันหนึ่งชาวบ้านจับปลาไหลเผือกตัวโตเท่าลำตาล  ยาวประมาณ ๗ วาเศษ  ได้จากแม่น้ำกก  นำมาถวายพญามหาไชยชนะ  พระองค์รับสั่งให้นำเนื้เอไปแล่แจกจ่ายให้กับชาวเมืองทุกคน  มีเพียงหญิงชราม่ายคนหนึ่งเท่านั้นที่ไม่ได้รับส่วนแบ่งเนื้อปลา

             ตกค่ำวันนั้นก็เกิดแผ่นดินสะเทือนเลือนลั่น  เมืองทั้งเมืองพลันถล่มจมหายลงไป  กลายเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่ไพศาล  พระราชวงศ์  ขุนนาง  และราษฎรทั้งหลายในเมืองสาบสูญไปหมดสิ้น  หลงเหลือเพียงบ้านหญิงชราม่ายที่ไม่ได้ร่วมกินเนื้อปลาไหลเผือกเท่านั้น

            ตำนานอธิบายว่าปลาไหลเผือกนั้น  ก็คือพญานาคที่แปลงตัวมา  การที่ชาวเมืองนำมาฆ่าแบ่งกันกิน  ถือเป็นการเนรคุณพญานาคที่ช่วยสร้างบ้านแปลงเมือง  จึงบันดาลให้เกิดภัยพิบัติ

            สมัยหนึ่งนักวิชาการบางคนพยายามตีความเหตุการณ์ เมืองถล่มในเชิงสัญลักษณ์  ว่าหมายถึงการปกครองบ้านเมืองอย่างไม่ถูกทำนองคลองธรรม  ทำให้บ้านเมืองมีอันเป็นไป  แต่เมื่อมีการตรวจสอบทางภูมิศาสตร์ก็พบว่า  มีร่องรอยการเคลื่อนตัวของแผ่นดินในบริเวณนี้มาแล้วหลายครั้ง  เรื่องเมืองถล่มในตำนานที่บันทึกว่าเกิดในราว พ.ศ. ๑๐๘๘ จึงเป็นไปได้ว่าเกิดขึ้นจริง

            ผมแอบคิดเพ้อเจ้อไปว่า  ถ้าเกิดมีการขุดคันจนพบ  “เวียงหนองล่ม”  หรือเมืองโยนกนาคพันธุ์ขึ้นมาจริง ๆ เหมือนกับที่พบเวียงกุมกามที่เชียงใหม่ละก็  โอ้โห  อย่าบอกใครเชียวครับ  เพราะทั้งเก่าแก่กว่าแถมประวัติความเป็นมายังพิสดารพันลึก  แต่มานึกอีกที  บรรดาปราสาทราชวัง  บ้านเรือนสมัยนั้นซึ่งส่วนใหญ่คงจะสร้างด้วยไม้  ผ่านไปตั้งพันกว่าปี  ป่านนี้คงไม่มีเหลืออะไรให้เห็นแล้ว

                ฟ้าคำรามครืนครั่นมาแต่ไกล  เมฆดำผืนใหญ่ลอยลงต่ำ พร้อมกับเม็ดฝนโปรยปราย  ผมรีบขึ้นรถอำลาเวียงหนองล่มมาแต่โดยดี  เพราะนึกไปถึงคำในตำนานที่เล่าว่าก่อนเวียงล่มจะมี  “ฟ้าร้องครอยครางทุกครั้ง
ไม่เคยได้ยินหรอกครับว่าเป็นยังไง  ฟ้าร้องแบบที่ว่า  แต่ดูเหมือนบรรยากาศรอบข้างที่มืดฟ้ามัวดินด้วยเมฆทะมึนจะช่วยส่งเสริมเรื่องราวในตำนานและกระตุ้นต่อมจินตนาการดีแท้ครับ  ทำเอาหูผมเว่วเสียงแผ่นดินถล่มโครมครืนไล่หลังรถมาแต่ไกล  (ชักจะเวอร์ไปหน่อยแล้วแฮะ)


หิรัญนครเงินยาง  ถิ่นพญามังรายมหาราช

            จากทะเลสายเชียงแสน  รถแล่นพักเดียวก็เข้าสู่บริเวณเมืองเชียงแสน  ดินแดนที่เกิดนครแห่งใหม่ขึ้นทดแทนในเวลาต่อมา

หลังจากนครโยนกนาคพันธุ์ถล่มจมหายไปในผืนน้ำ  ก็หมดสิ้นวงศ์กษัตริย์สิงหนวัติจะมาปกครองครับ  บรรดาชุมชนบริวารที่หลงเหลืออยู่ก็เลยคัดเลือกหัวหน้าชุมชนแต่ละแห่งขึ้นมารักษาการชั่วคราว  แล้วก็เลือกหัวหน้าใหญ่ขึ้นมาคนหนึ่งให้เป็นขุน  ปรากฏว่าเลือกได้ขุนลังเป็นผู้นำ  ก่อนจะย้ายศูนย์กลางการปกครองมาตั้งเวียงอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง (แถว ๆ บ้านสบคำ  ในอำเภอเชียงแสนตอนนี้)  ปกครองด้วยการประชุมหารือกันในหมู่หัวหน้าชุมชน  ทำให้เวียงแห่งใหม่นี้มีชื่อเรียกว่า  เวียงปรึกษา

 วิธีปกครองแบบ  “ปรึกษา”  นี่ก็คงจะเข้าท่าดีอยู่เหมือนกัน  เพราะปกครองกันมาได้ถึง ๙๓  ปีเชียว  ก่อนที่ในปี พ.ศ. ๑๑๘๑ พระยากาฬวรรณดิศราช หรือพญาอนิรุทธิ์  กษัตริย์แห่งทวารวดีจะเสด็จขึ้นมาสนับสนุนพญาลวจักราชให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ราชวงศ์ใหม่แทนราชวงศ์สิงหนวัติ  ที่สาบสูญไปพร้อมกับเหตุธรณีพิบัติ

                พญาลวจักราชที่ว่านี่ก็คือ เชื้อสายของปู่เจ้าลาวจก  ผู้นำชนเผ่าพื้นเมือง  ที่ขายที่ดินบนดอยให้โยนกนาคพันธุ์สร้างพระธาตุดอยตุงนั่นเองครับ  ไม่ใช่ใครที่ไหน

เมื่อตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว  พญาลวจักราชก็ได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นหิรัญนครเงินยาง  โดยมีศูนย์กลางอยู่แถว ๆ เมืองเชียงแสน  มีกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองสืบเนื่องกันมาอีกยาวนานถึง๖๒๑  ปี  รวม ๒๔ รัชกาล  อาณาเขตก็ขยายเพิ่มขึ้นบ้าง  ลดลงบ้างตามแต่พระบารมีของกษัตริย์แต่ละรัชสมัย
 
ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาเกิดขึ้นเมื่อพญามังรายขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๒๕   ของหิรัญนครเงินยางในปี พ.ศ. ๑๘๐๕ครับ  เพราะทรงมีแนวพระราชดำริที่จะรวบรวมแว่นแคว้นน้อยใหญ่ในอาณาบริเวณใกล้เคียงให้เป็นปึกแผ่น

ขึ้นครองราชย์ปุ๊บพระองค์ก็โปรดให้สร้างเมืองเชียงรายเป็นราชธานีแห่งใหม่แทนปั๊บ  เป็นการสิ้นสุดยุคสมัยของราชวงศ์ลวจักราช แห่งหิรัญนครเงินยาง  และเข้าสู่ยุคสมัยของราชวงศ์มังรายแห่งอาณาจักรล้านนา

                หิรัญนครเงินยางกลับมารุ่งเรืองอีกทีก็ในสมัยล้านนา  หลังจากพญามังรายเสด็จสวรรคตไปแล้ว  โดยพญาแสนภูซึ่งขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ในราชวงศ์มังรายรัชกาลที่   ได้เสด็จกลับมาทรงฟี้นฟูขึ้นใหม่ในนามของเมืองเชียงแสน  และประทับว่าราชการอยู่ที่นี่  ทำให้เชียงแสนมีฐานะเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านนาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๘๗๑-๑๘๘๔  คือในรัชกาลของพญาแสนภูและพญาคำฟู  พระราชโอรส  รวม ๑๓ ปี

วัดวาอารามเก่าแก่ที่หลงเหลือให้เห็นอยู่ในเขตเมืองเก่าเชียงแสนส่วนใหญ่ก็สร้างในสมัยเป็นราชธานีของล้านนานี่แหละครับ  ที่สำคัญและสวยงามควรแวะเที่ยวชมก็เห็นจะเป็นเจดีย์หลวง  ซึ่งเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเชียงแสน  แล้วก็เจดีย์วัดป่าสัก  ที่ประดับประดาลวดลายปูนปั้นสวยงามอลังการ

แต่เที่ยวนี้ผมเน้นการท่องเที่ยวตามรอยตำนานเป็นหลักครับ  ก็เลยขับรถผ่านตัวเมืองเก่าเชียงแสนออกไปทางประตูท่าอ้อย  มุ่งหน้าลงใต้ไปตามทางหลวงหมายเลข ๑๑๒๙    บริเวณนี้เขาว่ามีร่องรอยของโบราณสถานที่ตำนานกล่าวว่าสร้างในสมัยโยนกนาคพันธุ์และหิรัญนครเงินยางอยู่หลายแห่ง

             เลี้ยวขวาเข้าสู่วัดพระธาตุผาเงา  ที่รอบบริเวณสวยงามด้วยสิ่งปลูกสร้าง  จัดตกแต่งสนามหญ้า  สวนหย่อมเอาไว้อย่างทันสมัย  บนหินก้อนใหญ่ด้านหลังวิหารมีเจดีย์องค์เล็กตั้งเด่นตระหง่านอยู่  เรียกว่าพระธาตุผาเงา  ตามตำนานบอกว่าพญาผาพิง  กษัตริย์องค์ที่ ๒๓แห่งนครโยนกนาคพันธุ์ทรงสร้างเอาไว้

ในวิหารสร้างใหม่ยังมีพระพุทธรูปเชียงแสนรุ่นแรก  เรียกกันว่า หลวงพ่อผาเงา  ถูกขุดพบใต้ฐานพระประธานโบราณองค์ใหญ่ที่พังทลายเหลือเพียงแค่ส่วนพระอุระ (อก)  ไม่มีการบันทึกว่าสร้างสมัยไหน  แต่นักโบราณคดีก็เชื่อว่าคงจะเก่าไม่น้อยไปกว่าสมัยหิรัญนครเงินยางแน่  ยังรักษาสภาพเดิม ๆ เหมือนตอนที่ขุดพบเอาไว้  เป็นหลักฐานชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่าแถบนี้มีเมืองโบราณที่สร้างซ้อนทับกันหลายยุคหลายสมัย  แต่สมัยไหนเป็นสมัยไหนคงต้องรอฟังจากนักโบราณคดีเขาอีกทีละครับ

                จากพระธาตุผาเงาและวิหาร  ยังมีทางขึ้นเขาทั้งทางบันไดและทางรถยนต์ไปยังพระธาตุจอมจันทร์  ที่ตำนานบันทึกว่าสร้างขึ้นในสมัยขุนลัง  ผู้ปกครองเวียงปรึกษา  เสียดายตอนนี้เจดีย์เหลือแค่ฐานอิฐปรักหักพังเท่านั้น  ต้องใช้จินตนาการกันหนักหน่อยในการชม

                ออกจากพระธาตุผาเงา  ผมมุ่งหน้าลงใต้ตามเส้นทางสายเดิมไปอีกนิดเดียว  ก็ถึงบริเวณที่นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีเขาเชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของเวียงปรึกษา  ร่องรอยของโบราณสถานในช่วงเวลาที่เป็นเวียงชั่วคราวหลังโยนกนาคพันธุ์ล่มสลายไม่เหลืออะไรให้เห็นแล้วครับ  ส่วนหนึ่งก็คงเพราะไม่ได้มีการสร้างอะไรไว้มากมายในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน  ที่เห็นอยู่ก็คือซากวัดเก่าสร้างในสมัยพญาแสนภู  ซึ่งทรงสร้างไว้เมื่อครั้งเสด็จมาประทับที่เวียงปรึกษาเป็นการชั่วคราวระหว่างการสร้างเมืองเชียงแสน  เรียงรายกันอยู่สองฟากฝั่งถนน  ที่น่าสนใจได้แก่  วัดพระธาตุสองพี่น้อง  วัดธาตุเขียว  วัดธาตุโขง  แวะเที่ยวชมดูเล่น ๆ ได้บรรยากาศของเวียงโบราณเก่าร้าง ขลังดีเหมือนกัน

วกขึ้นไปทางเหนือของเมืองเชียงแสนก็ยังมีสถานที่เกี่ยวพันกับเวียงโบราณในตำนานอยู่อีก

ถนนลดเลี้ยวขึ้นเขานำพาผมไปถึงวัดพระธาตุจอมกิตติ  เจดีย์เหลี่ยมสีทองอร่ามโดดเด่นอยู่บนยอดดอยน้อย  ท่ามกลางแมกไม้ร่มครึ้ม  มีเรื่องเล่าว่าเจ้าชายสิงหนวัติ  ปฐมกษัตริย์แห่งนครโยนกนาคพันธุ์  รับพระเกศาธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา  จึงโปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุไว้บนยอดดอยน้อยแห่งนี้  ต่อมาในสมัยพญาพังคราชก็ได้รับพระไตรปิฎกและพระบรมธาตุมาเพิ่มเติม  จึงอัญเชิญมาประดิษฐาน  โดยโปรดให้สร้างเจดีย์ครอบทับองค์เดิมลงไปอีก  แต่เจดีย์ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้  หมื่นเชียงสงได้มาสร้างครอบทับลงไปอีกทีครับ  รวมเป็น ๓  ชั้น

 ขึ้นรถแล่นเลยต่อมาถึงสามเหลี่ยมทองคำ  พระพุทธรูปแบบเชียงแสนสร้างใหม่ขนาดมหึมาตระหง่านอยู่บนลานซีเมนต์ที่ทำเป็นรูปเรือสำเภาริมน้ำ  ผมจำได้ว่ามาคราวก่อนเพิ่งเริ่มสร้าง  ยังเป็นนั่งร้านรุงรัง  ตอนนี้เสร็จเรียบร้อย  แลเห็นองค์พระเป็นสีทองอร่ามงามตา ก็เลยแวะเข้าไปนมัสการเป็นสิริมงคลกับการเดินทางเสียหน่อย ก่อนจะขึ้นรถขับเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ลัดเลาะตามทางแคบขึ้นเขา  ไปหยุดที่ลานวัดพระธาตูภูเข้า  บนไหล่เขาดอยเซียงเมี่ยง

เดินตามบันไดรูปพญานาคปูนปั้นแผ่พังพานขึ้นไปจนสุดความสูง  ก็พบกับเขตพุทธาวาสอันเป็นลานกว้างบนยอดเขา  ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วสองชั้น  มีทางขึ้น  ด้าน  ตรงกลางลานเป็นอูบมุงก่อด้วยอิฐล้อมด้วยซากเจดีย์ขนาดเล็กที่ปรักหักพังเหลือแค่ฐาน  ส่วนด้านหน้าเชื่อมต่อกับวิหารสร้างใหม่  มีป้ายติดไว้ข้อความว่า  “วัดพระธาตุภูเข้า  สร้างในปี พ.ศ. ๑๓๐๒  สมัยพญาลาวเก้าแก้วมาเมือง  กษัตริย์องค์ที่  แห่งหิรัญนครเงินยาง”  

              ทว่านักโบราณคดีที่เคยมาขุดคันลงความเห็นกันว่า  ร่องรอยของโบราณสถานที่เห็นอยู่มัอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙  คือในยุคเมืองเชียงแสนเป็นราชธานีของล้านนาครับ  แต่บางทีอาจจะเป็นการสร้างทับซ้อนลงบนโบราณสถานเก่าก็ได้  เห็นอย่างนี้มาหลายที่แล้ว

                บนไหล่เขาที่ต่ำกว่าเขตพุทธาวาสลงมา  ข้างวิหารใหม่ยังหลงเหลือซากพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่หักพังอยู่กลางหมู่ไม้  ไม่รู้เหมือนกันครับว่าเป็นสมัยไหน แต่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกับบรรยากาศขลัง ๆ ของโบราณสถานถือว่าเป็นจุดที่พลาดไม่ได้

                ขับรถเรื่อยเปื่อยต่อไปตามทางจนไปทะลุออกตรงอำเภอแม่สาย  สมัยก่อนแถบนี้ก็เคยเป็นเวียงโบราณสมัยหิรัญนครเงินยางเหมือนกัน  ชื่อว่าเวียงพางคำ  แต่เดี๋ยวนี้เจริญรุ่งเรืองกลายเป็นเมืองสมัยใหม่ไปเสียแล้ว  จะหาดูอะไรโบราณก็ไม่เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน  ผู้คนเนืองแน่นตามแนวตึก  แถวร้านค้าที่เรียงราย  มีแต่ข้าวของเครื่องใช้ไฟฟ้าขายกันอยู่เต็ม

                มาถึงตรงนี้ผมก็เลยขอลัดคิวไปเที่ยวเวียงโบราณที่มีส่วนสำคัญในการสถาปนาอาณาจักรล้านนาแห่งต่อไปเลยดีกว่า


 หริภุญไชย  จิกซอว์ชิ้นสุดท้ายสู่อาณาจักรล้านนา

             แล้วผมก็ได้มาเดินลอยชายชมวัดวาอารามอยู่ในเมืองลำพูนในวันต่อมา

หลังจากที่พญามังรายได้ทรงย้ายราชธานีไปอยู่ที่เมืองเชียงรายแล้ว  ก็ได้ทรงเริ่มกระบวนการรวบรวมบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น  ประเดิมด้วยตีเมืองเล็กเมืองน้อยที่อยู่รายรอบอย่างเมืองมอบ  เมืองไร  เมืองเชียงคำ  แล้วโปรดให้ขุนนางในราชสำนักไปปกครองเมืองเหล่านี้แทน  ก่อนจะเสด็จไปสร้างเมืองฝางในปี พ.ศ. ๑๘๑๒   เพื่อเป็นฐานที่มั่น  จากนั้นก็ทรงบุกไปตีได้เมืองเชียงของ  เมืองเทิง  เมืองลอ  ก่อนจะทำสัตย์สาบานเป็นพระสหายกับพญางำเมืองแห่งเมืองพะเยา  และพ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัยในเวลาต่อมา

เป้าหมายสำคัญที่สุดของพญามังรายในการขยายอาณาเขตก็คือการยึดเมืองหริภุญไชยครับ

เมืองหริภุญไชย  หรือเมืองลำพูน  เป็นอีกเมืองในดินแดนภาคเหนือที่เป็นเมืองใหญ่พอฟัดพอเหวี่ยงกับหิรัญนครเงินยางเชียงแสน ด้วยมีอายุอานามใกล้เคียงกัน  แถมออกจะเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปวิทยาการมากกว่าด้วยซ้ำไป  โดยตำนานเล่าถึงกำเนิดเมืองว่า  ฤาษีวาสุเทพได้ร่วมกับฤษีสุกกทันต์จากเมืองละโว้  สร้างเวียงเป็นรูปหอยสังข์ขึ้น  ขนานนามว่านครหริภุญไชย  แล้วทูลขอกษัตริย์จากเมืองละโว้มาปกครอง

กษัตริย์เมืองละโว้จึงทรงส่งพระราชธิดา  คือพระนางจามเทวี เสด็จตามลำน้ำปิงขึ้นมาครองราชย์ที่เมืองหริภุญไชยประมาณปี พ.ศ. ๑๓๑๑โดยทรงนำพระเถระ  นักปราชญ์  ราชบัณฑิต  ช่างศิลป์  และอื่น ๆ จำพวกละ ๕๐๐ ร่วมขบวนเสด็จขึ้นมาด้วย

 เมืองหริภุญไชยจึงได้เปรียบตรงที่พรั่งพร้อมด้วยศิลปวิทยาที่ถ่ายทอดมาจากละโว้ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม  และได้พัฒนาจนมีลักษณะเฉพาะตัวในยุครุ่งเรืองสุดขีด

กษัตริย์ผู้ครองนครหริภุญไชยร่วมสมัยเดียวกันกับพญามังรายคือพญายีบา  ซึ่งก็คงมีความเข้มแข็งไม่น้อย  เพราะพญามังรายยังต้องทรงออกอุบายส่งหมื่นฟ้าเข้าไปเป็นไส้ศึกภายในเมืองหริภุญไชยล่วงหน้าก่อนถึง  ปี  ไม่กล้าผลีผลามบุกแบบสุ่มสี่สุ่มห้า  รอสะสมกำลังพลและเสบียงอาหาร  จนได้ที่แล้วถึงทรงกรีธาทัพเข้ายึดเมืองหริภุญไชยได้ในปี พ.ศ. ๑๘๒๔ 

                สิ่งที่พญามังรายได้จากหริภุญไชยนอกจากจะทำให้พระองค์มีอำนาจครอบคลุมเหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคเหนือแล้ว  ที่สำคัญที่สุดต่อการตั้งเป็นอาณาจักรล้านนาก็คือศิลปกรรมและวิทยาการแขนงต่าง ๆ ครับ

ศิลปกรรมของหริภุญไชยนั้นเจริญถึงขีดสุดจนมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตนเองในทุกด้าน  น่าเสียดายครับที่วัดวาอารามในสมัยหริภุญไชยตอนต้น  คือในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖  นั้น  แทบไม่เหลือร่องรอยอะไรให้ดูให้ชมกันแล้ว  ผมลองเข้าไปดูในวัดมหาวัน  หนึ่งในอารามที่ตำนานกล่าวว่าสร้างในสมัยพระนางจามเทวี  ปรากฏว่ามีแต่สถาปัตยกรรมสร้างใหม่ครับตอนนี้




ยังดีที่หลงเหลือโบราณสถานที่สร้างในยุคหริภุญไชยตอนปลาย  คือในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๙  ให้เห็นอยู่บ้าง

เก่าสุดก็เห็นจะเป็น สุวรรณจังโกฏิเจดีย์  หรือกู่กุด  เจดีย์สี่เหลี่ยมก่อด้วยศิลาแลง  มีซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูปยืน ๖๐ องค์  ในวัดจามเทวี  ที่ในตำนานบอกว่าสร้างสมัยพญาทิตตะแห่งหริภุญไชย  ประมาณปี พ.ศ.๑๖๑๖ แต่มาถูกปฏิสังขรณ์พร้อมกับการสร้างรัตนเจดีย์  สมัยพญาสววาธิสิทธิ์  ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘  ถือว่ากลายเป็นศิลปะยุคหลังไปแล้ว

ทว่าถ้าพูดถึงความสวยงาม  ก็ต้องนับว่าเป็นสถาปัตยกรรมชั้นเยี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์ของหริภุญไชยอยู่ดี  ให้เดินวนเวียนดูทั้งวันก็ยังไหว  ไม่เบื่อเลยครับ




ถัดมาคือพระธาตุหริภุญชัย  ที่สร้างโดยพญาอาทิตตราช  ในปี พ.ศ. ๑๗๐๐โดยพระมเหสีของพระองค์  คือพระนางปทุมวดี ทรงสร้างสถูปสุวรรณเจดีย์  ที่จำลองแบบมาจากสุวรรณจังโกฏิเจดีย์ขึ้นใกล้ ๆ ในเวลาเดียวกัน  แล้วก็ยังมีเจดีย์เชียงยัน  ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงปราสาท  สร้างในสมัยหลังอีกองค์หนึ่ง  ทั้งหมดอยู่ในบริเวณวัดพระธาตุหริภุญชัย  ซึ่งมีสภาพดีที่สุดในบรรดาวัดโบราณทั้งหมด  เพราะเป็นวัดศูนย์กลางของเวียงได้รับการทำนุบำรุงมาทุกยุคทุกสมัย






 ลองแวะเข้าไปในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย  ปรากฏว่ามีศิลปกรรมชิ้นเยี่ยม ๆ ให้ดูให้ชมเยอะครับ  ที่ผมชอบก็คือเศียรพระพุทธรูปแบบทวารวดี  ซึ่งเชื่อมโยงกับเรื่องราวความเป็นมากับตำนานยุคพระนางจามเทวี  มีทั้งเศียรทำจากศิลาทราย  เศียรทำจากสัมฤทธิ์  ส่วนเศียรปูนปั้นบนโกลนศิลาแลงเป็นแบบศิลปะหริภุญไชยค่อนข้างชัด

แต่ที่ถือว่าเด็ดที่สุดเห็นจะเป็นพระพุทธรูปดินเผาหล่อครับ  อย่าเข้าใจว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพระพักตร์หล่อเหลาแบบพระเอกหนังหรือพระเอกลิเก  เพราะความจริงเป็นการใช้แม่พิมพ์หล่อดินเป็นพระพุทธรูปและนำไปเผาไฟ  อันเป็นงานปฏิมากรรมที่เป็นกรรมวิธีเฉพาะของหริภุญไชย   ไม่เหมือนที่ไหนครับ  นักโบราณคดีเขายังเคยขุดได้แม่พิมพ์พระพุทธรูปมาจากเวียงบริวารของหริภุญไชยด้วย  พระพุทธรูปยืนที่ประดิษฐานในซุ้มจระนำของเจดีย์กู่กุดก็สร้างด้วยวิธีนี้เหมือนกัน



จะว่าไปแล้ว  ตัวเมืองลำพูนนั้นไม่หลงเหลือร่องรอยความเป็นเวียงโบราณสักเท่าไหร่  เพราะถูกรุกรานโดยเมืองใหม่  ชมร่องรอยศิลปกรรมโบราณในเมืองแล้ว  ผมก็เลยมุ่งหน้าไปที่เวียงท่ากาน  ในเขตอำเภอสันป่าตอง  จังหวัดเชียงใหม่  หนึ่งในสามของเมืองบริวารของหริภุญไชย  ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่เรียกเมืองแห่งนี้ว่าเวียงพันนาทะกาน  สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ อันเป็นยุครุ่งเรืองของหริภุญไชย  มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า

บึ่งรถแผล็บเดียวผมก็เข้าสู่เมืองเก่าเวียงท่ากาน  เพราะตั้งอยู่ห่างจากลำพูนแค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น

             แวบแรกที่เป็นผมก็รู้สึกชอบใจในบรรยากาศแล้วครับ  เพราะเป็นเมืองโบราณที่อยู่ใกล้ชิดกับชุมชนแบบชนบท   มีบ้านเรือนผู้คนอยู่รายรอบ  แต่ก็ไม่มากจนเกินไป  ช่วยทำให้โบราณสถานไม่ร้างไร้ชีวิตชีวา  จุดศูนย์กลางของเมืองคือวัดกลางเวียง  อยู่ติดกับตลาดเลยแหละ  เข้าไปเดินเที่ยวดูโน่นดูนี่ในวัด  พอหิวก็เดินออกมานั่งสั่งส้มตำกินได้สบาย  บางทีผมก็เดินเล่นดูชาวบ้านเขาซี้อขายข้าวของกันในตลาดเป็นการเปลี่ยนอารมณ์  สุโขสโมสรเหลือหลายครับ  ไม่มีคำว่าเงียบเหงา

ในวัดกลางเวียงมีร่องรอยโบราณสถานหลายแห่ง  มีทั้งที่เป็นเจดีย์และวิหาร (เห็นว่ามีเจดีย์เหลี่ยมแบบกู่กุดด้วยเหมือนกัน  เสียดายที่พังไปแล้ว)  ส่วนใหญ่เหลือแค่ส่วนฐาน  ที่เป็นชิ้นเป็นอันก็คือเจดีย์แปดเหลี่ยมที่เป็นแบบหริภุญไชยองค์ใหญ่  กับเจดีย์แบบล้านนาอีกองค์เท่านั้น  ปากทางเข้ามีศูนย์ข้อมูล  จัดแสดงนิทรรศการเล็ก ๆ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเวียงท่ากานและข้อมูลการขุดค้นเอาไว้

                ลองเกร่เข้าไปด้านหลังศูนย์ฯ ปรากฏว่ามีห้องเก็บโบราณวัตถุที่ขุดค้นมาได้อยู่ด้วย  จำพวกชิ้นส่วนพระพุทธรูป  ลวดลายปูนปั้น  เห็นแล้วตาโต  เพราะบางชิ้นสวยงามอลังการเหลือหลาย  เป็นบางประเทศเขาคงเอาไปจัดแสดงโชว์เดี่ยวในห้องกระจกกลางพิพิธภัณฑ์  ของเราเอามาเก็บเป็นกอง ๆ ในห้องเล็กที่มีแค่กรงลวดกั้น  น่าเสียดายครับ  ของโบร่ำโบราณยิ่งนับวันจะมีแต่สาบสูญ  น่าจะจัดสรรงบประมาณมาสร้างอาคารเก็บให้ดีกว่านี้สักหน่อย

อย่างน้อยศิลปกรรมแบบหริภุญไชยที่แหละครับ  ที่ส่งทอดรูปแบบหลายประการให้กับศิลปกรรมล้านนาในเวลาต่อมา  เมื่อพญามังรายทรงย้ายไปสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ที่ชื่อว่า  เวียงกุมกาม



เวียงกุมกาม  อรุณรุ่งแห่งล้านนา

               หลังจากที่พญามังรายยึดครองและประทับอยู่ที่หริภุญไชยได้  ปี  พระองค์ก็เสด็จมาสร้างเวียงกุมกามที่ตรงนี้”  สารถีอธิบายเสียงดัง  เล่นเอาผมสะดุ้ง  นึกขึ้นมาได้ว่ากำลังนั่งรถม้าเที่ยวนครโบราณใต้พิภพอยู่  เผลอใจลอยถึงวันที่ผ่านนานไปหน่อยครับ

บรรยากาศการท่องเที่ยวในเวียงกุมกามไม่เหมือนแหล่งโบราณสถานที่ไหน  เพราะจะมีศูนย์บริการอยู่ที่วัดช้างค้ำ  บริเวณลานวัดจัดเป็นกาดล้านนา  มีอาหารท้องถิ่นพวกไส้อั่ว  แคบหมู  ให้ซื้อติดไม้ติดมือไปแก้เหงาปาก  ก่อนจะเลือกขึ้นพาหนะที่เหมาะสมไปชมเมืองกัน  มีทั้งรถโดยสารแบบเปิดโล่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่มากันเยอะเป็นกลุ่มใหญ่  รถสามล้อถีบและรถม้าสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาสองสามคน
           
            ส่วนสำคัญที่สุดก็คือสารถีประจำพาหนะทุกคันจะเป็นมัคคุเทศก์ในตัว  เล่าประวัติความเป็นมา  ชี้จุดน่าสนใจ  คุยเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของวัดวาอารามแต่ละแห่งให้ฟัง  ทำให้กองอิฐเก่า ๆ กลับดูเหมือนมีเรื่องราว มีชีวิตชีวาขึ้นมา ไม่น่าเบื่อ

    “วัดนี้สมัยก่อนรกร้างเป็นป่า  มีลิงค่างบ่างชะนีอาศัยอยู่เยอะเลยชื่อว่าวัดอีค่าง

                “บางวัดก็ได้ชื่อมาจากเจ้าของที่ดิน  อย่างวัดหนานช้างเป็นที่ดินสวนลำไยของลุงหนานช้าง  กรมศิลป์เวนคืนมาขุดค้น  เลยตั้งชื่อให้เป็นเกียรติ
                
                “วัดปู่เปี้ยนี่แต่ก่อนมีปู่แก่ ๆ คนหนึ่งอาศัยอยู่  แกพิการเตี้ยหลังค่อม  ภาษาพื้นเมืองเรียกว่าเปี้ย  เลยเรียกว่าวัดปู่เปี้ย  วัดนี้มีจุดเด่นตรงกำแพงแก้วเป็นรูปกากบาท  กับเจดีย์ทรงปราสาทที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็จะเอียงซ้ายตลอด
               
                “ขุดพบซากพระพุทธรูปประธานองค์ใหญ่  ในองค์พระมีตลับใส่พระบรมธาตุ  ก็เลยสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ทับเอาไว้  ชาวบ้านมาไหว้กันมาก  เพราะว่าศักดิ์สิทธิ์

                “วัดกู่ป้าด้อมนี่ป้าแกอายุ  ๙๔  แล้ว  ยังมีชีวิตอยู่  ที่เห็นทำเป็นหลังคาคลุมไว้  เพราะมีลวดลายปูนปั้นสวยงาม  ไม่ลงไปดูหน่อยหรือครับ

            บางคำถามจากนักท่องเที่ยวขี้สงสัย  ไม่น่าจะตอบได้ ก็ยังตอบ  นั่นควายของใคร  ทำไมมายืนอยู่หน้าวัดตรงนี้

            “อ๋อ  ควายตัวนี้มันหนีออกมาจากโรงฆ่าสัตว์ครับ  มาแอบที่วัดเจดีย์เหลี่ยม  ร้องไห้น้ำตาไหลเลยนะ  เจ้าของเขาตามมาจะเอาไปโรงฆ่าเพราะว่ารับเงินมาแล้ว  ทางวัดสงสารก็เลยตั้งตู้รับบริจาคจากนักท่องเที่ยวได้เงินไถ่ชีวิตมันมาได้  เลยตั้งชื่อให้มันว่าบุญรอด  แล้วก็ปล่อยมันหากินอยู่แถวนี้แหละ
            
               ผมเองมองหาอยู่แต่ว่าจะมีอะไรที่เชื่อมโยงกับศิลปกรรมหริภุญไชยบ้างหรือไม่

 “เจดีย์เหลี่ยม  หรือกู่คำ  เป็นเจดีย์แห่งแรกที่พญามังรายทรงสร้างที่เวียงกุมกาม

              มองไปที่เจดีย์สี่เหลี่ยมสูงใหญ่ตระหง่านอยู่ตรงหน้า  อันมีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปเรียงรายลดหลั่นกันขึ้นไปเป็นชั้นทั้งสี่ด้าน  ไม่รู้สึกแปลกใจสักนิดเลยว่าพญามังรายท่านเอาแบบอย่างเจดีย์แบบนี้มาจากไหน ดูมุมไหนก็เจดีย์แบบหริภุญไชยแท้ ๆ

เป็นอันว่ายืนยันครับ  กับข้อมูลที่นักประวัติศาสตร์โบราณคดีเขาพบว่าตอนสร้างเวียงกุมกาม  พญามังรายรับเอารูปแบบทางศิลปกรรม  รวมทั้งยังได้รับเอาคติความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างเมืองของหริภุญไชย  ที่เลือกสร้างเมืองในที่ลุ่มริมแม่น้ำมาด้วย  เพราะก่อนหน้านี้พญามังรายทรงสร้างเมืองมาแล้วหลายครั้ง  แต่ทุกครั้งจะทรงสร้างบนที่สูง  คือบนดอย  ไม่สร้างในที่ลุ่มน้ำท่วมถึง

                หลังจากประทับอยู่หริภุญไชย  ปี พระองค์คงจะทรงเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคในการเลือกทำเลที่ตั้งของเมืองในลุ่มน้ำ  และพยายามที่จะทดลองในการสร้างเวียงกุมกามเป็นแห่งแรก  แต่ก็ไม่สำเร็จ  เพราะต่อมาเวียงกุมกามก็ต้องพบกับปัญหาน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ  จนพญามังรายต้องทรงปรึกษากับพระสหาย  คือ พญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหง  ในการเลือกสถานที่สร้างเมืองใหม่ที่จะเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านนา

ท้ายที่สุดจึงได้พื้นที่บริเวณนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่  ที่ได้ผ่านการพิสูจน์โดยการเวลามานานหลายศตวรรษแล้วว่าเป็นทำเลที่ดีเยี่ยมที่สุดเหมาะสมแก่การเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนาอย่างแท้จริง  ส่วนเวียงกุมกามซึ่งชัยภูมิไม่เหมาะสมก็จมน้ำป๋อมแป๋มหายไป  แต่ก็ไม่สูญเปล่าครับยังคืนชีพกลับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเชียงใหม่ได้อีก

ก่อนอำลาเวียงกุมกาม  ผมแวะเข้าไปในศูนย์ข้อมูลที่จัดสร้างเอาไว้อย่างดี  เป็นห้องละหัวข้อ  แต่ละห้องมีนิทรรศการแบบมัลติมีเดียเกี่ยวกับเรื่องเวียงกุมกามนำเสนอได้น่าสนใจ  ที่ผมชอบก็คือแบบจำลองเมืองใหม่ที่แยกออกจากกันด้วยไฮโดรลิก  แล้วมีแบบจำลองเมืองเก่าโผล่ขึ้นมาแทน  ดูสนุกดีเหมือนกัน

แต่ที่สำคัญ  วิทยากรนำชมยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของวัดวาอารามที่ละเอียดกว่าไกด์สารถีมาเล่าให้ฟังมากมาย  ยกตัวอย่างที่ผมจำได้ดีก็คือเรื่องของวัดธาตุขาวครับ

วิทยากรสาวสวยเล่าให้ผม  (และคนอื่น ๆ)  ฟังถึงตำนานที่ว่า  พระนางอั้วมิ่งเวียงไชย  พระมเหสีของพญามังรายได้เสด็จมาบวชชีจนสิ้นพระชนม์ ณ วัดแห่งนี้  เนื่องจากพญามังรายได้มีพระมเหสีใหม่  เมื่อครั้งพระองค์เสด็จยกทัพไปตีพม่า  ทางพม่ายอมสวามิภักดิ์  โดยถวายพระราชธิดาปายโคมาเป็นพระมเหสี

พญามังรายได้ทรงสาบานกับพระนางตั้งแต่สมัยอยู่ที่เมืองเชียงแสนว่าจะไม่ทรงมีพระมเหสีคนอื่นใดอีก  ดังนั้นต่อมาพญามังรายจึงเสด็จสวรรคตด้วยอสนีบาตระหว่างเสด็จประพาสตลาด  เนื่องมาจากทรงผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับพระนาง  และด้วยเหตุนี้  สาว ๆ ที่ได้ยินเรื่องตำนานที่ว่า  จึงนิยมพาแฟนหนุ่มของตัวเองมาสาบานที่วัดนี้

            จริงหรือไม่จริงอย่างไร  ก็ต้องไปถามคุณวิทยากรกันเอาเองครับ  

            ทางที่ดีสำหรับหนุ่ม ๆ ทั้งหลาย  เวลาที่พาแฟนไปเที่ยวตามวัดวาอารามเก่า ๆ แบบเวียงกุมกาม  ควรจะเข้าไปศึกษาหาข้อมูลประเภทนี้ในศูนย์ข้อมูลให้ดีเสียก่อน ว่าวัดไหนขลังเรื่องอะไรบ้าง  อย่าเที่ยวไปสาบานสุ่มสี่สุ่มห้า  ไม่งั้นเกิดอะไรขึ้นมาหาว่าผมไม่เตือนไม่ได้นะ

                เอ๊ะ  เที่ยวเมืองโบราณล้านนาอยู่ดี ๆ มาจบเรื่องนี้ได้ไงเนี่ย


เอกสารอ้างอิง
ไกรสิน  อุ่นใจจินต์.  เวียงกุมกาม  ราชธานีเรกเริ่มของล้านนา.  พิมพ์ครั้งที่ ๒.  เชียงใหม่ : จรัสธุรกิจการพิมพ์2548.
บดินทร์  กินาวงศ์  และคณะ.  ประวัติศาสตร์เมืองเชียงราย-เชียงแสน.  เชียงใหม่ : โรงพิมพ์มิ่งเมือง๒๕๔๖.
ศรีศักร  วัลลิโภดม.  ค้นหาอดีตของเมืองโบราณ.  กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ๒๕๓๘.
ศิลปากรกรม.  เวียงกุมกาม  รายงานการขุดแต่งศึกษาและบูรณะโบราณสถาน.  กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร๒๕๓๔.
ศิลปากรกรม.  เวียงท่ากาน  รายงานการขุดแต่งศึกษาและบูรณะโบราณสถาน.  กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร๒๕๓๔.
สรัสวดี  อ๋องสกุล.  เวียงกุมกาม  การศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนโบราณในล้านนา.  พิมพ์ครั้งที่ 4.  เชียงใหม่ : วิทอิน  ดีไซน์,  ๒๕๔๘.
สันติ  เล็กสุขุม.  หริภุญชัย-ล้านนา.  กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ๒๕๓๘.
เสนอ  นิลเดช.  ศิลปะสถาปัตยกรรมล้านนา.  กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ๒๕๒๖.


คู่มือนักเดินทาง
                เส้นทางสายประวัติศาสตร์ล้านนาสายนี้สามารถขับรถท่องเที่ยวในลักษณะวงรอบได้  เริ่มต้นจากตัวเมืองเชียงใหม่  ใช้ทางหลวงหมายเลข ๑๑๘  ผ่านอำเภอดอยสะเก็ด  อำเภอเวียงป่าเป้า  และอำเภอแม่สรวย  แล้วไปเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข   ผ่านเมืองเชียงรายตรงขึ้นไปจนถึงอำเภอแม่สาย  แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข ๑๒๙๐ ไปยังอำเภอเชียงแสน 
                จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข  ๑๐๑๖  กลับมาเข้าทางหลวงหมายเลข   ที่อำเภอแม่จัน  ผ่านเมืองเชียงราย  ผ่านอำเภอพาน  อำเภอแม่ใจ  และจังหวัดพะเยา  ตรงมาจนถึงจังหวัดลำปาง  แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข ๑๑ ผ่านเมืองลำพูน  ผ่านอำเภอสารภี  เข้าสู่จังหวัดเชียงใหม่