ตีพิมพ์ครั้งแรกใน อนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ ๔๗ ฉบับที่ ๖ เดือน มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐
มันเป็นความรู้สึกยากที่จะบรรยายครับ
เกิดขึ้นเมื่อผมได้มายืนอยู่ปากทางขึ้นสู่ภูกระดึงอีกครั้งในวันนี้
หลังจากที่ห่างเหินกันไปเนิ่นนานกว่าสิบปี
ใจมันเต้นตึกตัก
จะว่าเหนื่อยก็ไม่ใช่ เพราะว่ายังไม่ทันได้เดินขึ้นภูสักก้าว
จะว่าหิวก็ไม่ใกล้เคียง ก็ผมเพิ่งแวะกินข้าวคะน้าหมูกรอบที่ร้านข้างที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึงมาเมื่อตะกี้
สังเกตุดูดีๆ แล้วรู้สึกเหมือนคิดถึงผสมดีใจยังไงก็บอกไม่ค่อยถูก
ใครเดินผ่านมาตอนนั้นก็คงจะเห็นผมยืนสะพายกระเป๋ากล้องยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่หน้าทางเดินขึ้นภู
อารมณ์ประมาณเวลาได้กลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าที่เคยเรียนสมัยยังเป็นเด็กนั่นแหละครับ
ความจริงจะว่าไปแล้ว
ภูกระดึงก็เปรียบเสมือนโรงเรียนที่สอนการเดินทางท่องเที่ยวในธรรมชาติให้ใครต่อใครมาเนิ่นนาน
เพราะเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งที่ ๒ ของประเทศไทยถัดจากเขาใหญ่ ประกาศจัดตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โน่น
ก็เลยมีศิษย์เก่าอยู่มากมายก่ายกองรุ่นแล้วรุ่นเล่า ลองไปถามดูเถอะครับ
ผมว่านักท่องเที่ยวไทยที่นิยมการท่องเที่ยวในธรรมชาติแต่ละคนเป็นศิษย์เก่าภูกระดึงกันแทบทั้งนั้น
น่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๙๙
ผมเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนที่ว่ากับเขาเหมือนกันครับ
มาภูกระดึงครั้งแรกก็ตั้งแต่สมัยวัยรุ่นโน่น
ตอนนั้นยังเป็นนิสิตรั้วจามจุรีสีชมพูอยู่เลย
ยังไม่เคยไปเที่ยวป่าเขาลำเนาไพรที่ไหนมาก่อนตั้งแต่เกิดมา
เรียกว่าประเดิมการท่องเที่ยวธรรมชาติครั้งแรกในชีวิตก็ที่ภูกระดึงนี่แหละ
เพราะได้ยินคำร่ำลือในหมู่เพื่อนพ้องว่าบนภูทิวทัศน์สวยนักหนา บรรยากาศก็ดี
ว่ากันเป็นตุเป็นตะ ทั้งจริงบ้างไม่จริงบ้าง แนวไสยศาสตร์ก็ยังมีเลยครับ
ทำเป็นเล่นไป
“ภูกระดึงน่ะเขาว่ามีอาถรรพณ์นะ ใครที่มีแฟนแล้วไปเที่ยวภูด้วยกัน
กลับมามักมีอันต้องเลิกรา แต่ใครที่ยังไม่มีแฟน ไปเที่ยวภูแล้วก็มักจะได้แฟนกลับมา”
ตามประสาวัยรุ่น
ได้ยินเพื่อนว่าอย่างนี้ก็หูผึ่งขึ้นมาทันที ไอ้เรายังไม่มีแฟนซะด้วย
ทั้งที่ไม่เคยดินป่าปีนเขาสักหน แต่พอเพื่อนชวนปุ๊บ ตกลงโอเคปั๊บได้ไงก็ไม่รู้
เก็บข้าวเก็บของ แบกขาตั้งกล้อง ไปปีนภูกระดึงกับเขาด้วยเฉยเลย
ไม่ได้รู้หรอกครับว่าปีนเขาเดินป่าสาหัสขนาดไหน
ใจนึกแต่ว่าขอให้อาถรรพณ์ภูกระดึงที่ได้ยินมาเป็นความจริงเท่านั้นแหละ
มาคิดตอนนี้แล้วก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะก๊ากออกมาครับ
นักท่องเที่ยวที่เดินอยู่แถวนั้นหันมามองผมกันเลิ่กลัก คงนึกว่าไอ้หมอนี่ท่าจะบ้า
มายืนมองทางขึ้นภูกระดึงแล้วก็หัวเราฮ่าๆ อยู่คนเดียว (โชคดีที่ช่วงนี้นักท่องเที่ยวยังมากันไม่ค่อยมาก
ไม่งั้นละเขินแย่ ทำไงได้ละครับ ก็คนมันมีความหลังนี่นา แค่มายืนอยู่ตีนภู
ภาพเก่าๆ สมัยวัยรุ่นในความทรงจำมันก็ย้อนกลับมาให้ดูให้เห็นเป็นฉากๆ
(สงสัยชักจะแก่แล้วแฮะเรา)
บางครั้งอดีตก็เป็นพลังให้เราก้าวต่อไปข้างหน้าครับ
ว่าแล้วก็ไปกันเลยดีกว่า เดินหน้าขึ้นภูกระดึง ฮุยเลฮุย
ผจญวิบากสู่ยอดภู
หนึ่งในรสชาติความประทับใจของภูกระดึงก็อยู่ตรงทางเดินขึ้นนี่แหละครับ
เพราะต้องฝ่าฟันเส้นทางที่ไต่ไปตามความสูงชันระยะทางประมาณ ๕ กิโลเมตร
ฟังดูเหมือนน้อย แค่ ๕ กิโลเมตรเท่านั้นเอง
ตอนที่มาครั้งแรกผมก็คิดแบบนั้น
แต่เอาเข้าจริงเดินขึ้นไปไม่กี่ก้าว แค่ ๑๐๐-๒๐๐ เมตรเท่านั้นก็หอบซี่โครงบาน
ขนาดสมัยวัยรุ่นนะนั่น ก็ทางขึ้นเขานี่ครับ แถมเป็นดินร่วนๆ ลื่นๆ ขึ้นลำบากพิลึก
มิหนำซ้ำกว่าจะเดินไปถึงด้านบนต้องผ่านจุดพักประมาณ ๑๐ จุด บางช่วงสุดวิบาก เรียกว่าพอๆ
กับผ่านด่าน ๑๘ มนุษย์ทองคำของสำนักเส้าหลินเลยละ
มาคราวนี้ถึงเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย
ดุ่มเดินขึ้นไปเจอปางกกค่าเป็นด่านแรกสุด
ทางดินทำเป็นขั้นบันไดกลมกลืนไปกับธรรมชาติให้เดินขึ้นสบายเยอะครับ
ไม่ต้องกลัวลื่นช่วยให้พอจะมีอารมณ์สุนทรีชื่นชมกับสีสันใบไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสีเป็นเหลืองๆ
แดงๆ ประปรายตามรายทางได้บ้าง
ด่านที่สองเป็นที่รู้จักกันดีที่สุด
ในบรรดาผู้มาเยือน คือซำแฮก เพราะชอบพูดเล่นกันว่าเดินมาถึงนี่ก็พอดีหอบแฮกๆ
(ก็หอบจริงๆ นั่นแหละ) ความจริงแล้วซำแฮก หมายถึง จุดที่มีน้ำไหลผ่านเป็นจุดแรก
มาตั้งหลายครั้งแล้วผมก็ไม่เคยเห็นตรงที่น้ำไหลผ่านสักที รู้แต่ที่แน่ๆ
มีร้านขายน้ำเป็นจุดแรก ปราดเข้าไปซื้อน้ำอัดลมเติมพลังแล้วก็นั่งพักเหนื่อย
มองไปริมทางยังมีป้ายบอกระยะว่ามีกี่ด่าน เดินอีกกี่เมตรจะถึงจุดพักต่อไป
ผมไม่ค่อยอยากจะดูป้ายครับช่วงนี้ กลัวจะท้อใจเพราะเหลืออีกตั้งหลายจุด
ลูกหาบ ๒ คนคอนลำไม้ไผ่ยาวผูกข้าวของพะรุงพะรังเดินผ่านหน้าร้าน
ต่างพยักเพยิดกันก่อนหันมายิ้มให้ผมมองไป อ้าว
เป็นลูกหาบที่แบกสัมภาระของผมนั่นเอง เห็นพวกลูกหาบแล้วอดเลื่อมใสไม่ได้ครับ
แต่ละคนยังกับฝึกกำลังภายในจากเสี้ยวลิ่มยี่มา หากเป้กระเป๋าสัมภาระกองมหึมาเดินตัวปลิวขึ้นเขาเหมือนมีวิชาตัวเบา
ขนาดนักท่องเที่ยวอย่างเราเดินตัวเปล่าๆ ยังแทบแย่
ทั้งที่อย่างมากก็ถือกระเป๋ากล้องแค่ใบเดียว
เห็นสัมภาระแซงหน้าไปแล้ว
จะนั่งทอดหุ่ยอยู่ได้ยังไง ผมจัดแจงจ่ายสตางค์น่าน้ำรีบออกเดินต่อไปบ้าง
กะแข่งกับลูกหาบหลานหาบว่าใครจะถึงยอดภูก่อนกัน แก้เหงาไปในตัวครับ มาครั้งก่อนๆ
มีเพื่อนเดินขึ้นภูด้วย คราวนี้เดินคนเดียวเปลี่ยวเอกา
ต้องอาศัยพ่อค้าแม่ขายตามรายทางที่ผ่านเป็นเพื่อนคุย ดอกไม้ป่าเล็กๆ
นานาชนิดสองฝั่งฟากที่เบ่งบานหลายสีสันก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้การเดินดอยเดียวดายของผมไม่น่าเบื่อจนเกินไป
เดินไปพลาง ก็แวะเก็บภาพไปพลาง เพลิดเพลินเจริญใจจนพลิ้วผ่านชำบอนไปแบบสบายๆ
แทบไม่รู้ตัว
กระทั่งถึงซำกกกอนั่นแหละครับ
ความสูงชันถึงเริ่มเพิ่มขึ้นอีกจนรู้สึกได้ แต่ลองฮึดจ้ำอ้าวจนแซงลูกหาบไปได้
(ไชโย) พักเดียวผมก็ไปโผล่ที่ซำกอซาง แวะเติมพลังด้วยน้ำอัดลมจากเพิงริมทางอีกที
เพราะจากตรงนี้ขึ้นไปทางชันดิก ขนาดทางอุทยานฯ
เขาทำทางเดินปูมีราวเหล็กกั้นลัดเลาะขึ้นไปแบบพับผ้า
ยังต้องหยุดพักเหนื่อยเป็นระยะๆ ดีที่มีคนเดียว เหนื่อยเมื่อไหร่ก็หยุดพักได้เลย
นึกถึงสมัยก่อนเวลามาหลายคนรักษาฟอร์มกันสุดๆ
เหนื่อยทีต้องทำไก๋เป็นหยุดถ่ายภาพอะไรต่อมิอะไรให้วุ่นวาย
เรื่องของเรื่องก็คือไม่อยากเสียมาดต่อหน้าสาวๆ นั่นแล
แต่จะว่าไปวิวก็สวยใช้ได้นะช่วงนี้ ...แฮ่กๆ
ถึงพร่านพรานแปผมเหลือบดูนาฬิกา ใช้เวลาไปชั่วโมงครึ่ง ได้ยินว่าคนที่เดินจนชำนาญทางเขาใช้เวลาขึ้นถึงยอดภูแค่ ๒ ชั่วโมง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ยังไง ผมเองก็ชอบจับเวลาตอนเดินขึ้นภูแล้วจดบันทึกเป็นสถิติเอาไว้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาแล้วครับ เผื่อเปรียบเทียบกับเวลามาเดินครั้งต่อไป จะได้รู้ว่าเดินเร็วขึ้นหรือช้าลงแค่ไหน อย่างน้อยก็ได้มีอะไรทำระหว่างหยุดพักเหนื่อย ที่สำคัญคงตื่นเต้นดีพิลึกถ้าอีกสัก ๓๐ ปีผ่านไป เกิดผมมาขึ้นภูกกระดึงใหม่แล้วทำเวลาได้เร็วกว่าที่จดเอาไว้ตอนนี้
เดินต่อไม่ถึง ๑๐ นาทีต่อมา ป้ายซำกกโดน พลันปรากฎตรงหน้า ถือว่าเป็นจุดพักใหญ่ครับตรงนี้
เพราะเป็นจุดสกัด มีทั้งที่ทำการหน่วยฯ กับบ้านพักเจ้าหน้าที่อยู่
รู้สึกแปลกตาเมื่อเห็นว่าร้านค้าที่เคยเรียงรายอยู่ริมหน้าผาเมื่อหลายปีก่อนย้ายเข้ามาอยู่ด้านใน
แต่ก็ดีเหมือนกัน ทำให้มองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างขวางกว่าเก่า ทั้งเทือกทิวเขา
หมู่บ้าน อ่างเก็บน้ำ แลลิบ ๆ อยู่ข้างล่าง
ถือโอกาสแวะพักกินข้าวกลางวันเติมพลังเสียเลย
อิ่มแล้วก็เดินเตร็ดเตร่ย่อยอาหารดูร้านรวงข้างเคียง
ก็เลยได้เห็นว่าเดี๋ยวนี้ภูกระดึงมีของที่ระลึกให้เลือกซื้อหลากหลาย
นอกเหนือไปจากเสื้อยืดสรีนลายภูกระดึงกับพวงกุญแจอันเป็นสินค้ามาตรฐาน
แต่ยังไม่ซื้อตอนนี้หรอกครับ รอขากลับดีกว่า ไม่อยากแบกอะไรเพิ่มเติม
เดี๋ยวจะพานขึ้นไม่ไหว ก็ขนาดกระเป๋ากล้องคู่ใจที่สะพายอยู่ เดินๆ
ไปยังอยากโยนทิ้งไว้ข้างทางเลย
กำลังดูของที่ระลึกเพลินๆ
ได้ยินเสียงฮือฮาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่นั่งพักชมวิวอยู่ริมผา
แม่ค้าบอกว่าเขาตื่นเต้นกันที่เห็นฝูงลิงแดงหรือลิงไอ้เงียะ
มันชอบมาห้อยโหนโจนทะเยานกันอยู่ตรงชายป่า ผมได้ยินก็รีบเดินไปดูใกล้ๆ บ้าง
เห็นลิงแม่ลูกอ่อนพาลูกมากระโดดโลดเต้น ไต่ขึ้นไต่ลงอยู่บนคบไม้ใกล้ๆ แหม
บรรยากาศช่างเป็นธรรมชาติจริงๆ
รอจนข้าวในท้องเรียงเม็ดได้ที่แล้ว
ผมก็ออกเดินต่อไป ผ่านด่านช้างที่อยู่ริมทางหลังก้อนหินใหญ่ จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนผมเดินขึ้นมาเจอช้างป่าอาละวาดหักไม้เสียงดังผัวะผะอยู่ในหุบข้างทางพอดี
ระทึกใจน่าดู ยังปีนก้อนหินถ่ายภาพเก็บเอาไว้ ได้แค่หัวกับหลังผลุบโผล่อยู่ในดงไม้
แต่ก็เป็นภาพถ่ายช้างป่าภาพแรกในชีวิตที่สุดแสนประทับใจของผมละครับ
หยิบมาดูทีไรก็ตื่นเต้นทุกที มาตอนนี้มีป้ายเขียนไว้แล้วว่า อันตรายห้ามเข้า
ฝ่าฝืนปรับ ๑,๐๐๐ บาท
(ความจริงใครทะเล้นเข้าไปคงจะมีหวังโดนช้างเหยียบตาย
ไม่รอดออกมาให้เจ้าหน้าที่ปรับหรอก ผมว่า)
เดินเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงชำแค่ จุดพักสุดท้ายก่อนขึ้นสู่หลังแป ถึงตรงนี้ผมต้องหยุดพักเอาแรง ดื่มน้ำดื่มท่าให้เรียบร้อย
จากตรงนี้ไปเป็นทางขึ้นเขาอีก ๑,๓๐๐ เมตร ถือว่าเป็นช่วงยาวที่สุดแถมไม่ใช่ทางดินเรียบๆ
ธรรมดาอย่างที่เดินผ่านมาตั้งแต่ต้น
แต่เป็นทางขึ้นเขาชันที่เต็มไปด้วยหินสารพัดขนาดทั้งก้อนเล็กก้อนใหญ่ระเกะระกะ
คิดดูสิครับ เดินมากำลังเมื่อยล้าได้ที่
ต้องมามะงุมมะงาหราไปตามทางชันที่ขรุขระตะปุ่มตะป่ำด้วยโขดหินเล็กบ้างใหญ่บ้าง
แทบทุกย่างก้าวต้องยกเท้าขึ้นสูงๆ
มองหามุมเหมาะบนก้อนหินหรือซอกหินที่จะวางเท้าลงไป
ผิดเหลี่ยมผิดมุมอาจจะลื่นข้อเท้าพลิกหกล้มหกลุก“เดี้ยง” เอาง่ายๆ แต่ขนาดระมัดระวังอย่างนี้ผมก็ยังลื่นไถลจับกบได้แผลเลือดซิบๆ
แถวหน้าแข้งมาเป็นที่ระลึกเลย เดินระวังๆ กันหน่อยก็ดีครับ โรงพยาบาลบนภูไม่มีนะ
จะบอกให้
ในที่สุดหลังจากตะเกียกตะกายป่ายปีนหินน้อยใหญ่กับไต่บันไดเหล็กชันดิกที่มีอยู่เป็นระยะอีก ๗ แห่ง ผมก็ขึ้นมาถึงบริเวณที่เรียกว่าหลังแปจนได้
เดินไปหยุดชมวิวริมผา
ความเหน็ดเหนื่อยบนหนทางวิบากที่ผ่านมาพลันปลิดปลิวลอยหายไปกับสายลมที่พัดโชยเย็นสบาย
มองไปเห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่กำลังเฮฮาถ่ายภาพหมู่กับป้ายข้อความ “ครั้งหนึ่งในชีวิต เราได้เป็นผู้พิชิตภูกระดึง” ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มไปกับเขาด้วย
แฮ่ม...เราก็เป็นหนึ่งในผู้พิชิตวันนี้เหมือนกัน
นึกไปถึงข่าวที่เคยได้ยินว่าจะมีการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง
ถ้าสร้างตอนนั้น ขึ้นภูวันนี้ก็คงกร่อยละครับ ไม่มีความสนุกเร้าใจ
ป้ายผู้พิชิตภูกระดึงก็คงจะไม่มีความหมายอีกต่อไป
เพราะไม่ต่างกับการขึ้นลิฟต์ในห้างสรรพสินค้าที่ไหนสักแห่งที่ใครๆ ก็ขึ้นได้
เอาไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเขาตื่นเต้นหรอก
ไม่เหมือนกับที่เดินขึ้นมาด้วยสองขาของตัวเองครับ
ภูมิใจกว่ากันเยอะ เก็บเอาไปเล่าได้ชั่วลูกชั่วหลานเลยเชียวละ
ขี่จักรยานท่องสวนสรรค์บนยอดภู
ไม่ได้มาเสียนาน
แต่ทิวทัศน์บนหลังแปที่เห็นยังดูเหมือนเดิม
ที่แตกต่างไปเห็นจะเป็นตรงที่ปกติเมื่อขึ้นมาถึงแล้วจะต้องเดินต่อไปอีก ๓ กิโลเมตร ถึงจะเจอจุดพักแรม
ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง แต่คราวนี้ผมไม่ต้องเดินครับ
เพราะว่าเดี๋ยวนี้เขามีโครงการจักรยานบนภูกระดึงไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยวแล้ว
เพิ่งมีได้ปีสองปีนี่เอง
ตรงหลังแปจะมีจุดบริการจักรยานอยู่ ผมประสานงานกับคุณเทอดศักดิ์
ศรีทองคำ เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลโครงการฯ มาล่วงหน้าตั้งแต่อยู่ตีนภูแล้ว
ก็เลยเข้าไปรับจักรยานเสือภูเขาแบบ ๖ เกียร์มาขี่ปร๋อไปตามเส้นทางเลียบหน้าผา (คนละเส้นกับทางคนเดิน)
พอถึงผาหมากดกก็เลี้ยวขวา
ก่อนปั่นผ่านทุ่งตรงเข้าไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางระยะทางประมาณ ๔ กิโลเมตรครึ่ง
ปั่นนกชมไม้ยังไม่ทันเหนื่อยก็ถึงเสียแล้ว เร็วกว่าเดินเยอะเลย ที่ศูนย์ฯ
วังกวางเขาก็จะมีจุดบริการจักรยานอีกจุดหนึ่งครับ
เป็นเต๊นท์ใหญ่ใกล้กับบ้านพักของอุทยานฯ ขี่มาถึงก็เอาจักรยานไปคืนที่ตรงนี้ได้เลย
เพราะเขาจำกัดพื้นที่ในส่วนของลานกางเต๊นท์ไม่ให้เอาจักรยานเข้า
เดินมือเปล่าตัวปลิวไปรับสัมภาระติดต่อใช้สถานที่กางเต๊นท์
พร้อมทั้งเช่าเครื่องนอน คือหมอนกับผ้าห่ม ไว้เตรียมสู้กับลมหนาวยามค่ำคืน
ช่วงที่ผมมานี่ไม่ใช่หน้าเทศกาล ยังไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวเท่าไหร่ มีเต๊นท์กางอยู่ไม่กี่หลัง ผมเลยเลือกทำเลในลานกว้างกางเต็นท์ได้ตามชอบใจ
สบายแฮ
กางเต็นท์เก็บสัมภาระเสร็จสรรพยังมีเวลาเหลือ
เกร่กลับไปที่จุดบริการจักรยานอีกที คุณพิกุล ชูสกุล เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลอีกคนที่อยู่โยงรักษาการณ์ก็เลยมอบหมายให้น้องๆ
ทีมงานนำทางผมขี่จักรยานย้อนกลับไปชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกตามสูตรการเที่ยวภูกระดึงวันแรกเสียหน่อย
เสียดายวันนี้อากาศไม่ค่อยเป็นใจ มีเมฆก้อนใหญ่มาบังแสงสุดท้ายจนไม่เห็นสีสัน
แต่ผมก็กินลมชมบรรยากาศนั่งดูไปจนขอบฟ้ามืดสนิทนั่นแหละครับ
ก็พอดีกับคุณเทอดศักดิ์ที่ไปธุระข้างล่างกลับขึ้นมาสมทบพอดีเลยพากันขี่จักรยานกลับ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมค่อยพาไปขี่ดูเส้นทางจักรยาน” คุณเทอดศักดิ์ว่า
ผมชักเริ่มติดใจการขี่จักรยานเที่ยวบนภู ลองแล้วเข้าท่าครับ
ไปไหนมาไหนรวดเร็วทันใจดีจริงๆ
เมื่อก่อนมาดูพระอาทิตย์เสร็จกว่าจะเดินกลับถึงที่พักก็เดินกันอานครับ
คราวนี้ปั่นสบายๆไม่กี่นาทีก็ถึง ได้กลับมาอาบน้ำอาบท่า
กินข้าวกินปลาที่ร้านค้าอย่างสบายใจแต่หัวค่ำก่อนเข้าเต็นท์นอนเพราะความเหนื่อยล้าที่เดินขึ้นภูมาทั้งวัน
แถมยังมาปั่นจักรยานต่อเป็นของแถมอีก ล้มตัวนอนก็หลับอุตุเป็นตาย
มาตื่นเอาตอนตีสามเห็นจะได้
ก่อนนอนดื่มน้ำมากไป อากาศเย็นทำให้เกิดอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา
ออกจากเต็นท์ก็ต้องตกใจครับ
เพราะในลานกว้างที่กางเต็นท์มีตัวอะไรบางอย่างเดินตะคุ่มๆ อยู่เป็นฝูง
เอาไฟฉายส่องดู ปรากฎว่าเป็นกวางป่าครับ ทำให้นึกไปถึงประวัติของภูกระดึงที่ว่า
นายพรานตามรอยกระทิงขึ้นมาจนพบลานกว้างบนหลังแปภูกระดึง
ซึ่งตอนนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด
มาเห็นอย่างนี้ก็พอจะจินตนาการภาพภูกระดึงสมัยแรกพบใหม่ๆ ได้บ้าง
“ไม่ใช่แค่กวางนะครับ หมูป่า หมาจิ้งจอก หรือแม้แต่หมาไน
บางทีก็เข้ามาให้เห็นบ่อยๆ” คุณเทอดศักดิ์บอกกับผมในเช้าวันรุ่งขึ้น
หลังจากที่ผมเล่าเรื่องกวางที่เห็นให้ฟัง “ช้างป่าก็ยังมี ตัวใหญ่เสียด้วย ช่วงนี้มันเดินไปเดินมาอยู่แถวผานกแอ่น”
มิน่า
เมื่อวานผมได้ยินเจ้าหน้าที่ประกาศว่าใครจะไปชมพระอาทิตย์ที่ผานกแอ่นในตอนเช้า
ให้รวมตัวไปพร้อมกันกับเจ้าหน้าที่ ที่แท้มีช้างป่านี่เอง
ผม คุณเทอดศักดิ์ และน้องทีมงามอีกคน
จูงจักรยานเดินเรียงแถวกันออกมาจากจุดบริการวังกวาง โชคดีที่แดดไม่ร้อน
วันนี้เราจะไปปั่นเสือภูเขาตามเส้นทางท่องเที่ยวด้วยจักรยานกัน
ตอนแรกผมเข้าใจว่านักท่องเที่ยวขึ้นมาก็เช่าจักรยานขี่เที่ยวได้ตามใจ
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นครับ เขาก็มีระเบียบกฎเกณฑ์เอาไว้เหมือนกัน
เพื่อควบคุมดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
อันดับแรกก็คือ
จะต้องมีการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ขี่ว่าขี่จักรยานเก่งพอไหม
โดยเฉพาะในเส้นที่ระยะทางค่อนข้างไกลต้องพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะต้องผ่านทางวิบากหลายจุด
ที่สำคัญต้องมีเจ้าหน้าที่ของโครงการฯ นำทางไปด้วย
คอยดูแลความปลอดภัยแลอำนวยความสะดวก นอกจากนี้ ยังมีรายละเอียดข้อห้ามอื่นๆ
อีกพอสมควร เช่น ห้ามขี่เร็วเกินควร ห้ามออกนอกเส้นทางที่กำหนด
ห้ามนำจักรยานเข้าใกล้หน้าผาเกินกว่า ๕๐ เมตร และห้ามจอดจักรยานนอกบริเวณที่กำหนด
“เราจะมีเจ้าหน้าที่คอยสังเกตการณ์อยู่ตามจุดต่างๆ ครับ
ถ้าเห็นใครทำกฎที่เราตั้งเอาไว้ อาจทำให้เกิดอัตราย ก็จะระงับการขี่ทันที
ที่ผ่านมาก็เลยยังไม่มีอุบัติเหตุร้ายแรง” คุณเทอดศักดิ์เล่าขณะขี่รถพาผมไปตามเส้นทาง
เลี้ยวรถเข้าไปในลานพระพุทธเมตตาเป็นอันดับแรก
เป็นธรรมเนียมที่ผู้มาเยือนจะต้องมาสักการะองค์พระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยที่ประดิษฐานอยู่กลางลานหินเพื่อเป็นสิริมงคลกับการเดินทาง
ตามประวัติว่า พระพุทธรูปองค์นี้ หลวงวิจิตรคุณสาร นายอำเภอวังสะพุง
ได้ร่วมกับราษฎรสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๖๓ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้โปรดเกล้าฯ
ให้บูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระและบริเวณโดยรอบที่ทรุดโทรม
รวมทั้งเสด็จพระราชดำเนินมาทรงทำพิธีเบิกพระเนตรและสวมพระเกศ
พร้อมทั้งพระราชทานนามว่าพระพุทธเมตตา ทางอุทยานฯ จึงได้ตั้งชื่อลานหินบริเวณนี้ว่าลานพระศรีฯ
เพื่อรำลึกถึง “สมเด็จย่า” ตอนผมขี่จักรยานเข้ามาเจ้าหน้าที่เพิ่งจะปักป้ายใหม่เสร็จพอดี
ไหว้พระสบายอกสบายใจดีแล้ว
ก็พากันขี่จักรยานต่อไปยังน้ำตกถ้ำใหญ่ครับ ตัวน้ำตกอยู่ต่ำลงไปด้านล่าง
ต้องจอดจักรยานลงเดินไปในหุบ ระหว่างทางคุณเทอดศักดิ์ชี้ให้ผมดูลานหินและโขดหินใหญ่ที่เดินผ่าน “ช่วงตุลาฯ – พฤศจิกาฯ
ที่ผ่านมาตรงนี้มีข้าวตอกฤาษีเขียวเต็มไปหมด
บนหินนั่นก็มีเอื้องคำหินสิงโตรวงทองด้วย แล้วก็ช่วงมกราคมนี่
ถ้ามาแถวนี้ก็จะเจอกล้วยไม้ประเภทสิงโตสยาม ถัดไปช่วงมีนาฯ-เมษาฯ
จะมีเอื้องแซะภูกระดึง เอื้องคำ เอื้องนิ้วนาง ยอดสร้อย...” โอ้โฮ ท่าทางจะละลานตาดีแท้ เสียดายที่ผมมาไม่ตรงช่วงเวลาเลยไม่ได้เห็น
เสียงน้ำตกดังซู่ซ่าแว่วมา ทว่าดังแต่เสียงครับ
พอเดินลงไปถึงจริงๆ ปรากฎว่าเพิงผาเขียวครึ้มด้วยตะไคร่มีแค่ธารน้ำน้อยไหลรวยริน
(ยังกับน้ำประปาที่บ้านผมแนะ) แต่จุดสนใจของน้ำตกถ้ำใหญ่แห่งนี้
คือเมื่อเดินลงไปจะเห็นหุบใบเมเปิลสีแดงร่วงหล่นปกคลุมทั่วโขดหินที่ระเกะระกะ
กระทั่งในลำธาร
แลเห็นนักท่องเที่ยววัยรุ่นหญิงชายกลุ่มใหญ่ลงไปวี้ดว้ายกระตู้วู่ถ่ายภาพกันอยู่เป็นที่สนุกสนาน
“จากน้ำตกถ้ำใหญ่ ถ้าจะไปน้ำตกเพ็ญพบต้องเดินต่อไปอีก ๒ กิโลฯ ปกติทัวร์จักรยานจะไม่พาไปครับ เพราะเดินค่อนข้างไกล รวมไปกลับ ๔ กิโลฯ
ยกเว้นนักท่องเที่ยวอยากจะไปกันจริงๆ นั่นแหละถึงจะพาไป” คุณเทอดศักดิ์บอกขณะขี่จักรยานนำต่อไปยังบริเวณน้ำตกธารสวรรค์ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
สภาพที่เห็นก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่กับถ้ำใหญ่ คือน้ำไม่ค่อยมี
สมัยมาเที่ยวครั้งแรกๆ
เวลาจัดโปรแกรมเที่ยวกัน มักจะจัดให้เที่ยวดูน้ำตกวันหนึ่งไปเลย
แต่พอมาหลายครั้งเข้าชักเริ่มรู้แกวแล้วครับ
ว่าหน้าหนาวอย่างนี้น้ำตกแต่ละแห่งไม่ค่อยมีน้ำให้ดูหรอก ถ้าจะดูน้ำตกจริงๆ ต้องมาเที่ยวช่วงเปิดภูใหม่ๆ
ปลายฝนต้นหนว ยังพอมีลุ้นมีน้ำให้เห็นบ้าง หลังๆ
ผมก็เลยไม่ค่อยสนใจไปดูแล้วครับน้ำตก ก็สอดคล้องกับโปรแกรมจักรยานพอดี
เพราะมีเที่ยวชมน้ำตกแค่นี้ ต่อไปก็จะเป็นเส้นทางเลียบหน้าผาล้วน
จากธารสวรรค์คุณเทอดศักดิ์ปั่นลิ่วนำหน้าพาผมไปตามทางดินที่ตัดผ่านทุ่งหญ้าป่าสนกว้างใหญ่
แซงกลุ่มนักท่องเที่ยววัยรุ่นที่เดินย่ำต๊อกกันอยู่ขึ้นไป
แต่ละคนต่างพากันมองตามจักรยานของเราอิจฉาเป็นตาเดียว
“ขอขี่หลังไปด้วยคนได้ไหม” เสียงใครก็ไม่รู้แซวตามหลังมา
ความจริงก็น่าอิจฉาอยู่หรอกครับ เพราะถ้าเดินระยะทางประมาณ ๒ กิโลฯ ถือว่าค่อนข้างไกลเชียวแหละ กว่าจะไปถึงสระอโนดาต แต่เราขี่จักรยาน แป๊บเดียวก็ไปปร๋อกันอยู่ริมบึงกว้างใหญ่แล้ว
มองออกไปเห็นผืนน้ำใสปิ๊งเหมือนกับกระจกสะท้องท้องฟ้าสีคราม
ปุยเมฆขาว กับทิวสนที่ขึ้นเรียงราย ลมพัดโกรกเย็นสบายคลายเหนื่อย พักใหญ่กลุ่มนักท่องเที่ยววัยโจ๋ถึงได้เดินมาทัน หาที่เหมาะๆ
ทิ้งตัวลงนั่ง งัดเอาข้าวห่อออกมาปิคนิกกัน ท่าทางจะหิว คงเพราะออกแรงเดินไกล
ส่วนของเราไม่ต้องพกอะไรมากิน
“เดี๋ยวขี่จักรยานไปริมผา
มีร้านอาหารเยอะแยะ” คุณเทอดศักดิ์ว่า
แล้วพาขี่ลัดตัดทุ่งหญ้าป่าสนกว้างใหญ่ ระยะทางประมาณกิโลฯ
กว่าออกมาโผล่ริมผานาน้อยริมทางมีร้านอาหารให้บริการเป็นเพิงอย่างดี
แต่เรายังไม่กินข้าวกันตรงนี้หรอกครับ เพราะยังไม่หิว แวะดื่มน้ำพักเหนื่อยแป๊บนึง
ก่อนจะเลี้ยวขวาออกปั่นเดินทางต่อไป
อีกประมาณกิโลฯ ครึ่งก็มาถึงผาเหยียบเมฆ
ตรงนี้ก็มีเพิงขายอาหารเรียงรายอยู่อีกเหมือนกัน
คุณเทอดศักดิ์จอดรถเดินพาไปดูทางด้านหลังร้าน มีดงกุหลาบขาวอยู่
ดอกกำลังบานสะพรั่งสวยงามทีเดียว กุหลาบขาวตรงนี้บานช่วงเดือนพฤศจิกายน
ก่อนที่อื่นๆ บนภูกระดึงที่จะบานตอนช่วงเดือนมีนาคม
ชมกุหลาบขาวแล้วเราสามหนุ่มก็พากันปั่นต่อไป
ทางชักจะเริ่มลาดชันขึ้น ต้องออกแรงปั่นมากหน่อย
ยังดีที่ระหว่างทางช่วงนี้มีดอกไม้ป่านานาพรรณสะพรั่งบานอยู่ตามพงหญ้าริมทางให้หยุดถ่ายภาพกันอยู่เรื่อยๆ
เป็นการพักเหนื่อยไปในตัว ผ่านผาแดงไปแล้ว ช่วงนี้นอกจากทางจะลาดชันขึ้น
ผิวทางยังเริ่มเป็นทรายด้วย ขี่ลำบากหนักแรงขึ้นอีก
มิน่าเล่าเขาถึงไม่ให้นักท่องเที่ยวที่ขึ่จักรยานยังไม่แข็งมาเส้นทางนี้
เพราะขึ้นมามีหวังล้มลุกคลุกคลาน อันตรายไม่งั้นก็ต้องลงเข็นกันอานไปเลยแหละ
“ช่วงหน้าฝนทรายเปียก พื้นมันจะแน่น ขี่ได้สบาย แต่พอแห้งมันจะเป็นทราย
ทำให้ขี่ค่อนข้างยาก” คุณเทอดศักดิ์หันมาบอก
พากันกัดฟันปั่นตะลุยทางทรายต่อไปอีกพักใหญ่
ในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทางคือผาหล่มสัก จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกยอดนิยมที่ฮิตถึงขนาดต้องเข้าคิวต่อแถวถ่ายภาพกันในช่วงเทศกาล
จำได้ว่ามาคราวแรกเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นจะมีพ่อค้าแม่ค้ามาปูเสื่อนั่งขายอาหาร
ขนมหวาน ซื้อแล้วก็นั่งยองๆ กินกันแถวนั้น ได้อารมณ์ไปอีกแบบ
มาคราวนี้มีเพิงขายอาหารเรียงรายเป็นแถว นึกเสียดายบรรยากาศเก่า ๆ เหมือนกัน
แวะกินข้าวปลาอาหารอิ่มหมีพีมันแล้วผมก็ลองเดินไปดูริมผา
ชะง่อนหินกับกิ่งสนระดับซูเปอร์สตาร์อันเป็นมุมยอดฮิตยังคงมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนไปถ่ายภาพด้วยไม่ขาดสาย
ท่าทางตอนพระอาทิตย์ตกนักท่องเที่ยวคงจะมากมายก่ายกอง
พวกเราก็เลยพยักพเยิดกันปั่นจักรยานย้อนกลับ เที่ยวนี้เป็นทางลาดยางลงสบายหน่อย แผล็บเดียวก็กลับมาถึงผานาน้อยที่เราออกมาตอนแรก
แต่เราไม่ย้อนกลับทางเก่าครับ
ปั่นตรงดิ่งเลยไปทางผาจำศีล ช่วงนี้ก็เป็นอุกจุดหนึ่งที่ทางเป็นทราย
ปั่นลำบากเหมือนกันครับ เล่นเอาหอบซี่โครงบานเหมือนกันครับ
แต่เห็นแสงแสดกำลังอ่อนลงเป็นสีทองผ่องอำพันก็เลยต้องรีบปั่นเป็นการใหญ่
กลัวไปดูพระอาทิตย์ตกไม่ทัน
มาถึงผาหมากดูกก็พอดีกันกับที่ดวงอาทิตย์กำลังเป็นดวงสีส้มกลมโตใกล้ลับขอบฟ้า
นักท่องเที่ยวไม่น้อยครับที่มารอส่งดวงตะวันกลับบ้าน
ดีที่พื้นที่ค่อนข้างกว้างขวางกว่าตรงผาหล่มสัก ก็เลยไม่แออัดยัดเยียดจนเกินไป
ยืนชม นั่งชม นอนชมแสงสุดท้ายของวันกันได้จบรายการก็ปั่นจักรยานกลับศูนย์
วังกวางตามทางเดิมเมื่อวานนี้แบบสบายๆ ไร้กังวล
ข้อดีที่เห็นได้ชัดของการท่องเที่ยวด้วยจักรยานก็คือ
ช่วยย่นระยะเวลาในการเที่ยวบนภูให้ลดลงได้ จากปกติที่ต้องประมาณ ๓ วัน พอมาขี่จักรยานเหลือแค่วันเดียวก็ยังไหว
เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่หยุดงานหลายๆ
วันไม่ได้ก็มีโอกาสมาเที่ยวภูกระดึงกับเขาบ้างละครับ
ส่วนคนที่มีเวลาเที่ยวได้หลายวันอยู่แล้วก็จะมีเวลาเลือกซึมซับบรรยากาศในจุดที่ชอบได้นานขึ้น
มากขึ้น
เป็นอันว่ามาภูกระดึงคราวนี้
นอกจากผมจะได้รำลึกความหลังดีๆ แล้ว ก็ยังได้มาเจอกับสิ่งใหม่ๆ
ที่ทำให้ยิ่งประทับใจในภูกระดึงมากยิ่งขึ้นไปอีก แม้กลับลงมาจะปวดเมื่อยขา
แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของความประทับใจ ดีกว่าขึ้นสบายลงสบายเพราะนั่งกระเช้า
แต่ไม่มีความประทับใจอะไรเลย
ยังดีนะ ที่ช่วงนี้ข่าวการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงชักจะเงียบๆ ไปแล้ว แต่ก็ไม่แน่ครับ
วันไม่ดีคืนดีเรื่องนี้อาจ “คัมแบ๊ก” กลับมาอีกก็ได้
ส่งท้ายนี้ก็เลยอยากจะเสนอไอเดียพวกนายทุนทั้งหลายที่อยากสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงนักหนา
ให้ลงขันหุ้นกันไปซื้อภูเขาสักลูก ตั้งชื่อว่าภูกระดุ๊กกระดุ๋ยอะไรก็ได้
(จะได้คล้ายๆ ภูกระดึงไง) ทีนี้อยากจะทำอะไรก็ทำ
สร้างรีสอร์ต น้ำตก ลำธาร สวนหย่อม อะไรต่อมิอะไร สร้างไปเลย ขนสารพัด
กิจกรรมอำนวยความสะดวกที่อยากให้มีผับ บาร์ คาราโอเกะ
ห้างสรรพสินค้าทั้งหลายขึ้นไปไว้บนนั้น รวมทั้งกระเช้าขึ้นภูที่อยากได้กันนัก
ก็สร้างเสียให้สาแก่ใจ สร้างให้รอบภูเลยก็ได้ ไม่มีใครว่า
ประเทศไทยเราก็จะได้มีแหล่งท่องเที่ยวแหล่งใหม่สำหรับพวกที่รักความสะดวกสบายขึ้นมาอีกแห่ง
เย้วกันได้เต็มที่
ภูกระดึงก็จะได้ปลอดภัยจากกระเช้าเสียที
ทำหน้าที่เป็นโรงเรียนสอนการท่องเที่ยวธรรมชาติให้คนรักการเดินทางรุ่นต่อๆ ไป
ผมเองก็จะได้กลับมารำลึกความหลังครั้งวันวานยังหวานอยู่ของผมได้เรื่อยๆ
ด้วย
ขอขอบคุณ คุณเทอดศักดิ์ ศรีทองคำ คุณพิกุล
ชูสกุล และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกคน ที่ได้อำนวยความสะดวกให้สารคดีเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
คู่มือนักเดินทาง
การเดินทางไปอุทยานแห่งชาติภูกระดึงสามารถไปได้หลายวิธี
ทางรถยนต์
เส้นทางแรก จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๑ พหลโยธิน ผ่านจังหวัดสระบุรี ตรงไปเข้าทางหลวงหมายเลข 21ผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์ เข้าสู่อำเภอหล่มสัก จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข ๑๒ หล่มสัก- ชุมแพ เลยอำเภอคอนสารไปจะพบทางแยกบ้านโนนหัน เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๒๐๑ โนนหัน-เลย ไปเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๒๐๑๙ ที่แยกอำเภอภูกระดึง ตรงไปตามทางประมาณ ๘ กิโลเมตรก็จะถึงที่ทำการอุทยานฯ
เส้นทางที่สอง จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๑ พหลโยธิน ไปเลี้ยวขวาที่จังหวัดสระบุรี
จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข ๒ ผ่านจังหวัดนครราชสีมา ตรงไปจนถึงจังหวัดขอนแก่น
เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๑๒ ผ่านอำเภอชุมแพ เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๒๐๑ ไปเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๒๐๑๙ ตรงไปตามทางประมาณ ๘ กิโลเมตรก็จะถึงที่ทำการอุทยานฯ
เยี่ยมมากครับ ผมเป็นอีกคนนึงที่รักภูกระดึงมาก ๆ ไปที่นี่ซ้ำ ๆ หลายรอบแต่ก็ไม่มีคำว่าเบื่อเลย
ตอบลบ