วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตะลอนอารยธรรมรอบโลกที่บริติชมิวเซียม กรุงลอนดอน

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร "สารใจ" 

          มันเป็นเหมือนกับความฝันครับ ฝันที่เป็นจริงเสียด้วย

          ตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ มาแล้ว ที่ผมชอบดูภาพของแหล่งอารยธรรมโบราณทั่วโลก นิตยสารต่วย ตูนฉบับพิเศษถือเป็นเล่มโปรด  เพราะในแต่ละฉบับจะมีทั้งภาพถ่ายและเรื่องราวจำพวกปิรามิดแห่งอียิปต์  นครโบราณของชาวมายัน  โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์  สุสานจักรพรรดิจิ๋นซี ปราสาทนครวัดนครธม ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรทำนองนี้ ให้ดูให้ชมอย่างเต็มอิ่ม บ่อยครั้งเลยเชียวแหละครับ ที่ผมดูภาพไปพลาง วาดฝันจินตนาการไปพลางว่าได้ไปเดินอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของบรรดาแหล่งอารยธรรมโบราณทั่วโลกเหล่านั้น

         ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าเมื่อเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ด้วยภารกิจการงานที่เกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวทำให้ผมได้มีโอกาสเดินทางไปสัมผัสกับแหล่งอารยธรรมโบราณตามที่ได้เคยฝันเอาไว้หลายต่อหลายแห่ง  ทว่ากระนั้น พูดตามตรงครับ การจะไปให้ครบทุกแห่งทั่วโลกนั้นคงไม่มีทางเป็นไปได้  เพราะแต่ละแห่งไม่ใช่ใกล้ ๆ  ต้องใช้เงินทองและเวลาไม่น้อย ถ้าไม่รวยระดับอภิมหาเศรษฐี และไม่มีเวลาว่างเหลือเฟือ (เพราะยังต้องทำมาหากิน) ละก็ ชาตินี้อย่าได้หวัง คงเป็นได้แค่ความฝันอยู่ดีนั่นแหละ


          แต่พอได้มาถึงที่บริติชมิวเซียมหรือพิพิธภัณฑ์อังกฤษ  กลางกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ผมก็รู้สึกได้ทันทีครับ ว่านี่มันคือความฝันที่เป็นความจริงชัดๆ ที่จะมีโอกาสชมอารยธรรมโบราณจากทั่วโลกได้ครบถ้วน เนื่องจากที่นี่รวบรวมโบราณวัตถุจากแหล่งอารยธรรมทั่วโลกมาไว้ด้วยกันในที่เดียว จนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมนุษยที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยขนาดใหญ่ติดอันดับ ๓ ของโลก เป็นรองก็แค่พิพิธภัณฑ์ลูฟท์ ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส  กับเมโทรโปลิแตนท์ มิวเซียม ออฟ อาร์ต ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เท่านั้น

         บริติช มิวเซียมก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๒๙๖ (ค.ศ. ๑๗๕๓ ) โดยเริ่มต้นจากบรรดาของสะสมส่วนตัวของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของอังกฤษ ท่านเซอร์ แฮนส์ สโลน (Hans Sloane) เปิดให้สาธารณชนเข้าชมเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๓๐๒ (ค.ศ. ๑๗๕๙) ในบริเวณมองตากูเฮาส์ เขตบลูมส์เบอร์รี กรุงลอนดอน อันเป็นสถานที่ตั้งของอาคารพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน  นับถึงวันนี้ก็นานถึง ๒๕๔ ปี แล้ว
อย่างที่บอกนั่นแหละครับ บริติชมิวเซียมรวบรวมโบราณวัตถุต่างๆ จากทุกทวีปทั่วโลก ประมาณได้ว่ามีจำนวนมากกว่า ๘  ล้านชิ้น เปรียบเสมือนบันทึกเรื่องราวของอารยธรรมมนุษย์ทั่วโลก จากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน นำมาจัดวางเรียงรายให้ชมอยู่ในห้องจัดแสดงที่มีอยู่ถึง ๙๕ ห้อง แต่เชื่อไหมครับ ว่าขนาดมีห้องแสดงเยอะอย่างนี้ โบราณวัตถุอีกมากกว่าครึ่งยังถูกใส่ลัง เก็บไว้ในห้องเก็บของชั้นใต้ดินของพิพิธภัณฑ์ เนื่องจากไม่มีเนื้อที่จัดแสดงเพียงพอ


เปิดให้เข้าชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเสียด้วยครับ ยกเว้นใครประทับใจ อยากบริจาคก็ไม่ว่ากัน มีถาดไว้ให้ใส่เงินตามกำลังศรัทธากลางโถงด้านหน้า เดินเข้าไปด้านในจะพบกับโถงใหญ่เรียกว่าท้องพระโรงสมเด็จพระบรมราชินีนาถอลิซาเบธที่ ๒  หลังคากระจกใส น่าตื่นตาด้วยโครงโลหะเป็นเส้นสาย ที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๔๓  (ค.ศ.๒๐๐๐) ครอบคลุมศูนย์หนังสือและร้านของที่ระลึกในอาคารทรงกลมกึ่งกลาง  โดยมีประติมากรรมหินอ่อนหนักถึง ๗ ตัน “สิงโตแห่งนีดอส" ที่เคยประดับไว้บนพีระมิดจากตุรกี ตั้งโชว์อยู่ฝั่งซ้าย   ในขณะที่ฝั่งขวามีประติมากรรมหินอ่อนสลัก "เจ้าชายบนหลังม้า" จากกรุงโรม ที่มีอายุในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑  ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่


เข้ามาปุ๊บ อันดับแรก ๆ ที่นึกถึงก็คือ อารยธรรมอียิปต์โบราณครับ ดูตามแผนผังในแผ่นพับ อยู่ชั้นล่างในห้องแสดงที่ ๔ ผมเดินตรงรี่เข้าไปก่อนเลยละครับ พอดีเขาจัดไว้เป็นห้องแรกพอดี (เหมือนจะรู้ใจนักท่องเที่ยว) เห็นแล้วก็ต้องตะลึงกับบรรดาโบราณวัตถุของอียิปต์ที่ตั้งวางเอาไว้ ในห้องโถงยาว แต่ละชิ้นมหึมาสูงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นประติมากรรมรามเซสที่ ๒ แกะสลักจากหินแกรนิตครึ่งตัว หนักกว่า ๗.๒๕ ตัน  ชิ้นส่วนประติมากรรมเศียรของฟาร์โรห์อาเมนโฮเทปที่ ๓ แกะสลักจากหินแกรนิตสีแดง รวมทั้งโรเซตตาสโตน ศิลาจารึกด้วยอักษรฮิโรกริฟฟิกของอียิปต์โบราณ ขนาดยักษ์สูงท่วมหัว

 มีบันทึกเอาไว้ว่าหลังจากนโปเลียนโบนาปาร์ต มหาราชชาวฝรั่งเศสบุกยึดอียิปต์ เมื่อปีค.ศ. ๑๘๐๑  โบราณวัตถุกว่าแสนชิ้นจากอียิปต์ถูกขนย้ายเข้ามาในยุโรป เชื่อได้เลยว่าส่วนหนึ่งต้องอยู่ในนี้แน่


ถัดจากอียิปต์  อารยธรรมตะวันออกกลางรออยู่ในห้องจัดแสดงที่ ๖- ๑๐ บนผนังจำลองเป็นกำแพงเมืองอัสสิเรีย พร้อมทั้งประติมากรรมหินมหึมาจำหลักเป็นรูปทวารบาลเฝ้าประตูขนาดยักษ์ หัวเป็นมนุษย์มีหนวดเครา ลำตัวเป็นสิงโต แถมมีปีกอีกต่างหาก ที่โดดเด่นน่าชมอีกชิ้นก็คือจิตรกรรมนูนต่ำบนผนังหินสมัยเมโสโปเตเมียซึ่งค้นพบนอกอิรักลวดลายที่จำหลักบนแผ่นหินไว้วิจิตรตระการตา เล่าถึงเรื่องราวการออกล่าสัตว์ของกษัตริย์หนุ่มที่ต้องต่อสู้กับสิงโตเจ้าป่า จัดตั้งเรียงรายสาดแสงไว้อย่างดีน่าดู



เดินเพลินเรื่อย ๆ ต่อจากห้องตะวันออกกลางทะลุเข้ามายังห้องอารยธรรมกรีก-โรมัน อย่างที่รู้กันครับ อารยธรรมนี้ยิ่งใหญ่มาก ก็เลยมีหลักฐานศิลปกรรมต่าง ๆ หลงเหลือให้ชมกันมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นประติมากรรมหินอ่อนสีขาวจำหลักเป็นรูปเทพเจ้าในเทพนิยาย และบุคคลสำคัญต่าง ๆ ทั้งชายและหญิง หลายขนาดตั้งแต่เล็กเหมือนตุ๊กตา ไปถึงใหญ่กว่าคนจริง ที่สำคัญไม่ค่อยจะนุ่งผ้านุ่งผ่อนกัน เพราะกรีก-โรมันถือว่าร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งสวยงาม โชว์กันเต็มที่ รู้สึกถึงความแตกต่างกับอารยธรรมก่อนหน้าได้ทันทีเมื่อเดินเข้ามาเลยละครับ


ไม่ใช่แค่ประติมากรรมบุคคลเท่านั้น ยังมีส่วนประกอบสถาปัตยกรรมต่าง ๆ  ที่ทำด้วยหินอ่อนไม่ว่าจะเป็น ภาพจำหลักประดับอาคาร เสาค้ำระเบียงวิหาร หรือแม้แต่ตัววิหารก็ยกมาโชว์กันอย่างเต็มพิกัด เล่นเอาตาลาย เลือกดูเลือกชม ที่สำคัญเลือกถ่ายภาพไม่ถูกเลย (พิพิธภัณฑ์ที่นี่เขาไม่ห้ามถ่ายภาพ แค่ห้ามใช้แฟลชเท่านั้น สวรรค์ของผู้รักศิลปะจริง ๆ ) จะถ่ายหมดทุกชิ้นก็ไม่ไหวเพราะเยอะมาก แค่กรีก-โรมันนี่ก็มีถึง ๑๔ ห้องจัดแสดง (รวมชั้นใต้ดินอีก ๒ ห้อง เป็นห้องสถาปัตยกรรมกรีกและจารึกคลาสสิคของกรีก)  ดูแล้วน่าจะเป็นอารยธรรมที่มีชิ้นงานศิลปกรรมให้ชมมากที่สุด


กลับออกมาเห็นคนแน่น ๆ อยู่ตรงทางเข้าด้านทิศเหนือ ผมเลยเดินตามเข้าไปดู ปรากฏว่าเป็นห้องนิทรรศการใหญ่ครับ จัดแสดงในหัวข้อ (Theme) เกี่ยวกับชีวิตกับความตาย (Living and Dying) น่าสนใจมาก เพราะว่าด้วยเรื่องประเพณีพิธีกรรม ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เกี่ยวกับการฝังศพ ไปจนถึงโครงกระดูก มัมมี่ ในอารยธรรมต่าง ๆ  น่าตื่นเต้น น่าสนใจ น่ากลัว ไปพร้อม ๆ กัน  (แต่ก็เห็นคนชอบดูกันมาก เวียนกันเข้ามาไม่ขาดสาย) จากห้องนี้มีบันไดลงไปห้องจัดแสดงอารยธรรมแอฟริกาชั้นใต้ดินด้านล่าง


 ผ่านเข้าไปห้องอารยธรรมอเมริกาที่แบ่งเป็นอเมริกาเหนือกับเม็กซิโก ซึ่งเป็นอารยธรรมของยุคชนเผ่าแบบอินเดียนแดง ตรงนี้อเมริกามีแต่ของชิ้นเล็ก ๆ อย่างหน้ากาก หมวกขนนก หัวลูกศร ฯลฯ  ดูไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอารยธรรมระดับบิ๊ก ๆ ทั้งหลายในห้องแสดงก่อน ๆ ที่ผ่านมา) ในขณะที่เม็กซิโกมีชิ้นใหญ่ ๆ น่าสนใจหลายชิ้น   



ออกจะผิดหวังเล็กน้อยครับสำหรับอารยธรรมเอเชีย เพราะไม่ค่อยมีอะไรอลังการงานสร้างให้ตื่นตาเหมือนพวกอียิปต์หรือกรีก-โรมันอย่างที่คาด ขนาดอารยธรรมใหญ่ ๆ อย่างจีน อินเดีย ยังมีชิ้นเด่น ๆ ไม่กี่ชิ้น เกาหลีก็ดูไม่มีอะไรเท่าไหร่ ขึ้นบันไดไปห้องญี่ปุ่น ค่อนข้างเงียบถึงวังเวง ไม่ค่อยมีใครสนใจ อาจเพราะไม่มีอะไรใหญ่ ๆ  ดึงดูด มีแต่จำพวกข้าวของเครื่องใช้ เกราะซามูไร ม้วนกระดาษ ภาพวาด ฯลฯ แถมอยู่ลึกลับเข้าถึงยากอีกต่างหาก


ในขณะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "อาเซียน" ของเราถูกจัดรวมไว้กับเอเชียใต้  ประเทศเพื่อนบ้านที่มีศิลปกรรมมากที่สุดคืออินโดนีเซีย  รองลงเป็นพม่าที่มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่  ส่วนของเวียดนามมี ประติมากรรมสมัยจามปาเป็นตัวชูโรง ไทยเราเองมีศิลปกรรมจากยุคสมัยต่างๆ ตั้งแต่สมัยทวารวดี สุโขทัย อู่ทอง อยุธยา มีทั้งเสมาหิน เครื่องปั้นดินเผา สถูปเจดีย์ พระพุทธรูป ๗ องค์ และเศียรพระพุทธรูปอีก ๗ เศียร เงินพดด้วงเหรียญตรากษาปณ์สมัยก่อน ดูแล้วเรียกว่าจิ๊บจ๊อย ไม่มากมาย แต่มองมุมกลับก็น่าดีใจครับที่มรดกทางวัฒนธรรมของไทยเราชิ้นเยี่ยม ๆ ยังอยู่ที่บ้านเมืองของเรา  ไม่ต้องลำบากบินมาชมต่างบ้านต่างเมือง


ขึ้นบันไดด้านเหนือไปชั้นบนถึงเห็นว่ายังมีห้องจัดแสดงอารยธรรมยอดนิยมอยู่บนนี้อีกส่วนหนึ่ง ทางพิพิธภัณฑ์คงต้องการลดความแออัด แยกให้ผู้เข้าชมไม่ไปกระจุกอยู่ฟากเดียวข้างล่าง ศิลปกรรมที่จัดแสดงข้างบนนี้ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปจากชั้นล่างเลย โดยในส่วนอารยธรรมอียิปต์โบราณ เป็นชิ้นสำคัญอีกด้วยนั่นก็คือมัมมี่ ตุ๊กตามัมมี่น้อยใหญ่ พร้อมกับหีบศพมัมมี่จำนวนมากมายมหาศาล เรียงรายกันอยู่ในห้อง  เรียกว่าเป็นขุมทรัพย์ของผู้นิยมอารยธรรมอียิปต์ก็ว่าได้ แน่นอนครับว่าห้องนี้ก็เนืองแน่นด้วยผู้คนอีกเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเด็ก ๆ  ครึกครื้นกันทีเดียว ทำให้บรรยากาศไม่ลึกลับวังเวงอย่างที่ควรจะเป็น


เช่นเดียวกันกับถัดห้องจัดแสดงถัดไปอารยธรรมตะวันออกกลาง แสดงโบราณวัตถุของอิหร่านโบราณ อาระเบียใต้ ตุรกีโบราณ  และเมโสโปเตเมีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิลาจำหลัก ลวดลายประดับโบราณสถาน หีบศพโบราณ ชิ้นไม่ใหญ่มาก ทว่าแต่ละชิ้นแปลกตาน่าสนใจทั้งนั้น บรรยายไม่ถูกเหมือนกันครับ เพราะละลานตา หลายชิ้นก็ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนแม้แต่ในรูปถ่าย


แน่นอนครับห้องจัดแสดงอีกห้องที่ขาดไม่ได้บนชั้นสองนี้ คืออารยธรรมกรีก-โรมันโบราณยังมีอีกส่วนหนึ่งอยู่ทางฟากตะวันตกของอาคาร ในขณะที่ฟากตะวันออกเป็นห้องจัดแสดงอารยธรรมยุโรปที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ ศิลปกรรมต่าง ๆ  ที่บอกเล่าความเป็นมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ของยุโรป   พัฒนาการมาจนถึงยุคศักดินาฟิวดัล ที่เป็นยุคของอัศวิน  จาระไนไม่หวาดไหวครับ ขาแข้งก็เริ่มอ่อนล้า เพราะกว่าเดินมาถึงตรงนี้ก็ใช้เวลาเกือบทั้งวัน

 

 ถือว่าคุ้มค่าแก่การมาเยี่ยมชมครับ สำหรับพิพิธภัณฑ์บริติชมิวเซียมแห่งนี้ โดยเฉพาะสำหรับผม อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตยังได้มีโอกาสได้เที่ยวชมอารยธรรมทั่วโลกได้สมความตั้งใจ แถมใช้เวลาแค่วันเดียว เรียกว่าคุ้มจนไม่รู้จะคุ้มยังไง มีโอกาสมาลอนดอนถือว่าไม่ควรพลาดโอกาสนี้ครับ

เฉินตู ไปเที่ยวดูประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม กับความเจริญ

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์…เรื่องและภาพ

ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. 



          
        ในเมืองไทยของเรามักจะรู้สึกกันว่าเรื่องราวเก่าๆ  อันเป็นมรดกของชาติ ไปด้วยกันไม่ได้กับความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมืองยุคใหม่  ในขณะที่หลายประเทศที่มีความเจริญในระดับมหาอำนาจกลับให้ความสำคัญกับประวัติความเป็นมา พยายามฟื้นฟูรักษาให้คงอยู่ควบคู่ไปกับความก้าวหน้าของบ้านเมืองได้อย่างเหมาะสมกลมกลืน ไม่ต้องดูที่ไหนไกลครับ เมืองจีนนี่แหละ แต่ละเมืองเขาเก็บรักษาอดีตอันทรงคุณค่าไว้เป็นอย่างดี ล่าสุดที่ผมได้ไปดูไปเห็นมาก็คือเมืองเฉิงตู ในโครงการแลกเปลี่ยนสื่อมวลชนระหว่างเมืองเฉิงตูกับประเทศไทย เพื่อส่งเสริมทางด้านการท่องเที่ยวซึ่งกันและกัน


เฉิงตูมีฐานะเป็นเมืองหลวงของมณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นหนึ่งในดาวรุ่งทางเศรษฐกิจดวงใหม่ จากแต่เดิมเคยที่เป็นมณฑลชนบท ทำนาและเลี้ยงหมูมากที่สุดของประเทศจีน ทว่าตอนนี้กลับเป็นแหล่งอุตสาหกรรมทันสมัย ส่วนหนึ่งที่ทำให้เจริญเร็วก็เพราะว่ามณฑลเสฉวนมีประชากรถึง ๘๐ ล้านคนเป็นขุมกำลังสำคัญทางเศรษฐกิจ 

           แค่เฉพาะในเมืองเฉิงตูประชากรก็ปาเข้าไป ๑๑ ล้านคนแล้ว จัดเป็นมหานครที่มีประชากรมากเป็นอันดับ ๔ ของจีน รองจากปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และฉงชิ่ง ในตัวเมืองเต็มไปด้วยตึกระฟ้าอย่างมหานครทั่วไป แต่ก็สัมผัสได้ถึงนโยบายในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพราะในเมืองเขาไม่ให้ใช้มอเตอร์ไซค์จึงไร้มลภาวะทางเสียงและควันพิษ ตามถนนหนทางผู้คนส่วนใหญ่สัญจรโดยใช้จักรยาน จักรยานไฟฟ้า สกูตเตอร์ไฟฟ้ากันขวักไขว่ 


            ช่วงที่ผมไปมีงานเทศกาลผลไม้ไทยพอดี โดยททท.ร่วมกับกรมส่งเสริมการส่งออกและเทศบาลเมืองเฉิงตูจัดขึ้นที่บริเวณถนนหงชิ่ง ย่านช็อปปิงสำคัญของเมือง ออกบูธจำหน่ายผลไม้ไทยนานาชนิดและอาหารไทยทั้งแบบสดและสำเร็จรูปอย่างง่าย ๆ  ททท.ยังจัดเวทีการแสดงนาฏศิลป์ไทยเอาไว้เรียกความสนใจจากชาวเมืองเฉิงตูด้วย ซึ่งก็ได้ผล คนมุงกันแน่น ช่วงเย็นไกด์พาคณะไปลองชิมอาหารจีนแบบเสฉวน หลายชนิดหน้าตารสชาติคล้ายอาหารบ้านเรา  มิน่าเล่า คนเสฉวนไม่น้อยถึงชอบอาหารไทย 


เมืองเฉิงตูมีแหล่งโบราณคดีมหึมา เรียกกันว่าเมืองโบราณจินชา นครหลวงโบราณของแคว้นฉู่ อายุประมาณ ๓,๑๐๐ ปี (รุ่นใกล้เคียงบ้านเชียงของไทยเรา) ลงทุนมโหฬารขุดแต่งจัดสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์หลุมขุดค้นทางโบราณคดีจินชา  เพิ่งเสร็จหมาด ๆ กำหนดเปิดในวันที่คณะของเราไปพอดี ก็เลยได้ไปร่วมงานพิธีเปิดอย่างเป็นทางการกับเขาด้วย 



ภายในแบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนแรกคืออาคารขนาดใหญ่สร้างครอบทับหลุมขุดค้นเอาไว้ภายใน อีกส่วนหนึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดค้นได้ ชิ้นที่ถือเป็นมาสเตอร์พีซ ก็คือแผ่นโลหะกลมรูปนกพระอาทิตย์ทองคำ ซึ่งทางการจีนเอามาใช้เป็นสัญลักษณ์ของมรดกจีนติดเอาไว้ตามโบราณสถานต่าง ๆ


            ที่ทำได้น่าสนใจก็คือการนำเอาเรื่องราวเมืองจินชามานำเสนอให้นักท่องเที่ยวได้ชมในลักษณะของละครเวทีจินตลีลาประกอบการแสดงแสงสีเสียงอันอลังการในโรงละครสุดหรูกลางเมือง ถือเป็นโปรแกรมแนะนำของเทศบาลนครเฉิงตูที่ใครไปใครมาก็ต้องมาชม ขนาดคณะผู้กำกับภาพยนต์จากฮอลลีวู้ดก็ยังมานั่งดูพร้อมกับคณะของเราในค่ำวันก่อนไปร่วมพิธีเปิด ดีตรงดูแล้วก็ช่วยให้มีข้อมูลพื้นฐานอยู่บ้าง พอไปเห็นของจริงก็รู้สึกสนุกขึ้น   


           ยังมีการแสดงอีกอย่างเป็นทีเด็ดของเสฉวนที่เราได้ดูในคืนถัดมาคือโชว์เปลี่ยนหน้ากาก นักแสดงในชุดโบราณจะเปลี่ยนหน้ากากที่สวมไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว แสดงร่วมกับการเชิดหุ่นละครเล็ก กายกรรมจำอวด และการเล่นกับเงา  


             สภาพแวดล้อมที่รักษาให้กลมกลืนก็เป็นอีกอย่างที่โดดเด่น แหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในใจกลางเมืองอย่างศาลเจ้าอู่โหวที่ฝังศพของเล่าปี่และขงเบ้ง เมื่อเราเดินเข้าไปภายในยังให้บรรยากาศคล้ายกับย้อนยุคไปในสมัยโบราณ ถนนจิงลี่ ถนนคนเดินที่กลางวันเป็นร้านขายของที่ระลึก กลางคืนเป็นแหล่งบันเทิง ซึ่งอยู่ใกล้กันยังต้องสร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโบราณเพื่อไม่ให้ขัดกัน





         กิจกรรมบางอย่างก็ช่วยส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวได้มาก เช่นที่คณะเราได้เห็นเมื่อไปเยี่ยมชมเขื่อนตูเจียงเอี้ยน ที่มีประวัติว่าสร้างขึ้นเพื่อป้องกันน้ำหลากจากแม่น้ำหมิงเจียง โดยขุนนางท้องถิ่นชื่อหลี่ปิงเป็นผู้ดำเนินการ ใช้เวลากว่า ๒๔ ปี ลำพังตัวเขื่อนแม้จะเก่าแก่อายุถึง ๒๒๖๐ ปีและสร้างด้วยแรงงานคนล้วน ๆ แถมเป็นแหล่งมรดกโลก แต่หากมองดูเผิน ๆ ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ เขาเลยจัดให้มีพิธีปล่อยน้ำออกจากเขื่อน เลียนแบบพิธีกรรมในสมัยโบราณอย่างยิ่งใหญ่ วันละ ๒ รอบ  ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวพากันมารอดูรอชมได้ไม่น้อย



            ที่ชิงเฉิงซาน อารามในลัทธิเต๋า ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงนำความเจริญมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมกลมกลืน ด้วยการสร้างกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปยังศาลเจ้าซึ่งอยู่บนยอดเขาสูงชันลิบลิ่วซึ่งหากเดินขึ้นต้องใช้เวลาเป็นวัน เมื่อนั่งกระเช้าก็ประหยัดเวลาในการเดิน มีเวลาที่จะท่องเที่ยวได้มากขึ้น แถมกระเช้ากลายเป็นจุดขายอีกอย่างหนึ่งด้วย เพราะเส้นทางกระเช้าผ่านขึ้นไปเหนือผืนป่าทำให้มองเห็นทิวทัศน์สวยงามกว้างไกล  


ภัตตาคารร้านอาหารต่าง ๆ เองก็มีส่วนช่วยในเรื่องการสร้างบรรยากาศ เวลาคณะของเราไปกินอาหารตามภัตตาคารก็สังเกตเห็นว่าแต่ละแห่งตกแต่งไปในในทางเดียวกัน คือเน้นจุดเด่นของท้องถิ่นอันได้แก่แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม  บางร้านทำพื้นร้านเป็นห้องกระจกจำลองเมืองโบราณเป็นขนาดเล็กไว้ให้เห็นด้านล่าง บางร้านตกแต่งให้เหมือนพิพิธภัณฑ์  บางร้านทำสภาพให้เมืองภัตตาคารย้อนยุค เรียกว่าประชันไอเดียกันเต็มที่ ลูกค้าที่มาเห็นอย่างนี้จะอดใจยังไงไหว



             เฉิงตูยังมีศูนย์เพาะเลี้ยงขยายพันธุ์แพนดาใครไปใครมาก็อดไม่ได้หรอกครับที่จะต้องมาดู เพราะที่เฉิงตูนี่ถือเป็นแหล่งแพนดาใหญ่ที่สุดในเมืองจีน คณะของเรายังแวะไปดูเลยในวันสุดท้าย ถือเป็นของแถมไป 

             เหนือสิ่งอื่นใดรายได้จากการท่องเที่ยวของเฉิงตูส่วนใหญ่มาจากคนจีนด้วยกันเอง ทั้งจากในมณฑลเสฉวน และมณฑลอื่นทั่วเมืองจีน ไม่ต้องง้อนักท่องเที่ยวชาติไหน ๆ ถ้าคนไทยเราเอาอย่างเขาในข้อนี้ได้ ท่องเที่ยวไทยเราคงเฟื่องฟูขึ้นอีกจมเลยละครับ


วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปฏิบัติการ ๑๐๙๖ เทียวผจญถนนสนุก

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์เรื่องและภาพ

ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท.ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑๑ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๐


                    ๑๐๙๖ นี่แหละใช่เลย
                     
                   ไม่ได้บอกใบ้ทีเด็ดเลขท้าย ๔ ตัวให้เอาไปซื้อล็อตเตอรี่นาครับ  ที่ผมพูดถึงนี่คือหมายเลขทางหลวงสายหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทอดยาวจากอำเภอแม่ริมลดเลี้ยวไปตามทิวเขาอันสลับซับซ้อนไปจนกระทั่งถึงอำเภอสะเมิงต่างหาก  
                
                    แอบหมายตาเอาไว้นานเป็นปีแล้วครับ ตั้งแต่เมื่อครั้งมาขับรถเที่ยวบนเส้นทางหางดง-สะเมิงซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นถนนสายดอกไม้ สายรีสอร์ต คราวนั้นผมขับรถกลับจากอำเภอสะเมิงตามถนนสาย ๑๐๙๖ มายังอำเภอแม่ริม ย้อนเข้าเชียงใหม่เป็นสายวงรอบ แล้วก็ต้องตาโตเมื่อได้เห็นว่าช่วงต้นของถนนเล็ก ๆ สายนี้สองฟากฝั่งเรียงรายไปด้วยกิจกรรมท่องเที่ยวสนุก ๆ เต็มไปหมด ล้วนแล้วแต่น่าเล่นไปเสียทุกอย่าง ทั้งรถบักกี้ รถATV ขี่ช้าง ขี่ม้า ฯลฯ  สารพัด จาระไนไม่หวาดไหว จะว่าเหมือนสวนสนุกก็คงไม่ได้ เพราะดูยังไงก็ไม่เหมือนสวน แต่เป็นถนนทั้งสายลดเลี้ยวตามลาดไหล่เขา  
                 
                    เรียกว่า ถนนสนุกคงจะเหมาะกว่า

                   หลังจากนั้นมาเชียงใหม่ก็ได้แต่ผ่านไปผ่านมาอีกหลายต่อหลายหน เห็นทีไรให้นึกอยากลงไปเล่นทุกที แต่ยังไม่มีจังหวะสักครั้ง เพิ่งมาได้โอกาสเอาก็คราวนี้แหละครับ เพราะเป็นฉบับกิจกรรมกลางแจ้ง ออกแนวตื่นเต้นผจญภัย ผมก็เลยไม่พลาด ตรงแน่วมาขอผจญสนุกให้ชุ่มปอดเสียหน่อย สาสมกับที่รอคอยมานาน 
  

                    หลังจากขับรถเทียวไปเทียวมา ลาดตระเวนหาข้อมูล ผมก็ตกลงใจที่จะประเดิมกิจกรรมบนเส้นทางสายสนุกนี้ด้วยการนั่งช้างเป็นอันดับแรก  เนื่องจากช้างเป็นสัตว์ที่เป็นเสมือนเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเชียงใหม่  บังเอิญเหลือเกินที่ปางช้างโป่งแยง ก็เป็นแหล่งกิจกรรมที่อยู่ลึกสุดของถนนสายนี้พอดี คืออยู่ตรงกิโลเมตรที่ ๑๘   เลี้ยวขวาเข้าซอยไปอีกประมาณ ๓ กิโล ฯ ก็เห็นที่ทำการปางช้างตั้งเด่นเป็นสง่า พร้อมช้าง ๒-๓ เชือกยืนโยกเยกหลบแดดที่แผดจ้ายามสายอยู่ในร่มเงาของแมกไม้ ไกลออกไปเป็นทิวเขาสลับซับซ้อนสุดสายตา เรียกว่าบรรยากาศเป็นธรรมชาติใช้ได้เลยละครับ

                   “นั่งช้างนี่เรามีให้เลือก ๒ แบบคือ แบบ ๑ ชั่วโมง ราคา ๑,๒๐๐ บาท  ไปน้ำตก ๑ แห่ง กับ ๒ ชั่วโมง ๒,๔๐๐บาท ไปน้ำตก ๒ แห่งเจ้าหน้าที่หนุ่มหน้าสวยหลังเคาน์เตอร์แจงรายละเอียดให้

                     แทบไม่ต้องคิด ผมเลือกแพ็กเกจแรกครับ ด้วยเหตุผลคือรู้สึกว่าน้ำตกเดียวกับ ๒ น้ำตกไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเพราะเป็นน้ำตกเหมือนกัน (ถ้าเป็นลาบหรือส้มตำก็ว่าไปอย่าง) ที่สำคัญคือไม่อยากนั่งบนหลังช้างนานจนเกินไป  เดี๋ยวจะเมาช้าง (ถึงจะไม่ใช่เบียร์ช้างก็เถอะแถมบนเส้นทางยังมีอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างรอให้ไปดูไปชมอีกมาก แค่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว 
                    
                    จ่ายเงินเสร็จสรรพผมก็รับบัตรไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ก่อนขึ้นบันไดเกยปีนขึ้นไปนั่งบนกูบหลังช้าง ไถ่ถามได้ความว่าชื่อพังคำมูน อายุ ๓๕ ปี (ถามจากควาญน่ะครับ ไม่ได้ถามช้าง) ตั้งหลักคล้องเชือกกันตกเรียบร้อยดีแล้วควาญก็บังคับคำมูนให้ออกเดินโย่งเย่งไปตามทางดิน ข้ามลำห้วย ลัดเลาะขึ้น ๆ ลง ๆ  รอบข้างเขียวขจีด้วยแมกไม้ มองไปอีกฟากหนึ่งเห็นทิวเขาทอดตัวยาว มีบ้านพักรีสอร์ตเรียงราย แลเห็นแปลงผักผลไม้คลุมด้วยพลาสติกใสเป็นแนวลดหลั่นมาตามลาดเขา  



                    
                     ความสนุกตื่นเต้นอยู่ตรงที่ได้นั่งโอนเอนยวบยาบไปตามจังหวะการย่างก้าวของช้างครับ นั่งทีไรก็ยังระทึกใจทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนขึ้นหรือลงเนินชัน ๆ งี้ ลุ้นจนตัวโก่งเชียวละ เพราะอดคิดไม่ได้ว่าเกิดเจ้าประคุณรุนช้างลื่นตีลังกากลิ้งลงมาละก็ มีหวังแบนแต๊ดแต๋เป็นกล้วยปิ้งแน่  แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นช้างลื่นหกล้มเลยสักครั้ง ยิ่งทางเดินเป็นประจำทุกวันอย่างนี้คงไม่พลาดหรอกน่า      
                               
                     สักพักทางก็พาลัดตัดลงสู่หุบ ได้ยินเสียงซู่ซ่าของน้ำตกกังสดาลดังอยู่ข้างหน้า สายน้ำสีขาวสะอาดตาที่หลั่งไหลผ่านผาหินนี้อยู่ในบริเวณของรีสอร์ต สวยดีเหมือนกัน คำมูนดูจะดีใจกว่าใครตรงดิ่งเข้าไปเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน เล่นไม่เล่นเปล่าเอางวงดูดน้ำมาทำท่าจะพ่นขึ้นมาบนหลัง ทำเอาผมร้องเสียงหลง  ยังดีที่ควาญทำเสียงดุห้ามไว้ทัน คำมูนเลยหันไปพ่นใส่พุงตัวเองคลายร้อนแทน (เฮ้อ ...เกือบไปแล้วไหมล่ะ)

                     เล่นน้ำจนสะใจ (ช้าง) แล้วก็ได้เวลาย้อนกลับครับ ทีเด็ดมาอยู่ตอนนี้เอง เพราะขากลับทางขึ้นเป็นถนนดินเล็ก ๆ เลียบผา แถมชันดิก ขนาดคำมูนเดินขึ้นไปได้ทีละก้าวสองก้าวก็ต้องหยุดพักหายใจ ผมเหลือบมองลงไปข้างล่างเสียวไส้อย่าบอกใคร ต้องหันไปไถ่ถามประวัติความเป็นมาของควาญช้างเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากความสูง  
                
                    “ผมชื่ออาร์ตครับ ควาญหนุ่มวัยรุ่นตอบ ขี่ช้างนี่หัดมาตั้งแต่เด็ก เพราะบ้านเพื่อนมีช้าง หัดเอง ขี่ตอนแรกสั่งช้างได้แค่ไปกับหยุดเท่านั้นว่าแล้วหัวเราะชอบใจ

                     ยังดีนะ ถ้าสั่งได้แค่ไปอย่างเดียว หยุดไม่ได้นี่คงยุ่งพิลึก

                    “ ช้างต้องอายุ ๓ ขวบ  ถึงจะแยกจากแม่เอามาฝึก ช้างที่ดื้อมาก ๆ ต้องคนมีคาถาถึงจะบังคับได้ คนมีอาคมนี่เขาเสกคาถาเป่าช้างทีเดียวก็เราเข้าไปขี่ได้แล้ว ยิ่งบางคนเขามีช้างน้ำ จะบังคับช้างที่ดุ ๆ หรือช้างตกมันได้

                 “ช้างน้ำนี่ใช่ฮิปโปรึเปล่า ผมถาม เพราะจำได้ว่าฮิปโปก็มีคนเรียกว่าช้างน้ำเหมือนกัน   
              
                 “ไม่ใช่ครับ ช้างน้ำมันจะหน้าตาเหมือนช้าง มีงวงมีงา แต่ว่าตัวเล็กนิดเดียวเท่านิ้วก้อย มันจะอาศัยอยู่ตามแม่น้ำ พวกหมอช้างที่มีคาถาอาคมนี่ถ้าเขารู้ว่าอยู่แถวไหนเขาจะไปเอา ไปร่ายคาถาแล้วก็ใช้ปลีกล้วยโยนลงไป งาของช้างน้ำนี่มันมีพิษนะ ถ้าคนโดนแทงก็ตาย ต้องให้มันแทงปลีกล้วย  พอช้างน้ำมันขึ้นมาแทงปลีกล้วย ก็จะจับมันได้ มีแล้วก็จะควบคุมช้างได้ เพราะช้างจะกลัว เมื่อก่อนปู่ผมก็มี แต่ผมไม่เคยเห็นหรอกนะ   
               
                    คุยเรื่องช้างน้ำยังไม่ทันจบก็พอดีคำมูนพาเดินกลับมาส่งที่เกย เป็นอันครบรอบหนึ่งชั่วโมงพอดี ไม่น่าเชื่อเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ลงมาตรงข้างหน้าสำนักงานเห็นว่ามีกล้วยมีอ้อยขาย เลยซื้อให้คำมูนกินเสียหน่อย ถือว่าเป็นการ ทิปในฐานะที่เดินดีไม่พากลิ้งลงเขา



                   ยังติดใจช้างอยู่ ผมก็เลยขับรถต่อลงมายังปางช้างแม่สา ชมการแสดงของช้างต่อเสียเลย  ตามประวัติเขาว่าปางช้างแห่งนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ..๒๕๑๙ โน่น โดยคุณชูชาติ กัลมาพิจิตร ซึ่งเป็นเจ้าของช้างเลี้ยงกว่า ๗๐ เชือก  นับถึงวันนี้ก็กว่า ๓๐ ปีแล้ว มาทีไรก็เห็นว่ายังคงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศมาเข้าชมกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ผมเองยังมาตั้งหลายที ดูแล้วดูอีกสนุกดีไม่มีเบื่อ

                   แค่เข้ามานั่งเล่นข้างในบริเวณปางช้างก็คุ้มแล้วละครับ เพราะรอบข้างร่มรื่นเย็นสบายด้วยร่มเงาไม้ นั่งรอที่ศาลาริมน้ำกินลมชมวิวเย็น ๆ ใจ  พักเดียวควาญก็พาช้างมาอาบน้ำในลำห้วยข้าง ๆ ศาลา อันเป็นต้นน้ำที่ไหลลงไปยังน้ำตกแม่สา ควาญช้างช่วยวักน้ำสาดให้ บ้างก็ช่วยถูงวงถูงาให้  ถูกใจผู้ชมเป็นพิเศษเห็นจะเป็นลูกช้างตัวน้อย ๆ ๒-๓ เชือก ลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน น่าเอ็นดู พ่นน้ำใส่กันบ้าง กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันบ้างล้มคว่ำคะมำหงายกันอยู่ในน้ำ

                   เสร็จสรงช้างทั้งโขลงก็พากันทยอยขึ้นจากน้ำมายื่นหน้ารับรางวัลกล้วย อ้อย จากผู้ชมซึ่งแน่นขนัดอยู่บนระเบียงศาลาริมน้ำ ก่อนจะเดินเรียงแถวนำหน้าพาขึ้นไปยังเวทีการแสดงที่เป็นลานดินกว้างล้อมรอบด้วยศาลาสำหรับนั่งชมภายใต้ร่มเงาของหมู่ไม้

                   ความหรรษาเริ่มจากการแสดงความสามารถของช้างที่มีให้ดูหลากหลายรูปแบบ เริ่มจากง่าย ๆ อย่างยกขาส่งควาญขึ้นขี่คอ ก่อนจะมาถอดหมวกใส่หมวกให้ควาญ เอางวงประสานกันเป็นชิงช้าให้ควาญนั่ง ฯลฯ แต่ละอย่างล้วนแล้วแต่เรียกเสียงเฮฮาจากผู้ชมได้ไม่น้อย ด้วยลีลาแสนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ช้างเดินเรียงแถวหน้ากระดานกันออกมาพร้อมเป่าเมาท์ออร์แกนไปด้วย  คนดูปรบมือกันสนั่น      
           
                  ทว่าที่สร้างความฮือฮาได้มากที่สุดก็คือช้างเตะฟุตบอลครับ ไม่ถึงขนาดจัดให้มี ๒ ทีมแข่งกันเหมือนอย่างงานช้างที่สุรินทร์ แต่เป็นการยิงลูกโทษ ผลัดกันเป็นผู้รักษาประตู ผลัดกันเตะ  ตื่นเต้นเร้าใจด้วยพลังเตะอันหนักหน่วงเสียงดังฟังชัด ตุ้บทีลูกบอลลูกใหญ่กระเด็นไปไกล ช้างบางเชือกไม่ยิงธรรมดา มีการสับขาหลอกเสียด้วย ยังกับคริสเตียนโน โรนัลโด ของทีมปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแน่ะ แถมแจ๋วกว่าตรงที่หลอกด้วยขาหน้า แต่ยิงด้วยขาหลัง ถึงไม่เข้าประตู แต่ลีลากินขาดชนะใจคนดู รับเสียงปรบมือไปแบบเต็ม ๆ

                  นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วม  ด้วยการขออาสาสมัครปาลูกดอกใส่ลูกโป่งที่แขวนอยู่บนราวแข่งกับช้างตัวน้อย ปากันไปปากันมา ปรากฏว่านักท่องเที่ยวหนุ่มฝรั่งที่อาสาลงไปปาแม่นกว่า ทำเอาเจ้าช้างน้อยโมโหครับ ที่ปาสู้ไม่ได้ ใช้งวงคว้าลูกดอกปราดเข้าไปจิ้มลูกโป่งบนราวแตกหมด ก่อนเดินตุปัดตุป่องจากไป เล่นเอาผู้ชมหัวเราะกันงอหาย  
                 
                 ปิดท้ายรายการด้วยการให้ช้างแสดงกรรมวิธีการชักลากไม้แบบในสมัยเมื่อหลายสิบปีก่อนที่เชียงใหม่ยังมีการทำไม้อยู่ ให้เห็นถึงการใช้ช้างหลาย ๆ เชือกในการทำงานร่วมกัน ยกท่อนซุง วางเรียงท่อนซุง  เสร็จแล้วจึงเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ให้อาหารเป็นรางวัลและถ่ายภาพกับช้างเป็นที่ระลึก ก่อนจะพากันกลับออกมาด้วยความสนุกสุขใจ

                    ทั้งนั่งทั้งดูช้างตัวใหญ่ ๆ มาแล้ว รายการต่อไปผมก็เลยต้องหาอะไรที่ตัวยาว ๆ ดูบ้าง เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ  ก็พอดีถัดลงมาจากปางช้างไม่ไกลเห็นมีฟาร์มงูแม่ริมอยู่ริมทางข้างซ้ายมือพอดี  ภายในฟาร์มมีสารพัดสารพันบรรดางูพันธุ์ต่าง ๆ ทั้งที่มีพิษและไม่มีพิษภายใต้บรรยากาศธรรมชาติให้ชม
                    ดูเฉย ๆ คงจะไม่ตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่ครับ เขาก็เลยจัดให้มีนักแสดงโชว์ร่วมกับงูพิษชนิดต่าง ๆ  ให้ต้องทึ่ง  สั่งให้งูหลับตาลืมตาก็ได้ แถมยังมีการรีดพิษงูเห่าโชว์เสียอีกด้วย   อย่างเราให้จับงูเฉย ๆ ก็ไม่อยากแล้ว เอามาพันแขนพันคอนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย บรื๋อ อ อ แต่นี่เขาให้นักแสดงลงไปปล้ำจับงูเหลือมตัวมหึมาในน้ำ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ยังไง งูเหลือมขนาดนี้ผมเคยดูในหนังสารคดี ขนาดกวางป่าตัวใหญ่เบ้อเริ่ม มันยังรัดเสียกระดูกนิ่มตาย ดูแล้วก็ให้หวาดเสียวแทน แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี



                    ตื่นเต้นมามากแล้วก็ต้องหาอะไรเบา ๆ ผ่อนคลายอารมณ์ ออกมาจากฟาร์มงู เห็นโรงเรียนลิงแม่ริมอยู่ไม่ไกล ก็เลยแวะเข้าไปดูเสียหน่อย

                    ดูเล่น ๆ ก็เพลินดีเหมือนกันครับ ว่ากันตั้งแต่ขั้นตอนการฝึกลิงเก็บมะพร้าวอย่างละเอียดให้เห็นทีละขั้น ตั้งแต่ฝึกบิดมะพร้าวก่อน  จากนั้นก็ค่อยฝึกให้ขึ้นไปเก็บมะพร้าวจากบนต้นมะพร้าว แล้วก็ฝึกให้ปอกมะพร้าวเป็นอันดับสุดท้าย ทุกขั้นตอนเจ้าจ๋อก็ทำได้คล่องแคล่วว่องไวยังกับลิง (ก็ลิงนี่นะ)
เสร็จจากแสดงการทำงานแล้ว ก็เริ่มการแสดงความสามารถพิเศษกัน 

                   คราวนี้แหละครับ ฮากันตรึม กับหน้าตาท่าทางเด๋อด๋าของเจ้าจ๋อขณะปั่นจักรยานไปรอบ ๆ ลานการแสดง  สักพักก็มาโชว์ลีลาตีลังกาชูตลูกบาสเข้าแป้นอย่างทะมัดทะแมง ลีลาไม่แพ้ไมเคิล จอร์แดนเลยทีเดียวละครับ  

                   แต่ที่หลายคนพิศวงสงสัยไม่น่าเชื่อว่าลิงจะทำได้  ก็คือการบวกลบเลข โดยเขาให้ผู้ชมเป็นคนเลือกแผ่นป้ายตัวเลข ๒ ตัวจากที่วางเรียงอยู่เป็นแถวตั้งแต่ ๑ ถึง ๑๐  แล้วให้เจ้าจ๋อไปหยิบแผ่นป้ายตัวเลขที่เป็นคำตอบมาให้ หยิบทีไรก็ถูกทุกที หัวแหลมจริง ๆ เป็นหัวลิงเชียว (ดีนะแค่บวกลบ นี่ถ้าลิงดันถอดสแควร์รูทได้เชื่อว่าหลายคนคงต้องอายลิงแน่)

                   เท่านั้นยังไม่พอ คนฝึกหยิบเหรียญบาทโยนลงบ่อ แล้วบอกให้เจ้าจ๋อลงไปเก็บ เจ้าจ๋อก็ตีลังกาอบอุ่นร่างกายเสียสองสามรอบ ก่อนจะโดดตูมลงน้ำ ดำบุ๋ง ๆ พักเดียวก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับเหรียญในมือ  เรียกเสียงปรบมือจากรอบข้างได้อย่างกึกก้อง

                   อะไรจะเก่งกาจขนาดนี้ ทำได้ทุกอย่างตั้งแต่เก็บมะพร้าวยันดำน้ำ

                   ปิดท้ายการแสดงของลูกหลานหนุมานด้วยการให้ถ่ายภาพคู่กับลิงซูเปอร์สตาร์ โดยให้ผู้ชมไปนั่งเก้าอี้บนเวทีแล้วเอาผ้าแดงปูบนตัก เจ้าจ๋อก็จะมานั่งบนผ้าอย่างว่าง่าย มีเงื่อนไขอย่างเดียวว่าเวลาลิงมานั่งแล้ว ห้ามจับตัวลิง (กลัวลิงจั๊กจี้หรือไงก็ไม่รู้) แน่นอนครับ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเยือนโรงเรียนลิงไม่ค่อยยอมพลาด เรื่องถ่ายรูปกับลิงนี่ (ผมยังมีกับเขารูปนึงเลย ไม่อยากจะคุย)



                   ออกจากโรงเรียนลิงมาเหลือบไปเห็นป้ายสวนสัตว์แมลงสยามอยู่ถัดจากโรงเรียนลิงเข้าไปข้างใน ก็เลยลองขับรถเลยเข้าไปดูเสียหน่อย แล้วก็ไม่ผิดหวังครับกับสิ่งที่ได้พบเห็น เพราะว่าเป็นพิพิธภัณฑ์แมลงชั้นดี บนเนื้อที่เกือบ ๒ ไร่ ภายในอาคารชั้นเดียวจัดแสดงแมลงสตัฟฟ์เอาไว้เป็นพันชนิดเชียวละ  มีทั้งที่หายากและหาง่าย 

                   ที่แน่ ๆ แต่ละชนิดล้วนแล้วแต่มีรูปร่างและสีสันแปลกตาน่าดูน่าชมไปเสียทั้งนั้น ขนาดผมไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับแมลงเท่าไหร่ก็ยังเดินดูเล่น ๆ เพลินไปเหมือนกันทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งในผลงานการสะสมของคุณพิสุทธิ์ เอกอำนวย  ผู้เชี่ยวชาญด้านกีฏวิทยาซึ่งมีผลงานหนังสืออ้างอิงเกี่ยวกับแมลงหลายเล่มครับ สอบถามกับคุณสุทธา เอกอำนวย ซึ่งเป็นลูกชาย และทำหน้าที่ดูแลอยู่ ก็ได้ความว่าเพิ่งเปิดให้ชมมาได้ไม่กี่เดือน คือตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคมปี ๒๕๔๙ ที่ผ่านมานี้เอง 

                   ที่สำคัญไม่ได้มีเฉพาะแมลงที่สตัฟฟ์เอาไว้ ด้านหลังอาคารยังทำเป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงผีเสื้ออีกด้วยมีอยู่หลายชนิด บรรยากาศเป็นธรรมชาติด้วยพรรณไม้ที่เป็นอาหารของผีเสื้อ เที่ยวชมได้ไม่มีเบื่อครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบแมลงไม่ควรพลาด  เข้ามาหน่อยไม่เสียหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงร้อน ๆ ตอนเที่ยง ๆ บ่าย ๆ เข้ามาชมแมลงอะไรต่อมิอะไร เป็นการหลบแดดไปในตัว ถือว่าเหมาะมาก

                   พอแดดร่มลมตกผมก็แวะเข้าไปลองใช้บริการขี่ม้าท่องไพรดูครับ  ที่นี่เขามีม้าไว้ให้บริการเช่าขี่ มีทั้งสำหรับระดับมืออาชีพที่ขี่เก่งแล้วไปจนกระทั่งมือใหม่หัดขี่ พวกเก่ง ๆ ระดับโปรแล้วจะให้ขี่เอง มีไกด์ขี่ม้านำทางไป เที่ยวชมนกชมไม้ชมวิวทิวทัศน์อะไรต่อมิอะไร

                   อย่างผมจัดอยู่ในประเภทมือใหม่แกะกล่องครับ เคยแต่แอ็กชั่นขี่ม้าถ่ายภาพที่หัวหินเท่านั้น จะให้ขี่ไปเที่ยวไหนต่อไหนเองคงไม่ไหว ก็เลยต้องลองเล่นในแบบเด็ก ๆ ไปก่อน นั่นก็คือให้พนักงานจูงม้าพาไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ โดยมีระยะเวลาว่าจะเป็นครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง แล้วแต่จะตกลงกัน 

                   เส้นทางที่ผมไปนี่เป็นถนนลัดเลาะขึ้นไปบนเนิน แลเห็นทิวทัศน์งดงามของเทือกเขาที่ทอดตัวยาวสลับซับซ้อนสุดสายตานั่งโยกเยกไปมาพร้อมกับเสียงกุบกับยามม้าเยื้องย่างไปช่างได้บรรยากาศ ยิ่งในแสงทองของยามเย็นแบบนี้ด้วยแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะสมมติตัวเองเป็นฮีโร่โคบาลกำลังขี่ม้าขาวผจญภัยในท้องทุ่ง

                   ลำบากอยู่หน่อยก็ตรงที่ต้องพยายามเชิดหน้าให้สูง ๆ ทำเป็นมองไม่เห็นคนจูงเท่านั้นแหละ  แหะ แหะ



                   กิโลเมตรต้น ๆ ของถนนสายนี้ยังมีบริการกิจกรรมประเภทยานยนต์และกิจกรรมแนวแอ็กชันผาดโผนให้เลือกลองเล่นได้หลายชนิดครับ แต่ละเจ้าตกแต่งหน้าร้านเอาไว้อย่างน่าสนใจ เรียกว่าเห็นป้ายก็มันแล้วว่างั้นผมเลือกที่จะเริ่มประเดิมด้วยรถATV เพราะคุ้นเคยกับพาหนะจอมลุยชนิดนี้ดีกว่าอย่างอื่น  และสนามฝึกซ้อมของสปอร์ต เอ็กซ์ ชาเลนจ์ ก็ดูเหมาะเจาะสำหรับการอุ่นเครื่องกิจกรรมแนวแอ็คชั่นของผมในคราวนี้ เพราะในบริเวณดูร่มรื่น ขณะเดียวกันก็มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง จัดสร้างวางเนินกระโดด ทางคดโค้ง และอุปสรรคกีดขวางเอาไว้ได้อย่างสวยงามลงตัว น่าสนุก

                   “บรืน….บรืน”

                    เสียงเครื่องยนต์ของรถATV ดังกระหึ่มเร้าใจเมื่อผมขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับแล้วบิดคันเร่ง ทะยานไปตามเส้นทางวิบากในสนาม  กระเด้งกระดอนไปกับหลุมบ่อ เลี้ยวลดไปตามทางคดเคี้ยว พุ่งผ่านขึ้นไปบนสะพานขอนไม้สูง ตีวงจนฝุ่นกระจาย ก่อนจะกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ ผ่านเนินลูกระนาด ๓ เนินรวด ทิ้งโค้งเข้าสู่จุดเริ่มต้นใหม่ รอบแล้วรอบเล่า มันอย่าบอกใคร

                     ความตื่นเต้นระทึกใจของการขับขี่ทำให้เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว

                     ความจริงแล้วบนเส้นทางสายนี้เขามีบริการ ATV ท่องเที่ยวบนทางวิบากแบบไปกลับวันเดียวด้วยครับ แต่ผมนั้นเคยขี่ ATV เที่ยวมาแล้วก็เลยรู้สึกว่าไม่ค่อยน่าตื่นเต้นเท่าไหร่  มาคราวนี้ก็เลยกะว่าแค่ขี่เล่น ๆ ในสนามฝึกก็สนุกพอแล้ว ถือว่าเป็นพระรองไป




                    นั่นก็เพราะมีอีกพาหนะหนึ่งที่ผมหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ให้เป็นพระเอก นั่นก็คือรถบั๊กกี้ 

                    ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ดุดันกับสีสันที่เร้าใจ ชวนให้จินตนาการถึงความมันในยามขับขี่ไปบนทางวิบาก

                    ผมแวะเข้าไปที่ เอ็กซ์ เซ็นเตอร์ ที่เห็นว่ามีรถบักกี้จอดเรียงรายอยู่หลายคัน

                     “นั่นโกคาร์ตครับ” เจ้าหน้าที่บอกกับผมเมื่อเห็นผมสนใจพาหนะคันเล็กที่จอดอยู่ด้านหน้า  หน้าตาที่ดูคล้าย ๆ รถแข่งในสวนสนุกทำให้นึกไปถึงตอนยังเด็ก ลืมเรื่องรถบั๊กกี้ไปชั่วคราว เกิดอยากรำลึกความหลังครั้งเก่าสมัยขับรถแข่งในสวนสนุกขึ้นมา ยิ่งออกไปชะโงกดูสนามโกคาร์ตแล้วน่าขับมาก  เป็นทางเรียบแบบสนามขับรถแข่ง ตั้งอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์ขุนเขาสลับซับซ้อนงดงาม ผมก็เลยอดใจไม่ได้ต้องขอลองดูสักครั้ง

                     ปรากฏว่าเป็นคนละเรื่องกับความหลังครับ เพราะความเร็วความแรงของโกคาร์ตนั้นเฟี้ยวฟ้าวเร้าใจเหนือกว่ารถแข่งในสวนสนุกเยอะแยะ ยิ่งขับในทางคดเคี้ยวเลี้ยวไปเลี้ยวมาอย่างนี้ยิ่งสนุกเหลือหลาย ถือว่าเป็นอีกความมันที่ไม่ควรพลาดก็ว่าได้

                     สนุกกับโกคาร์ตจนเป็นที่พอใจแล้วถึงได้หันมาหารถบั๊กกี้ พระเอกที่หมายตาเอาไว้อีกครั้ง

                     “เราจะมีไกด์ขับนำทางไปให้ครับ เป็นทางออฟโรด” เจ้าหน้าที่ชี้ให้ดูแผนที่บนผนัง “อยากหยุดถ่ายภาพอะไรตรงไหนกดแตรบอกไกด์ก็จะหยุดให้” 

                     ว่าพลางส่งเครื่องแต่งตัวมาให้ผม ท่าทางจะลุยไม่ใช่เล่นเหมือนกัน เพราะมีอุปกรณ์ป้องกันครบครันตั้งแต่หมวกกันน็อก แว่นกันกระแทก ผ้าปิดจมูก และชุดหมีแบบที่ช่างทาสีใส่

                “เอาไว้ป้องกันฝุ่นน่ะครับ ทางมันฝุ่นเยอะ” ไกด์หนุ่มบอก พอเห็นผมสวมใส่อุปกรณ์ทั้งหลายแหล่เสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินนำหน้าพาไปที่รถบั๊กกี้สีสันสดใส  แนะนำให้รู้จักกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ของรถ ช่วยรัดเข็มขัดให้ผมติดกับที่นั่งอย่างมั่นคง แล้วกลับไปยังรถของตัวเอง ติดเครื่องแล่นนำหน้าออกไปยังถนนใหญ่  ผมก็ติดเครื่องบ้างแล่นตามหลังไปติด ๆ

            แยกซ้ายเข้าสู่ถนนสายเล็ก พักเดียวถนนเรียบก็กลายเป็นถนนลูกรังที่ลัดเลาะขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตามทางเล็ก ๆ แคบ ๆ ไต่เนินเขาสูงบ้างต่ำบ้าง




                  ผิวถนนตะปุ่มตะป่ำทำให้รถโขยกเขยกกระเด้งกระดอน ได้อารมณ์วิบากอย่างแท้จริง แต่ไม่ว่าทางจะขรุขระหรือชันขนาดไหนก็ดูเหมือนพาหนะจอมอึดชนิดนี้จะไม่แสดงอาการอืดอาดหรือทำท่าว่าจะผ่านไปไม่ได้แม้แต่น้อย เหยียบคันเร่งทีไรรถก็ยังคงพุ่งทะยานไปข้างหน้าฝ่าพันทุกอุปสรรค
มีปัญหาอยู่หน่อยก็คือผมยังไม่คุ้นกับการขับพวงมาลัยซ้าย ทำให้รถคอยจะเบียดเข้าไปด้านขวา สะดุดโน่นสะดุดนี่ดังตึงตังอยู่ตลอดเวลา

                “โครม” ล้อข้างขวาของรถผมกระแทกหินเสียงดังสนั่น จนพวงมาลัยสะบัดอย่างแรงจนหลุดมือ โชคดีที่ผมเคยเรียนรู้การจับพวงมาลัยในการขับรถแบบออฟโรด ไม่สอดมือเข้าไปด้านในพวงมาลัย ก็เลยไม่เป็นไร  ไม่งั้นมีหวังได้โดนก้านพวงมาลัยตีมือหักนิ้วหักกันบ้าง

            ทางเริ่มบีบแคบเข้ามาและเป็นทางขึ้นเขาสูงชัน รอบข้างเป็นผืนป่าเขียวร่มครึ้ม ยิ่งขับก็ยิ่งมันครับ ไม่ต้องทำอะไรมากนอกจากจับพวงมาลัยให้มั่น เหยียบคันเร่งให้รถกระโดดกระเด้งมุ่งฝ่าไปตามทางข้างหน้า

            หลังจากแล่นคดโค้งผ่านป่าไผ่ที่มีร่องรอยของไฟป่า รถก็ตะบึงผ่านสันเขาสูงแลเห็นทิวทัศน์ของทิวเทือกเขาเป็นเงาสีน้ำเงินในม่านหมอกอยู่ลิบ ๆ ก่อนจะดิ่งลงสู่หุบเขาเบื้องล่างอีกครั้ง
ผ่านลำธารเล็ก ๆ ไปรถของไกด์ก็ชิดซ้ายเข้าจอดริมทาง  ผมก็เลยจอดบ้าง

                “สุดทางแล้วครับ จากตรงนี้เดี๋ยวเราก็ขับย้อนกลับทางเดิม” ไกด์เดินมาบอกพลางส่งขวดน้ำเย็นให้  ผมหยุดพักจิบน้ำเย็นกินลมชมวิวพลางนึกเสียดาย เวลาของความสนุกนี่ทำไมรู้สึกว่าสั้นทุกที  ยิ่งขากลับนี่รู้สึกว่าแว๊บเดียวก็มาถึงเสียแล้ว

                 ระหว่างเดินเกร่ไปเกร่มาเป็นการพักให้หายเหนื่อย ก็ได้เห็นว่านอกจากรถโกคาร์ตและATV ที่เอ็กซ์ เซ็นเตอร์นี่เขายังมีบริการเพ้นต์บอลด้วย เสียดายที่มาคนเดียวไม่รู้จะไปเล่นกับใคร

                 “สนใจบันจีจัมป์ไหมล่ะครับ” เจ้าหน้าที่หลังเคาน์เตอร์ถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมสนใจอยู่กับภาพในแผ่นพับ ไม่ถามเปล่าเปิดวีซีดีให้ดูเป็นตัวอย่างอีกต่างหาก

                  บันจีจัมป์ที่นี่เขาทำเป็นเครนสูง มีลิฟท์พาลูกค้าขึ้นไป เท่าที่เห็นมีทั้งนักท่องเที่ยวผู้หญิงและผู้ชาย ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งกระโดดกันเป็นว่าเล่น  ที่น่าตื่นเต้นก็คือมีเด็กกระโดดด้วย ๒ คน  แถมไม่กระโดดธรรมดาแต่เกาะขาพ่อคนละข้างลงมา โอ้ พระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก

                   “ก็มีบางคนเหมือนกันที่ขึ้นไปแล้วเปลี่ยนใจ ไม่กล้า ไม่กระโดดก็ได้ แต่เราไม่คืนเงินให้นะ” เจ้าหน้าที่ว่า  

                     คงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมกระโดดหรือไม่กระโดดอย่างไร เพราะนั่นคงไม่ใช่เรื่องสำคัญ (อยากรู้ต้องมาโดดเอง มันกว่า)

                      ที่ควรสนใจก็คือหมายเลข ๑๐๙๖  รหัสแห่งปฏิบัติการความสนุก ที่หากมาเยือนเชียงใหม่เมื่อไหร่ไม่ควรพลาดที่จะมาสนุกกับหลากหลายกิจกรรมบนเส้นทางสายนี้

                        ย้ำอีกทีครับ ๑๐๙๖ ไม่ใช่เลขเด็ด ไม่ว่างวดไหน แต่ถ้าใครเอาเลขนี้ไปซื้อล็อตเตอรี่แล้วเกิดถูกรางวัล ก็อย่าลืมแบ่งผมมั่งก็แล้วกัน แฮ่ม  

    



คู่มือนักเดินทาง        

ทางหลวงหมายเลข ๑๐๙๖ อยู่ทางทิศเหนือของเชียงใหม่ ออกจากตัวเมืองไปตามทางที่ไปอำเภอแม่ริม บนเส้นทางสายนี้มีกิจกรรมท่องเที่ยวมากมายให้เลืกสรรความสนุกปางช้างโป่งแยง ตั้งอยู่บริเวณ กิโลเมตรที่ ๑๘ บริการขี่ช้างชมทิวทัศน์ อัตราค่าบริการ ๑ ชั่วโมง ๑,๒๐๐ บาท ๒ ชั่วโมง ๒,๔๐๐ บาท เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐๑๒.๐๐ นาฬิกา    โทรศัพท์ ๐ ๕๓๘๗ ๙๐๙๓-๔ โทรสาร ๐ ๕๓๘๗ ๙๐๙๒

ปางช้างแม่สา ตั้งอยู่ที่ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เปิดให้ชมการแสดงของช้างทุกวัน วันละ ๓ รอบ ๐๘.๐๐ ,๐๙.๔๐ และ ๑๓.๓๐ นาฬิกา ค่าบัตรเข้าชม ๒๐๐ บาท  โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๐ ๖๒๔๗ -๘   เว็บไซต์ www.maesaelephantcamp.com

โรงเรียนลิง ตั้งอยู่ที่ เลขที่ ๒๙๕ หมู่ ๑ ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ๕๐๑๘๐ เปิดให้ชมการแสดงของลิงตลอดทั้งวัน ตั้งแต่ ๐๙.๐๐๑๔.๑๕ นาฬิกา โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๘๘๑๘ ๐ โทรสาร ๐ ๕๓๘๖ ๐๕๔๗

สวนสัตว์แมลงสยาม ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๔ เลขที่ ๒๓/๔ หมู่ ๑๑ ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ในซอยน้ำตกแม่สา ๖ (ซอยโรงเรียนลิง) เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐๑๗.๐๐นาฬิกา ค่าเข้าชม ชาวไทย ๔๐ บาท ชาวต่างประเทศ ๑๐๐ บาท โทรศัพท์ ๐๘ ๔๙๓๗ ๑๑๒๑  เว็บไซต์www.malaeng.com

ขี่ม้าท่องไพร ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๔ ตรงข้ามสวนบัวแม่สาออคิด ให้บริการขี่ม้าท่องเที่ยวชมธรรมชาติ ค่าบริการครึ่งชั่วโมง ๔๕๐ บาท ๑ ชั่วโมง ๙๐๐ บาท  เปิดให้บริการตั้งแต่ ๐๘.๐๐ -๑๖.๐๐ นาฬิกา โทรศัพท์ ๐๘ ๑๕๙๕ ๗๑๑๓

ฟาร์มงูแม่ริม เปิดให้ชมการแสดงของงูทุกวัน ตั้งแต่ ๑๐.๐๐๑๖.๐๐ นาฬิกา โทรศัพท์ ๐ ๕๐๒๙ ๑๙๐๗ 

AIV เชียงใหม่ทัวร์  ตั้งอยู่เลขที่ ๗๗/-๖ หมู่ ๑ ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ๕๐๑๘๐ ให้บริการรถ ATV ท่องเที่ยว โปรแกรมทัวร์ ๑  (-๓ ชั่วโมง ระยะทาง ๔๒ กิโลเมตร) ค่าบริการ ๑,๙๕๐ บาท โปรแกรมทัวร์ ๒ (ออฟโรดเต็มวันค่าบริการ ๔,๙๕๐ บาท โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๐๑๕๓ และ ๐๘ ๙๙๕๐ ๒๒๗๙ เว็บไซต์ www.atv-chiangmai-tours.com

Jungle Bungy Jump เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ ๐๙.๐๐ -๑๔.๐๐ นาฬิกา อัตราค่าบริการครั้งละ ๑,๕๐๐บาท โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๗๗๐๐ และ ๐๘ ๑๘๘๕ ๑๙๑๒  เว็บไซต์ www.junglebungy.com

The origonal Monkey Centre  เปิดแสดงวันละ ๖ รอบ ค่าเข้าชม ๒๐๐ บาท โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๙๔๑๔ โทรสาร ๐ ๕๓๒๙ ๗๗๐๐ เว็บไซต์ www.monkeycentre.com

Sport X Chiangmai challenge ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๓  เลขที่ ๖๔/๑ ตำบลริมใต้ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ให้บริการรถATV และรถบักกี ค่าบริการ ๒,๐๐๐บาท ผู้โดยสาร ๑,๔๐๐ บาท  โทรศัพท์ ๐ ๕๓๘๖ ๐๔๓๕ และ ๐๘ ๙๑๙๑ ๗๖๙๖

สนามยิงปืนแม่ริม ให้บริการปืนหลากชนิดพร้อมสนามยิงปืนและครูฝึกคอยดูแล ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๒ เลยฟาร์มงูแม่สาไป ๑๐๐ เมตร  เปิดให้บริการตั้งแต่ ๐๙.๐๐๑๖.๐๐ นาฬิกา โทรศัพท์ ๐ ๕๓๑๑ ๒๓๘๓ และ ๐๘ ๑๕๙๕ ๗๑๑๓

X Centre ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๓ ตรงข้ามฟาร์มงูแม่สา เลขที่ ๒๖๓ หมู่ ๑ ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ๕๐๑๘๐ ให้บริการ รถ ATV รถบักกี ๑ ชั่วโมง ๒,๐๐๐บาท ผู้โดยสาร ๑,๐๐๐บาท  ๒ ชั่วโมง ๓,๐๐๐บาท ผู้โดยสาร ๑,๕๐๐ บาท โกคาร์ท ๑๐ นาที ๖๐๐บาท  และเพนต์บอล กระสุน ๕๐ นัดพร้อมอุปกรณ์ ๖๐๐ บาท  โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๗๗๐๐ เว็บไซต์ www.chiangmai-xcentre.com