วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ควบบ๊กกี้ สี่ล้อมหาสนุกบุกแม่ริม

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. 


ทุกวันนี้ดูเหมือนช่วงเวลาที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผมไปเสียแล้วครับ  (จะว่าไปคงไม่ใช่ผมคนเดียวหรอก คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ก็คงจะคล้าย ๆ กันนี่แหละ)

นับตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยมาแล้วที่ผมต้องนั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถวันละประมาณ ๔ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ขับรถไปกลับระหว่างบ้านกับมหาวิทยาลัย เรียกว่าโตบนรถก็ว่าได้ มาถึงวันนี้ก็ยังต้องนั่งอยู่หลังพวงมาลัยอยู่ แต่เปลี่ยนเป็นไปกลับระหว่างบ้านกับที่ทำงานแทน (ต้องบอกว่าแก่บนรถแล้วละกระมัง)

แรกขับรถใหม่ ๆ ก็ตื่นเต้นดี อยู่ ไม่มีปัญหาอะไร สนุกไปเสียอีก เพราะกำลังบ้าเห่อ ทว่าพอนานเข้า หลายปีผ่านไปชักเริ่มไม่ไหวครับ ต้องหันไปฟังวิทยุบ้าง ฟังเทปบ้าง บางครั้งก็เปลี่ยนเอารถคลาสสิคคันเก่งมาขับเปลี่ยนบรรยากาศ ล่าสุดนี่ผมเพิ่งซื้อโทรศัพท์มือถือที่ดูโทรทัศน์ได้ ก็พอจะช่วยให้แก้เบื่อกับชีวิตหลังพวงมาลัยไปในแต่ละวัน

แต่ก็มีอยู่บ้างครับ กับช่วงเวลาหลังพวงมาลัยที่ไม่ธรรมดา


 อุ่นเครื่อง
             
              ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่  ผมพบว่าการนั่งอยู่หลังพวงมาลัยก็เป็นความสนุกสนานได้เหมือนกัน เพียงแต่ต้องเป็นพวงมาลัยของรถบั๊กกี ยานยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสำหรับการผจญภัยบนเส้นทางวิบากเท่านั้น              
              
              ทำไมถึงเรียกพาหนะชนิดนี้ว่าบั๊กกีผมเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เท่าที่เห็นนี่เดาว่าอาจจะเป็นเพราะตัวรถที่รูปร่างออกไปทางเตี้ยป้อม ไฟหน้าเหมือนตาโต มองเผิน ๆ ดูเหมือนแมลงปีกแข็ง             
               
               ผมเองติดใจรถชนิดนี้มาตั้งแต่ครั้งก่อน เมื่อปีกลาย มาทำสารคดีกิจกรรมท่องเที่ยวผจญภัยบนถนนสายสนุก ก็คือทางหลวงหมายเลข ๑๐๙๖ ตรงอำเภอแม่ริมนี่แหละครับ ได้ลองขับเป็นครั้งแรก หลังจากที่เคยเห็นแต่ในหนังการ์ตูนเรื่องโดราเอมอน ตอนผจญภัยอะไรสักอย่างที่เคยดูสมัยเด็ก โอ้โห สนุกอย่าบอกใครเชียวละ             
                
                ความมันอยู่ตรงที่พาหนะจอมลุยชนิดนี้สามารถพาเราฝ่าฟันทางขรุขระทุรกันดารสารพัดรูปแบบ ไปได้ทุกสถานที่ ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงห้วย ทางจะเละจะลื่นยังไงไม่หวั่น เสียดายที่คราวนั้นผมต้องแบ่งเวลาให้กับอีกหลาย ๆ กิจกรรมสนุกที่มีอยู่มากมาย ทำให้ได้ลองขับเที่ยวแค่เส้นทางระยะสั้น แต่อย่างน้อยก็ได้บุกบั่นขึ้นไปถึงจุดชมทิวทัศน์บนสันเขาสูง เป็นที่ประทับใจถึงขนาดผมน่ะหมายมั่นปั้นมือจะกลับมาขับบั๊กกีอย่างเดียวแบบเฉพาะกิจให้หนำใจ หายอยากกันไปข้างนึงละครับ
             
              นั่นคือเหตุผลที่ในวันนี้ผมมายืนพินิจพิจารณาเลือกรถบั๊กกี้หลากสีสันสวยอยู่ในบริเวณศูนย์รวมกิจกรรมท่องเที่ยวผจญภัยเอ็กเซ็นเตอร์ ในเครื่องแบบของทางศูนย์ ฯ ที่เตรียมไว้ให้ลุยแบบเต็มยศ ทั้งหมวกกันน็อค แว่นกันลม ชุดหมีที่มองดูให้ดีก็คล้าย ๆ นักบิน (แต่ก็ดูคล้ายช่างทาสีเหมือนกันแฮะ) 

             รถบั๊กกีตรงหน้า มีทั้งสีแดง สีเขียว สีส้ม สวยสะดุดตา ทำให้ผมมีความรู้สึกเหมือนเด็กได้เข้าร้านของเล่นยังไงยังงั้น            
             
              “รถที่เราให้บริการนักท่องเที่ยว เป็นบั๊กกีขนาดเล็ก นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ยี่ห้อจอยเนอร์ (Joyner)  รุ่นแซนด์ไวเปอร์ (Sand viper) เครื่องยนต์ ๒๕๐ ซีซี  คันใหญ่กว่านี่เป็นรุ่นแซนด์สไปเดอร์ เครื่องยนต์ ๖๕๐ ซีซี แต่จะให้สำหรับมัคคุเทศก์ที่เป็นคนขับนำทางใช้  

              เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ แนะนำให้รู้จักกับรถ ก่อนจะให้ผมเข้าไปนั่งประจำที่หลังพวงมาลัย พร้อมกับรัดเข็มขัด แล้วเริ่มแจกแจงอุปกรณ์ต่าง ๆ บนแผงหน้าปัดให้ฟัง ว่าอะไรเป็นอะไร             


             “ข้างพวงมาลัยนี่เป็นไฟเลี้ยวซ้ายขวา ปุ่มนี้เป็นแตร ถ้ามีอะไรขัดข้องหรืออยากหยุดถ่ายภาพตรงไหนก็กดแตรเรียกมัคคุเทศก์คันหน้าให้หยุดได้ครับ  ปุ่มนี้เป็นปุ่มสตาร์ทเครื่อง อีกปุ่มเป็นสวิตช์พัดลมหม้อน้ำ ถ้าปิดปุ่มนี้เครื่องก็จะดับ…              
          
             ขอเตือนว่าต้องตั้งใจฟังให้ดีนะครับ เพราะผมเองตอนเขาอธิบายเผลอใจลอยไปหน่อย พอขับไปจริง ๆ ปรากฏว่าเหลือบไปเห็นไฟแดงรูปหม้อน้ำสว่างขึ้นมา ขับไปกลุ้มใจไป กลัวเครื่องจะเกิดโอเวอร์ฮีต  จะกดแตรเรียกมัคคุเทศก์คันข้างหน้ามาถามว่าอะไรเป็นอะไรก็เกรงใจ เพราะว่าเขาเพิ่งบอกไปหยก ๆ ดันไม่ฟังเอง  กว่าจะมารู้ทีหลังว่าไฟมันต้องขึ้นอย่างนั้นอยู่แล้ว เป็นการแสดงว่าพัดลมหม้อน้ำทำงาน เล่นเอาเครียดอยู่ตั้งนาน      
         
              แนะนำตรวจสอบความเรียบร้อยให้กับลูกทัวร์เสร็จสรรพ เจ้าหน้าที่ของศูนย์ซึ่งทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ก็กระโดดขึ้นรถบั๊กกีคันหน้า ขับออกนำขบวนรถซึ่งเที่ยวนี้เป็นโปรแกรมเส้นทาง ๒ ชั่วโมง นอกจากผมแล้วก็ยังมีนักท่องเที่ยวฝรั่งสองสามีภรรยาวัยกลางคนร่วมขบวนไปด้วยอีกคัน รวมเป็น ๓ คัน แล่นตาม ๆ กันออกไปบนถนน     
             
                 ไกด์คันหน้าส่งสัญญานมือให้ขับชิดซ้ายจะได้ไม่เกะกะยวดยานที่สัญจรไปมา มุ่งหน้าไปตามถนนลาดยางทางหลวงหมายเลข ๑๐๙๖  ที่ทอดตัวยาวขึ้นไปตามความสูงของภูเขาสู่อำเภอสะเมิง บนเส้นทางที่เราแล่นไปผ่านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญไม่ว่าจะเป็น น้ำตกแม่สา ปางช้างแม่สา และสวนพฤกษศาสตร์สิริกิติ์ ท่ามกลางร่มเงาไม้และสายลมเย็นที่พัดผ่านโครงรถเปิดโล่งเข้ามาปะทะใบหน้า 

                ช่วงแรกนี่ขับแบบสบาย ๆ ครับ เพราะเป็นถนนลาดยางอย่างดี ระยะทางยาวพอสมควร ลดเลี้ยวขึ้นเขาสูงชันไปเรื่อย ๆ  แต่ก็เป็นเส้นทางปกติ ยังไม่มีอะไรลำบากยากเย็น ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาการอุ่นเครื่อง ให้นักท่องเที่ยวได้ค่อย ๆ ทำความคุ้นเคยกับคันเร่ง เบรก และการควบคุมรถที่เป็นพวงมาลัยซ้าย ก่อนจะไปเข้าสู่เส้นทางสมบุกสมบันกันจริง ๆ ข้างหน้า


 บุกบั่นเส้นทางธรรมชาติขุนเขา

                 ขบวนบั๊กกีพากันตีวงเลี้ยวซ้ายผ่านเข้าไปทางบ้านแม่สาใหม่ เส้นทางถนนลาดยางตัด ลัดเข้าไปในหมู่บ้านที่ตั้งลดหลั่นกันลงมาตามลาดไหล่เขา บริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของโครงการเกษตรแม่สาใหม่  รถแล่นไปนี่ก็จะแลเห็นว่าตามแนวเขามีแปลงปลูกพืชผักผลไม้เมืองหนาว คลุมด้วยพลาสติกเรียงรายกันอยู่ทั่วไป  บรรยากาศเย็นสบาย
                
                 มัคคุเทศก์หยุดรถ ส่งสัญญานมือให้เปลี่ยนเกียร์จากเกียร์สูง เป็นเกียร์ต่ำ นักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ ก็จอดรถทำตามอย่างว่าง่าย 
                 
                เกียร์ของรถบั๊กกีนั้นไม่ได้มีอะไรมากมายครับ มีแค่เกียร์สูง(H) สำหรับวิ่งด้วยความเร็วสูงบนทางเรียบ เกียร์ต่ำ(L) สำหรับวิ่งบนเส้นทางวิบากที่ต้อ้งใช้กำลังขับเคลื่อน เกียร์ว่าง (P) สำหรับจอด แล้วก็เกียร์ถอยหลัง (R) สำหรับถอยหลังเวลากลับรถ เรียกว่าใส่เกียร์แล้วก็แทบจะไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันอีกละครับ นอกจากเหยียบคันเร่งให้รถแล่นลุยไปข้างหน้าสถานเดียว ขับง่าย ไม่มีอะไรยากเย็น

                แล่นต่อไปอีกครู่เดียวจากทางลาดยางเรียบก็กลายสภาพเป็นทางดินลูกรัง เลียบไปตามริมผาสูง ตัดลัดเลาะเข้าไปในป่าไผ่ที่ร่มครึ้มเขียว ตื่นเต้นระทึกใจนิด ๆ กับการแล่นข้ามสะพานขอนไม้ ผ่านธารน้ำสายเล็ก ๆ  ก่อนจะค่อย ๆ เรียงแถวไต่ขึ้นไปตามไหล่เขาอันสูงชัน                

            
               ถึงตรงนี้ชักจะเริ่มมันครับ เพราะเริ่มรู้สึกได้ถึงสมรรถนะของรถที่แตกต่างกับตอนแล่นบนถนนเรียบอย่างชัดเจน จากสัมผัสที่สั่นสะเทือนและแข็งกระด้างด้วยดอกยางขนาดใหญ่บดลงบนทางลาดยาง พอมาอยู่บนถนนลูกรังขรุขระกลับกลายเป็นความนุ่มนวลแสนสบายอย่างไม่น่าเชื่อ                 

              แม้ว่าทางข้างหน้าจะสูงชัน คดโค้งขึ้น ๆ ลง ๆ แถมยังตะปุ่มตะป่ำด้วยหินผุดโผล่และหลุมเล็กหลุมใหญ่ เจ้าบั๊กกี้คันเก่งก็พลิ้วผ่านไปได้  ล้อทั้งสี่ที่หมุน ๆ หยุด ๆ อย่างเป็นอิสระจากกัน ตามจังหวะที่รถตะกุยตะกายแล่นลุยไป แลดูคล้ายกำลังเริงระบำอยู่บนทางวิบากจริง ๆ                   

              ที่ควรระวังสำหรับการขับรถบนทางแบบนี้ก็คือควรจับพวงมาลัยที่ขอบด้านนอกเท่านั้น ไม่สอดมือเข้าไปด้านในอย่างเด็ดขาด เพราะในกรณีที่ล้อรถไปกระแทกเข้ากับหินก้อนใหญ่ ๆ ที่โผล่อยู่บนพื้นผิวทาง พวงมาลัยจะสะบัดอย่างแรงมาก หากเอาเมือสอดเข้าไปก้านพวงมาลัยจะฟาดมือ ถึงขนาดมือหัก นิ้วหักได้                      

               ชาวคณะบั๊กกีเราพลิดเพลินกับการหมุนพวงมาลัยลดเลี้ยวผ่านแนวไม้ครึ้มเขียว ไต่ความสูงขึ้นไปตามทางดินลูกรังเลาะไหล่เขา โค้งแล้วโค้งเล่า ขับไปพลางเหลือบชมทิวทัศน์ความเขียวขจีไปพลาง สูดอากาศอันบริสุทธิ์จากผืนป่าเข้าไปจนเต็มปอดอีกพักใหญ่ก็ไปถึงลานกว้างกลางป่าสนสูงชะลูดและร่มครึ้มริมหน้าผาอันเป็นจุดชมทิวทัศน์ มัคคุเทศก์เลี้ยวปราดเข้าไปจอดใต้ร่มไม้พลางส่งสัญญานให้สมาชิกจอดรถตามอัธยาศัย ลงมาพักดื่มน้ำ ผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการทอดสายตาออกไปยังผืนป่าอันเขียวขจีปกคลุมเทือกดอยอันสลับซับซ้อนกว้างไกลสุดสายตา มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แทรกตัวอยู่ประปราย


                  กำลังถ่ายภาพเพลิน ๆ นักท่องเที่ยวฝรั่งสองสามีภรรยาเดินยิ้มเข้ามาชี้ไม้ชี้มือให้ผมส่งกล้องในมือมา แล้วไปยืนคู่กับรถบั๊กกีมีทิวทัศน์อันสวยงามของขุนเขาเป็นฉากหลัง ก่อนจะกดชัตเตอร์ให้ ผมก็เลยบอกฝรั่งทั้งสองส่งกล้องมาบ้าง จะถ่ายให้เป็นการตอบแทน ถ่ายเสร็จเห็นเอาไปเปิดดูกัน หันมายิ้มแป้นพลางยกนิ้วโป้ง (คงไม่ได้หมายความว่า โกรธยูแล้ว ถ่ายไม่ได้เรื่องเลย หรอกนะ) ก็พอดีกับไกด์โบกไม้โบกมือว่าหมดเวลาพักให้ขึ้นรถไปกันต่อได้                  

               
                  ทางยังคงสภาพความวิบาก ด้วยพื้นผิวที่ไม่แตกต่างจากโลกพระจันทร์ ลดเลี้ยวขึ้น ๆ ลง ๆ ตามไหล่เขา  ทว่าขบวนบั๊กกี้ของเราก็ลุยผ่านไปอย่างสบาย                     
            
                  ที่ต้องระวังอยู่บ้างก็คือตามทางคดโค้งบนเขาอย่างนี้ ต้องกดแตรให้สัญญานนำไปก่อน เพราะบางครั้งก็จะมีรถปิคอัพ หรือมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้าน บางทีก็เป็นรถบั๊กกีจากผู้ให้บริการเจ้าอื่นที่มาใช้เส้นทางเดียวกัน แล่นสวนออกมา  แม้นาน ๆ จะเจอสักครั้ง แต่ป้องกันเอาไว้ก่อนก็ปลอดภัยกว่า เกิดประสานงากันกลางเขาคงไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่                    

                  จะว่าไปแล้วสภาพแวดล้อมแถบนี้ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่มาก แทบไม่มีสิ่งแปลกปลอมใด ๆ ชาวคณะบั๊กกีจึงเพลิดเพลินเจริญใจกับทิวทัศน์ที่ได้พบเห็น                     

                  ความหลากหลายของเส้นทางก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้การขับรถบั๊กกีของเราไม่น่าเบื่อ บางครั้งก็เลาะไปตามแนวผา บางครั้งก็ผ่านเข้าไปในทุ่งซึ่งเป็นดงหญ้าสูงท่วมหัว  บางครั้งก็ต้องลุยผ่านธารน้ำเล็ก ๆ  ที่ไหลลดหลั่นเป็นน้ำตกน้อย ๆ   (ผมมาอีกครั้งในวันหลัง ขับ ๆ ไปยังได้เจอกับกลุ่มทหารพรานกำลังลาดตระเวนอยู่ด้วย ได้บรรยากาศไปอีกแบบ)                     

                 แล้วขบวนบั๊กกีของเราไต่ขึ้นมาถึงจุดชมวิวอีกแห่ง บริเวณนี้เป็นสันเขาสูง เปิดโล่งทั้งสองด้าน ลมพัดโกรกเย็นสบาย แลเห็นทิวทัศน์ของผืนป่าทึบแน่นด้วยยอดไม้เขียว ขุนเขาสลับซับซ้อน ทอดตัวทะมึนเป็นเงาสีน้ำเงินเข้มสองฟากฝั่ง                       

                 ผมเห็นปุ๊บก็จำได้ปั๊บเลยละครับว่าคือจุดชมทิวทัศน์ที่ผมเคยมาเมื่อตอนขับรถบั๊กกีครั้งแรก ซึ่งเป็นโปรแกรมสั้น ๑ ชั่วโมง พอมาถึงตรงนี้แล้วก็จะย้อนกลับทางเก่า ในขณะที่โปรแกรม ๒ ชั่วโมงอย่างของเราในคราวนี้จะมาจากอีกด้านหนึ่ง ระยะทางไกลกว่ากันและแล่นเป็นวงรอบ ไม่ต้องย้อนกลับ                     
                 ช่วงที่เหลือถึงจะเป็นทางเดิมที่ผมเคยมา ทว่าไม่เหมือนเก่าครับ เพราะครั้งก่อนเป็นหน้าร้อน ทางดินแห้ง แล่นผ่านไปทีฝุ่นงี้ตลบ มาคราวนี้เป็นช่วงหน้าฝน ถึงแม้ว่าจะโปรยปรายลงมาไม่เท่าไหร่ ทางดินลูกรังก็แปรสภาพกลายเป็นทะเลโคลนไปแล้ว ทำเอาขบวนรถของเราแล่นแฉลบไปไถลมา ไม่แค่นั้น ล้อรถยังตะกุยโคลนขึ้นมาเลอะเทอะไปหมดทั้งตัวและใบหน้า เพิ่งจะเห็นประโยชน์ของบรรดาอุปกรณ์ป้องกันทั้งหลายที่แต่งองค์ทรงเครื่องมาอย่างเต็มพิกัดก็ตอนนี้แหละครับ อย่างน้อยก็ช่วยป้องกันไม่ให้โคลนกระเด็นเข้าหน้าเข้าตา และเปรอะเปื้อนจนเกินไป                     

                 ระทึกใจอีกทีในช่วงท้าย ๆ เพราะทางจะลาดลงเขาแบบชันดิก ยิ่งโดนฝนกลายเป็นโคลนแล้วลื่นมาก ขับลำบาก ลักษณะอย่างนี้เวลาขับไม่ควรเหยียบเบรคค้างไว้ เพราะล้อจะล็อคทำให้แฉลบลื่นไถลอย่างไร้ทิศทาง ควบคุมรถไม่ได้ ค่อนข้างอันตราย เนื่องจากทางส่วนใหญ่มักจะถูกน้ำที่ไหลจากบนเขากัดเซาะลาดลงทางหน้าผา บางจุดเป็นเหวลึก ถ้าไหลลงไปละก็มีหวังจบเห่แน่ ๆ  ผมใช้วิธีเหยียบเบรคย้ำแล้วปล่อย ย้ำแล้วปล่อย เป็นระยะ ให้ล้อหมุน คืบคลานช้า ๆ  จับพวงมาลัยให้มั่นคง ประคองรถแล่นลงมา
                   
                  ลงมาถึงชุมชนข้างล่างได้ก็ถอนหายใจโล่งอกไปตาม ๆ กัน

ความมันยังคงรออยู่
                   
                   หลังจากนั้น วันแล้ววันเล่าที่ผมยังวนเวียนมาขับรถบั๊กกีออฟโรดอย่างสนุกสนานอีกหลายต่อหลายครั้ง  แม้ว่าเส้นทางจะยังเป็นสายเดิม แต่พอมัคคุเทศก์พาขับแบบย้อนกลับจากออกเป็นทางเข้า ทางเข้าเป็นทางออก แบบกลับหัวกลับหาง ก็ทำให้รู้สึกเหมือนกับเป็นเส้นทางสายใหม่ได้ 
                   
                    นอกจากนี้บนเส้นทางยังมีจุดย่อย ๆ ที่แตกต่าง ขึ้นอยู่กับมัคคุเทศก์จะพาไป
                    

                    อยากจะเตือนไว้สำหรับผู้ที่อยากจะมาลองขับบั๊กกีผจญภัยบนเส้นทางสายนี้ สำคัญที่สุดก็คือ เลือกรถที่เหมาะมือ ลองขับดูก่อน ไม่ควรเลือกโดยดูจากสีสันและรูปร่างภายนอกว่าถูกตาถูกใจเท่านั้น
                    

                     ผมเองนี่แหละครับ เจอมาแล้ว ขับหลายวันเข้า เปลี่ยนร้านไปเปลี่ยนร้านมา เจ้าโน้นบ้างเจ้านี้บ้าง วันหนึ่งก็ไปแจ็กพ็อตเข้าจนได้ ได้รถคันที่สีสันหน้าตาถูกใจ แต่ขับไม่ดี พวงมาลัยแข็งเกินขนาด บังคับทิศทางยาก ความจริงรู้สึกได้ตั้งแต่ออกรถมาไม่เท่าไหร่  แต่ก็คิดไปว่าไม่เป็นไรน่า ขับมาตั้งหลายวัน เส้นทางก็ชำนาญแล้ว คงจะพอไปไหว

                   ที่ไหนได้ พอเข้าเส้นทางวิบากเข้าจริงกลายเป็นปัญหาใหญ่ครับ  เพราะควบคุมแทบไม่ได้ ล้อสะดุดหินทีพวงมาลัยก็สะบัดไปสะบัดมา  ครั้งหนึ่งเหยียบคันเร่งส่งขึ้นเนินมาแรง ดึงพวงมาลัยไม่ไหว ปีนเนินข้างทางถึงขนาดตีลังกา มิหนำซ้ำขากลับมาฝนตก ทางลงเขาเป็นดินลื่นเสียอีก รถเจ้ากรรมก็ทำเหมือนจะไหลลงเหวท่าเดียว ดึงพวงมาลัยจนปวดไหล่ปวดแขนไปทั้งสองข้างกว่าจะกลับลงมาถึงพื้นราบได้โดยสวัสดิภาพ เล่นเอาเข็ดไปเหมือนกัน            


                   อย่างไรก็ตาม ทุกความตื่นเต้นความระทึกใจบนเส้นทางก็ถูกเก็บเอาไว้ในความทรงจำครับ ตอนนี้เวลารถติด ไม่ต้องเปิดวิทยุ ไม่ต้องเปิดโทรทัศน์ แค่นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาอันสนุกสนาน  หลังพวงมาลัยรถบั๊กกี ที่แม่ริมเท่านั้น ความมันก็หวนกลับคืนมาในใจอีกครั้งเสียแล้วครับ


คู่มือนักเดินทาง        
             อำเภอแม่ริมตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ บนทางหลวงหมายเลข ๑๐๙๖ ถือว่าเป็นถนนสายสนุกที่เต็มไปด้วยสถานที่และกิจกรรมท่องเที่ยวหลากหลายเรียงรายอยู่บนเส้นทาง นอกเหนือไปจากการขับรถบั๊กกีที่มีให้บริการหลายแห่งแล้ว ยังมีกิจกรรมแนวผจญภัยให้เลือกอีกหลายชนิด  ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ดังรายละเอียดต่อไปนี้


ปางช้างโป่งแยง ตั้งอยู่บริเวณ กิโลเมตรที่ ๑๘ บริการขี่ช้างชมทิวทัศน์ อัตราค่าบริการ ๑ ชั่วโมง ๑,๒๐๐ บาท ๒ ชั่วโมง ๒,๔๐๐ บาท เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐๑๒.๐๐ นาฬิกา    โทรศัพท์ ๐ ๕๓๘๗ ๙๐๙๓-๔ โทรสาร ๐ ๕๓๘๗ ๙๐๙๒


ปางช้างแม่สา ตั้งอยู่ที่ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เปิดให้ชมการแสดงของช้างทุกวัน วันละ ๓ รอบ ๐๘.๐๐ ,๐๙.๔๐ และ ๑๓.๓๐ นาฬิกา ค่าบัตรเข้าชม ๒๐๐ บาท  โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๐ ๖๒๔๗ -๘   เว็บไซต์ www.maesaelephantcamp.com


โรงเรียนลิง ตั้งอยู่ที่ เลขที่ ๒๙๕ หมู่ ๑ ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ๕๐๑๘๐ เปิดให้ชมการแสดงของลิงตลอดทั้งวัน ตั้งแต่ ๐๙.๐๐๑๔.๑๕ นาฬิกา โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๘๘๑๘ ๐ โทรสาร ๐ ๕๓๘๖ ๐๕๔๗


สวนสัตว์แมลงสยาม ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๔ เลขที่ ๒๓/๔ หมู่ ๑๑ ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ในซอยน้ำตกแม่สา ๖ (ซอยโรงเรียนลิง) เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐๑๗.๐๐นาฬิกา ค่าเข้าชม ชาวไทย ๔๐ บาท ชาวต่างประเทศ ๑๐๐ บาท โทรศัพท์ ๐๘ ๔๙๓๗ ๑๑๒๑  เว็บไซต์www.malaeng.com


ขี่ม้าท่องไพร ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๔ ตรงข้ามสวนบัวแม่สาออคิด ให้บริการขี่ม้าท่องเที่ยวชมธรรมชาติ ค่าบริการครึ่งชั่วโมง ๔๕๐ บาท ๑ ชั่วโมง ๙๐๐ บาท  เปิดให้บริการตั้งแต่ ๐๘.๐๐ -๑๖.๐๐ นาฬิกา โทรศัพท์ ๐๘ ๑๕๙๕ ๗๑๑๓


ฟาร์มงูแม่ริม เปิดให้ชมการแสดงของงูทุกวัน ตั้งแต่ ๑๐.๐๐๑๖.๐๐ นาฬิกา โทรศัพท์ ๐ ๕๐๒๙ ๑๙๐๗


AIV เชียงใหม่ทัวร์  ตั้งอยู่เลขที่ ๗๗/-๖ หมู่ ๑ ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ๕๐๑๘๐ ให้บริการรถ ATV ท่องเที่ยว โปรแกรมทัวร์ ๑  (-๓ ชั่วโมง ระยะทาง ๔๒ กิโลเมตร) ค่าบริการ ๑,๙๕๐ บาท โปรแกรมทัวร์ ๒ (ออฟโรดเต็มวันค่าบริการ ๔,๙๕๐ บาท โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๐๑๕๓ และ ๐๘ ๙๙๕๐ ๒๒๗๙ เว็บไซต์ www.atv-chiangmai-tours.com


Jungle Bungy Jump เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ ๐๙.๐๐ -๑๔.๐๐ นาฬิกา อัตราค่าบริการครั้งละ ๑,๕๐๐บาท โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๗๗๐๐ และ ๐๘ ๑๘๘๕ ๑๙๑๒  เว็บไซต์ www.junglebungy.com


The origonal Monkey Centre  เปิดแสดงวันละ ๖ รอบ ค่าเข้าชม ๒๐๐ บาท โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๙๔๑๔ โทรสาร ๐ ๕๓๒๙ ๗๗๐๐ เว็บไซต์ www.monkeycentre.com

Sport X Chiangmai challenge ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๓  เลขที่ ๖๔/๑ ตำบลริมใต้ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ให้บริการรถATV และรถบักกี ค่าบริการ ๒,๐๐๐บาท ผู้โดยสาร ๑,๔๐๐ บาท  โทรศัพท์ ๐ ๕๓๘๖ ๐๔๓๕ และ ๐๘ ๙๑๙๑ ๗๖๙๖


สนามยิงปืนแม่ริม ให้บริการปืนหลากชนิดพร้อมสนามยิงปืนและครูฝึกคอยดูแล ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๒ เลยฟาร์มงูแม่สาไป ๑๐๐ เมตร  เปิดให้บริการตั้งแต่ ๐๙.๐๐๑๖.๐๐ นาฬิกา โทรศัพท์ ๐ ๕๓๑๑ ๒๓๘๓ และ ๐๘ ๑๕๙๕ ๗๑๑๓


X Centre ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๓ ตรงข้ามฟาร์มงูแม่สา เลขที่ ๒๖๓ หมู่ ๑ ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ๕๐๑๘๐ ให้บริการ รถ ATV รถบักกี ๑ ชั่วโมง ๒,๐๐๐บาท ผู้โดยสาร ๑,๐๐๐บาท  ๒ ชั่วโมง ๓,๐๐๐บาท ผู้โดยสาร ๑,๕๐๐ บาท โกคาร์ท ๑๐ นาที ๖๐๐บาท  และเพนต์บอล กระสุน ๕๐ นัดพร้อมอุปกรณ์ ๖๐๐ บาท  โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๗๗๐๐ เว็บไซต์ www.chiangmai-xcentre.comทบทวนประสบการณ์ความมันคู่มือนักเดินทาง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น