ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท.
ทุกวันนี้ดูเหมือนช่วงเวลาที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผมไปเสียแล้วครับ (จะว่าไปคงไม่ใช่ผมคนเดียวหรอก คนกรุงเทพฯ
ส่วนใหญ่ก็คงจะคล้าย ๆ กันนี่แหละ)
นับตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยมาแล้วที่ผมต้องนั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถวันละประมาณ ๔ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ขับรถไปกลับระหว่างบ้านกับมหาวิทยาลัย เรียกว่าโตบนรถก็ว่าได้ มาถึงวันนี้ก็ยังต้องนั่งอยู่หลังพวงมาลัยอยู่ แต่เปลี่ยนเป็นไปกลับระหว่างบ้านกับที่ทำงานแทน (ต้องบอกว่าแก่บนรถแล้วละกระมัง)
แรกขับรถใหม่ ๆ ก็ตื่นเต้นดี อยู่ ไม่มีปัญหาอะไร สนุกไปเสียอีก เพราะกำลังบ้าเห่อ ทว่าพอนานเข้า หลายปีผ่านไปชักเริ่มไม่ไหวครับ ต้องหันไปฟังวิทยุบ้าง ฟังเทปบ้าง บางครั้งก็เปลี่ยนเอารถคลาสสิคคันเก่งมาขับเปลี่ยนบรรยากาศ ล่าสุดนี่ผมเพิ่งซื้อโทรศัพท์มือถือที่ดูโทรทัศน์ได้ ก็พอจะช่วยให้แก้เบื่อกับชีวิตหลังพวงมาลัยไปในแต่ละวัน
แต่ก็มีอยู่บ้างครับ กับช่วงเวลาหลังพวงมาลัยที่ไม่ธรรมดา
อุ่นเครื่อง
ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ผมพบว่าการนั่งอยู่หลังพวงมาลัยก็เป็นความสนุกสนานได้เหมือนกัน เพียงแต่ต้องเป็นพวงมาลัยของรถบั๊กกี ยานยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสำหรับการผจญภัยบนเส้นทางวิบากเท่านั้น
ทำไมถึงเรียกพาหนะชนิดนี้ว่าบั๊กกีผมเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เท่าที่เห็นนี่เดาว่าอาจจะเป็นเพราะตัวรถที่รูปร่างออกไปทางเตี้ยป้อม ไฟหน้าเหมือนตาโต มองเผิน ๆ ดูเหมือนแมลงปีกแข็ง
ผมเองติดใจรถชนิดนี้มาตั้งแต่ครั้งก่อน เมื่อปีกลาย มาทำสารคดีกิจกรรมท่องเที่ยวผจญภัยบนถนนสายสนุก ก็คือทางหลวงหมายเลข ๑๐๙๖ ตรงอำเภอแม่ริมนี่แหละครับ ได้ลองขับเป็นครั้งแรก หลังจากที่เคยเห็นแต่ในหนังการ์ตูนเรื่องโดราเอมอน ตอนผจญภัยอะไรสักอย่างที่เคยดูสมัยเด็ก โอ้โห สนุกอย่าบอกใครเชียวละ
ความมันอยู่ตรงที่พาหนะจอมลุยชนิดนี้สามารถพาเราฝ่าฟันทางขรุขระทุรกันดารสารพัดรูปแบบ ไปได้ทุกสถานที่ ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงห้วย ทางจะเละจะลื่นยังไงไม่หวั่น เสียดายที่คราวนั้นผมต้องแบ่งเวลาให้กับอีกหลาย ๆ กิจกรรมสนุกที่มีอยู่มากมาย ทำให้ได้ลองขับเที่ยวแค่เส้นทางระยะสั้น แต่อย่างน้อยก็ได้บุกบั่นขึ้นไปถึงจุดชมทิวทัศน์บนสันเขาสูง เป็นที่ประทับใจถึงขนาดผมน่ะหมายมั่นปั้นมือจะกลับมาขับบั๊กกีอย่างเดียวแบบเฉพาะกิจให้หนำใจ หายอยากกันไปข้างนึงละครับ
นั่นคือเหตุผลที่ในวันนี้ผมมายืนพินิจพิจารณาเลือกรถบั๊กกี้หลากสีสันสวยอยู่ในบริเวณศูนย์รวมกิจกรรมท่องเที่ยวผจญภัยเอ็กเซ็นเตอร์ ในเครื่องแบบของทางศูนย์ ฯ ที่เตรียมไว้ให้ลุยแบบเต็มยศ ทั้งหมวกกันน็อค แว่นกันลม ชุดหมีที่มองดูให้ดีก็คล้าย ๆ นักบิน (แต่ก็ดูคล้ายช่างทาสีเหมือนกันแฮะ)
“รถที่เราให้บริการนักท่องเที่ยว เป็นบั๊กกีขนาดเล็ก นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ยี่ห้อจอยเนอร์ (Joyner) รุ่นแซนด์ไวเปอร์ (Sand viper) เครื่องยนต์ ๒๕๐ ซีซี คันใหญ่กว่านี่เป็นรุ่นแซนด์สไปเดอร์ เครื่องยนต์ ๖๕๐ ซีซี แต่จะให้สำหรับมัคคุเทศก์ที่เป็นคนขับนำทางใช้ ”
“ข้างพวงมาลัยนี่เป็นไฟเลี้ยวซ้ายขวา ปุ่มนี้เป็นแตร ถ้ามีอะไรขัดข้องหรืออยากหยุดถ่ายภาพตรงไหนก็กดแตรเรียกมัคคุเทศก์คันหน้าให้หยุดได้ครับ ปุ่มนี้เป็นปุ่มสตาร์ทเครื่อง อีกปุ่มเป็นสวิตช์พัดลมหม้อน้ำ ถ้าปิดปุ่มนี้เครื่องก็จะดับ…”
ขอเตือนว่าต้องตั้งใจฟังให้ดีนะครับ เพราะผมเองตอนเขาอธิบายเผลอใจลอยไปหน่อย พอขับไปจริง ๆ ปรากฏว่าเหลือบไปเห็นไฟแดงรูปหม้อน้ำสว่างขึ้นมา ขับไปกลุ้มใจไป กลัวเครื่องจะเกิดโอเวอร์ฮีต จะกดแตรเรียกมัคคุเทศก์คันข้างหน้ามาถามว่าอะไรเป็นอะไรก็เกรงใจ เพราะว่าเขาเพิ่งบอกไปหยก ๆ ดันไม่ฟังเอง กว่าจะมารู้ทีหลังว่าไฟมันต้องขึ้นอย่างนั้นอยู่แล้ว เป็นการแสดงว่าพัดลมหม้อน้ำทำงาน เล่นเอาเครียดอยู่ตั้งนาน
แนะนำตรวจสอบความเรียบร้อยให้กับลูกทัวร์เสร็จสรรพ เจ้าหน้าที่ของศูนย์ซึ่งทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ก็กระโดดขึ้นรถบั๊กกีคันหน้า ขับออกนำขบวนรถซึ่งเที่ยวนี้เป็นโปรแกรมเส้นทาง ๒ ชั่วโมง นอกจากผมแล้วก็ยังมีนักท่องเที่ยวฝรั่งสองสามีภรรยาวัยกลางคนร่วมขบวนไปด้วยอีกคัน รวมเป็น ๓ คัน แล่นตาม ๆ กันออกไปบนถนน
ไกด์คันหน้าส่งสัญญานมือให้ขับชิดซ้ายจะได้ไม่เกะกะยวดยานที่สัญจรไปมา มุ่งหน้าไปตามถนนลาดยางทางหลวงหมายเลข ๑๐๙๖ ที่ทอดตัวยาวขึ้นไปตามความสูงของภูเขาสู่อำเภอสะเมิง บนเส้นทางที่เราแล่นไปผ่านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญไม่ว่าจะเป็น น้ำตกแม่สา ปางช้างแม่สา และสวนพฤกษศาสตร์สิริกิติ์ ท่ามกลางร่มเงาไม้และสายลมเย็นที่พัดผ่านโครงรถเปิดโล่งเข้ามาปะทะใบหน้า
ช่วงแรกนี่ขับแบบสบาย ๆ ครับ เพราะเป็นถนนลาดยางอย่างดี ระยะทางยาวพอสมควร ลดเลี้ยวขึ้นเขาสูงชันไปเรื่อย ๆ แต่ก็เป็นเส้นทางปกติ ยังไม่มีอะไรลำบากยากเย็น ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาการอุ่นเครื่อง ให้นักท่องเที่ยวได้ค่อย ๆ ทำความคุ้นเคยกับคันเร่ง เบรก และการควบคุมรถที่เป็นพวงมาลัยซ้าย ก่อนจะไปเข้าสู่เส้นทางสมบุกสมบันกันจริง ๆ ข้างหน้า
บุกบั่นเส้นทางธรรมชาติขุนเขา
ขบวนบั๊กกีพากันตีวงเลี้ยวซ้ายผ่านเข้าไปทางบ้านแม่สาใหม่
เส้นทางถนนลาดยางตัด ลัดเข้าไปในหมู่บ้านที่ตั้งลดหลั่นกันลงมาตามลาดไหล่เขา
บริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของโครงการเกษตรแม่สาใหม่ รถแล่นไปนี่ก็จะแลเห็นว่าตามแนวเขามีแปลงปลูกพืชผักผลไม้เมืองหนาว
คลุมด้วยพลาสติกเรียงรายกันอยู่ทั่วไป บรรยากาศเย็นสบายมัคคุเทศก์หยุดรถ ส่งสัญญานมือให้เปลี่ยนเกียร์จากเกียร์สูง เป็นเกียร์ต่ำ นักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ ก็จอดรถทำตามอย่างว่าง่าย
เกียร์ของรถบั๊กกีนั้นไม่ได้มีอะไรมากมายครับ มีแค่เกียร์สูง(H) สำหรับวิ่งด้วยความเร็วสูงบนทางเรียบ เกียร์ต่ำ(L) สำหรับวิ่งบนเส้นทางวิบากที่ต้อ้งใช้กำลังขับเคลื่อน เกียร์ว่าง (P) สำหรับจอด แล้วก็เกียร์ถอยหลัง (R) สำหรับถอยหลังเวลากลับรถ เรียกว่าใส่เกียร์แล้วก็แทบจะไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันอีกละครับ นอกจากเหยียบคันเร่งให้รถแล่นลุยไปข้างหน้าสถานเดียว ขับง่าย ไม่มีอะไรยากเย็น
ถึงตรงนี้ชักจะเริ่มมันครับ เพราะเริ่มรู้สึกได้ถึงสมรรถนะของรถที่แตกต่างกับตอนแล่นบนถนนเรียบอย่างชัดเจน จากสัมผัสที่สั่นสะเทือนและแข็งกระด้างด้วยดอกยางขนาดใหญ่บดลงบนทางลาดยาง พอมาอยู่บนถนนลูกรังขรุขระกลับกลายเป็นความนุ่มนวลแสนสบายอย่างไม่น่าเชื่อ
แม้ว่าทางข้างหน้าจะสูงชัน คดโค้งขึ้น ๆ ลง ๆ แถมยังตะปุ่มตะป่ำด้วยหินผุดโผล่และหลุมเล็กหลุมใหญ่ เจ้าบั๊กกี้คันเก่งก็พลิ้วผ่านไปได้ ล้อทั้งสี่ที่หมุน ๆ หยุด ๆ อย่างเป็นอิสระจากกัน ตามจังหวะที่รถตะกุยตะกายแล่นลุยไป แลดูคล้ายกำลังเริงระบำอยู่บนทางวิบากจริง ๆ
ที่ควรระวังสำหรับการขับรถบนทางแบบนี้ก็คือควรจับพวงมาลัยที่ขอบด้านนอกเท่านั้น ไม่สอดมือเข้าไปด้านในอย่างเด็ดขาด เพราะในกรณีที่ล้อรถไปกระแทกเข้ากับหินก้อนใหญ่ ๆ ที่โผล่อยู่บนพื้นผิวทาง พวงมาลัยจะสะบัดอย่างแรงมาก หากเอาเมือสอดเข้าไปก้านพวงมาลัยจะฟาดมือ ถึงขนาดมือหัก นิ้วหักได้
ชาวคณะบั๊กกีเราพลิดเพลินกับการหมุนพวงมาลัยลดเลี้ยวผ่านแนวไม้ครึ้มเขียว ไต่ความสูงขึ้นไปตามทางดินลูกรังเลาะไหล่เขา โค้งแล้วโค้งเล่า ขับไปพลางเหลือบชมทิวทัศน์ความเขียวขจีไปพลาง สูดอากาศอันบริสุทธิ์จากผืนป่าเข้าไปจนเต็มปอดอีกพักใหญ่ก็ไปถึงลานกว้างกลางป่าสนสูงชะลูดและร่มครึ้มริมหน้าผาอันเป็นจุดชมทิวทัศน์ มัคคุเทศก์เลี้ยวปราดเข้าไปจอดใต้ร่มไม้พลางส่งสัญญานให้สมาชิกจอดรถตามอัธยาศัย ลงมาพักดื่มน้ำ ผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการทอดสายตาออกไปยังผืนป่าอันเขียวขจีปกคลุมเทือกดอยอันสลับซับซ้อนกว้างไกลสุดสายตา มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แทรกตัวอยู่ประปราย
กำลังถ่ายภาพเพลิน ๆ นักท่องเที่ยวฝรั่งสองสามีภรรยาเดินยิ้มเข้ามาชี้ไม้ชี้มือให้ผมส่งกล้องในมือมา แล้วไปยืนคู่กับรถบั๊กกีมีทิวทัศน์อันสวยงามของขุนเขาเป็นฉากหลัง ก่อนจะกดชัตเตอร์ให้ ผมก็เลยบอกฝรั่งทั้งสองส่งกล้องมาบ้าง จะถ่ายให้เป็นการตอบแทน ถ่ายเสร็จเห็นเอาไปเปิดดูกัน หันมายิ้มแป้นพลางยกนิ้วโป้ง (คงไม่ได้หมายความว่า โกรธยูแล้ว ถ่ายไม่ได้เรื่องเลย หรอกนะ) ก็พอดีกับไกด์โบกไม้โบกมือว่าหมดเวลาพักให้ขึ้นรถไปกันต่อได้
ทางยังคงสภาพความวิบาก ด้วยพื้นผิวที่ไม่แตกต่างจากโลกพระจันทร์ ลดเลี้ยวขึ้น ๆ ลง ๆ ตามไหล่เขา ทว่าขบวนบั๊กกี้ของเราก็ลุยผ่านไปอย่างสบาย
ที่ต้องระวังอยู่บ้างก็คือตามทางคดโค้งบนเขาอย่างนี้ ต้องกดแตรให้สัญญานนำไปก่อน เพราะบางครั้งก็จะมีรถปิคอัพ หรือมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้าน บางทีก็เป็นรถบั๊กกีจากผู้ให้บริการเจ้าอื่นที่มาใช้เส้นทางเดียวกัน แล่นสวนออกมา แม้นาน ๆ จะเจอสักครั้ง แต่ป้องกันเอาไว้ก่อนก็ปลอดภัยกว่า เกิดประสานงากันกลางเขาคงไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่
จะว่าไปแล้วสภาพแวดล้อมแถบนี้ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่มาก แทบไม่มีสิ่งแปลกปลอมใด ๆ ชาวคณะบั๊กกีจึงเพลิดเพลินเจริญใจกับทิวทัศน์ที่ได้พบเห็น
ความหลากหลายของเส้นทางก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้การขับรถบั๊กกีของเราไม่น่าเบื่อ บางครั้งก็เลาะไปตามแนวผา บางครั้งก็ผ่านเข้าไปในทุ่งซึ่งเป็นดงหญ้าสูงท่วมหัว บางครั้งก็ต้องลุยผ่านธารน้ำเล็ก ๆ ที่ไหลลดหลั่นเป็นน้ำตกน้อย ๆ (ผมมาอีกครั้งในวันหลัง ขับ ๆ ไปยังได้เจอกับกลุ่มทหารพรานกำลังลาดตระเวนอยู่ด้วย ได้บรรยากาศไปอีกแบบ)
แล้วขบวนบั๊กกีของเราไต่ขึ้นมาถึงจุดชมวิวอีกแห่ง บริเวณนี้เป็นสันเขาสูง เปิดโล่งทั้งสองด้าน ลมพัดโกรกเย็นสบาย แลเห็นทิวทัศน์ของผืนป่าทึบแน่นด้วยยอดไม้เขียว ขุนเขาสลับซับซ้อน ทอดตัวทะมึนเป็นเงาสีน้ำเงินเข้มสองฟากฝั่ง
ผมเห็นปุ๊บก็จำได้ปั๊บเลยละครับว่าคือจุดชมทิวทัศน์ที่ผมเคยมาเมื่อตอนขับรถบั๊กกีครั้งแรก ซึ่งเป็นโปรแกรมสั้น ๑ ชั่วโมง พอมาถึงตรงนี้แล้วก็จะย้อนกลับทางเก่า ในขณะที่โปรแกรม ๒ ชั่วโมงอย่างของเราในคราวนี้จะมาจากอีกด้านหนึ่ง ระยะทางไกลกว่ากันและแล่นเป็นวงรอบ ไม่ต้องย้อนกลับ
ช่วงที่เหลือถึงจะเป็นทางเดิมที่ผมเคยมา ทว่าไม่เหมือนเก่าครับ เพราะครั้งก่อนเป็นหน้าร้อน ทางดินแห้ง แล่นผ่านไปทีฝุ่นงี้ตลบ มาคราวนี้เป็นช่วงหน้าฝน ถึงแม้ว่าจะโปรยปรายลงมาไม่เท่าไหร่ ทางดินลูกรังก็แปรสภาพกลายเป็นทะเลโคลนไปแล้ว ทำเอาขบวนรถของเราแล่นแฉลบไปไถลมา ไม่แค่นั้น ล้อรถยังตะกุยโคลนขึ้นมาเลอะเทอะไปหมดทั้งตัวและใบหน้า เพิ่งจะเห็นประโยชน์ของบรรดาอุปกรณ์ป้องกันทั้งหลายที่แต่งองค์ทรงเครื่องมาอย่างเต็มพิกัดก็ตอนนี้แหละครับ อย่างน้อยก็ช่วยป้องกันไม่ให้โคลนกระเด็นเข้าหน้าเข้าตา และเปรอะเปื้อนจนเกินไป
ระทึกใจอีกทีในช่วงท้าย ๆ เพราะทางจะลาดลงเขาแบบชันดิก ยิ่งโดนฝนกลายเป็นโคลนแล้วลื่นมาก ขับลำบาก ลักษณะอย่างนี้เวลาขับไม่ควรเหยียบเบรคค้างไว้ เพราะล้อจะล็อคทำให้แฉลบลื่นไถลอย่างไร้ทิศทาง ควบคุมรถไม่ได้ ค่อนข้างอันตราย เนื่องจากทางส่วนใหญ่มักจะถูกน้ำที่ไหลจากบนเขากัดเซาะลาดลงทางหน้าผา บางจุดเป็นเหวลึก ถ้าไหลลงไปละก็มีหวังจบเห่แน่ ๆ ผมใช้วิธีเหยียบเบรคย้ำแล้วปล่อย ย้ำแล้วปล่อย เป็นระยะ ให้ล้อหมุน คืบคลานช้า ๆ จับพวงมาลัยให้มั่นคง ประคองรถแล่นลงมา
ลงมาถึงชุมชนข้างล่างได้ก็ถอนหายใจโล่งอกไปตาม ๆ กัน
ความมันยังคงรออยู่
หลังจากนั้น วันแล้ววันเล่าที่ผมยังวนเวียนมาขับรถบั๊กกีออฟโรดอย่างสนุกสนานอีกหลายต่อหลายครั้ง แม้ว่าเส้นทางจะยังเป็นสายเดิม แต่พอมัคคุเทศก์พาขับแบบย้อนกลับจากออกเป็นทางเข้า ทางเข้าเป็นทางออก แบบกลับหัวกลับหาง ก็ทำให้รู้สึกเหมือนกับเป็นเส้นทางสายใหม่ได้
นอกจากนี้บนเส้นทางยังมีจุดย่อย ๆ ที่แตกต่าง ขึ้นอยู่กับมัคคุเทศก์จะพาไป
อยากจะเตือนไว้สำหรับผู้ที่อยากจะมาลองขับบั๊กกีผจญภัยบนเส้นทางสายนี้ สำคัญที่สุดก็คือ เลือกรถที่เหมาะมือ ลองขับดูก่อน ไม่ควรเลือกโดยดูจากสีสันและรูปร่างภายนอกว่าถูกตาถูกใจเท่านั้น
ผมเองนี่แหละครับ เจอมาแล้ว ขับหลายวันเข้า เปลี่ยนร้านไปเปลี่ยนร้านมา เจ้าโน้นบ้างเจ้านี้บ้าง วันหนึ่งก็ไปแจ็กพ็อตเข้าจนได้ ได้รถคันที่สีสันหน้าตาถูกใจ แต่ขับไม่ดี พวงมาลัยแข็งเกินขนาด บังคับทิศทางยาก ความจริงรู้สึกได้ตั้งแต่ออกรถมาไม่เท่าไหร่ แต่ก็คิดไปว่าไม่เป็นไรน่า ขับมาตั้งหลายวัน เส้นทางก็ชำนาญแล้ว คงจะพอไปไหว
ที่ไหนได้ พอเข้าเส้นทางวิบากเข้าจริงกลายเป็นปัญหาใหญ่ครับ เพราะควบคุมแทบไม่ได้ ล้อสะดุดหินทีพวงมาลัยก็สะบัดไปสะบัดมา ครั้งหนึ่งเหยียบคันเร่งส่งขึ้นเนินมาแรง ดึงพวงมาลัยไม่ไหว ปีนเนินข้างทางถึงขนาดตีลังกา มิหนำซ้ำขากลับมาฝนตก ทางลงเขาเป็นดินลื่นเสียอีก รถเจ้ากรรมก็ทำเหมือนจะไหลลงเหวท่าเดียว ดึงพวงมาลัยจนปวดไหล่ปวดแขนไปทั้งสองข้างกว่าจะกลับลงมาถึงพื้นราบได้โดยสวัสดิภาพ เล่นเอาเข็ดไปเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ทุกความตื่นเต้นความระทึกใจบนเส้นทางก็ถูกเก็บเอาไว้ในความทรงจำครับ ตอนนี้เวลารถติด ไม่ต้องเปิดวิทยุ ไม่ต้องเปิดโทรทัศน์ แค่นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาอันสนุกสนาน หลังพวงมาลัยรถบั๊กกี ที่แม่ริมเท่านั้น ความมันก็หวนกลับคืนมาในใจอีกครั้งเสียแล้วครับ
คู่มือนักเดินทาง
อำเภอแม่ริมตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ บนทางหลวงหมายเลข ๑๐๙๖ ถือว่าเป็นถนนสายสนุกที่เต็มไปด้วยสถานที่และกิจกรรมท่องเที่ยวหลากหลายเรียงรายอยู่บนเส้นทาง นอกเหนือไปจากการขับรถบั๊กกีที่มีให้บริการหลายแห่งแล้ว ยังมีกิจกรรมแนวผจญภัยให้เลือกอีกหลายชนิด ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ปางช้างโป่งแยง ตั้งอยู่บริเวณ กิโลเมตรที่ ๑๘ บริการขี่ช้างชมทิวทัศน์ อัตราค่าบริการ ๑ ชั่วโมง ๑,๒๐๐ บาท ๒ ชั่วโมง ๒,๔๐๐ บาท เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐–๑๒.๐๐ นาฬิกา โทรศัพท์ ๐ ๕๓๘๗ ๙๐๙๓-๔ โทรสาร ๐ ๕๓๘๗ ๙๐๙๒
ปางช้างแม่สา ตั้งอยู่ที่ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เปิดให้ชมการแสดงของช้างทุกวัน วันละ ๓ รอบ ๐๘.๐๐ ,๐๙.๔๐ และ ๑๓.๓๐ นาฬิกา ค่าบัตรเข้าชม ๒๐๐ บาท โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๐ ๖๒๔๗ -๘ เว็บไซต์ www.maesaelephantcamp.com
โรงเรียนลิง ตั้งอยู่ที่ เลขที่ ๒๙๕ หมู่ ๑ ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ๕๐๑๘๐ เปิดให้ชมการแสดงของลิงตลอดทั้งวัน ตั้งแต่ ๐๙.๐๐–๑๔.๑๕ นาฬิกา โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๘๘๑๘ ๐ โทรสาร ๐ ๕๓๘๖ ๐๕๔๗
สวนสัตว์แมลงสยาม ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๔ เลขที่ ๒๓/๔ หมู่ ๑๑ ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ในซอยน้ำตกแม่สา ๖ (ซอยโรงเรียนลิง) เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐–๑๗.๐๐นาฬิกา ค่าเข้าชม ชาวไทย ๔๐ บาท ชาวต่างประเทศ ๑๐๐ บาท โทรศัพท์ ๐๘ ๔๙๓๗ ๑๑๒๑ เว็บไซต์www.malaeng.com
ขี่ม้าท่องไพร ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๔ ตรงข้ามสวนบัวแม่สาออคิด ให้บริการขี่ม้าท่องเที่ยวชมธรรมชาติ ค่าบริการครึ่งชั่วโมง ๔๕๐ บาท ๑ ชั่วโมง ๙๐๐ บาท เปิดให้บริการตั้งแต่ ๐๘.๐๐ -๑๖.๐๐ นาฬิกา โทรศัพท์ ๐๘ ๑๕๙๕ ๗๑๑๓
ฟาร์มงูแม่ริม เปิดให้ชมการแสดงของงูทุกวัน ตั้งแต่ ๑๐.๐๐–๑๖.๐๐ นาฬิกา โทรศัพท์ ๐ ๕๐๒๙ ๑๙๐๗
AIV เชียงใหม่ทัวร์ ตั้งอยู่เลขที่ ๗๗/๕ -๖ หมู่ ๑ ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ๕๐๑๘๐ ให้บริการรถ ATV ท่องเที่ยว โปรแกรมทัวร์ ๑ (๑-๓ ชั่วโมง ระยะทาง ๔๒ กิโลเมตร) ค่าบริการ ๑,๙๕๐ บาท โปรแกรมทัวร์ ๒ (ออฟโรดเต็มวัน) ค่าบริการ ๔,๙๕๐ บาท โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๐๑๕๓ และ ๐๘ ๙๙๕๐ ๒๒๗๙ เว็บไซต์ www.atv-chiangmai-tours.com
Jungle Bungy Jump เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ ๐๙.๐๐ -๑๔.๐๐ นาฬิกา อัตราค่าบริการครั้งละ ๑,๕๐๐บาท โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๗๗๐๐ และ ๐๘ ๑๘๘๕ ๑๙๑๒ เว็บไซต์ www.junglebungy.com
The origonal Monkey Centre เปิดแสดงวันละ ๖ รอบ ค่าเข้าชม ๒๐๐ บาท โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๙๔๑๔ โทรสาร ๐ ๕๓๒๙ ๗๗๐๐ เว็บไซต์ www.monkeycentre.com
สนามยิงปืนแม่ริม ให้บริการปืนหลากชนิดพร้อมสนามยิงปืนและครูฝึกคอยดูแล ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๒ เลยฟาร์มงูแม่สาไป ๑๐๐ เมตร เปิดให้บริการตั้งแต่ ๐๙.๐๐–๑๖.๐๐ นาฬิกา โทรศัพท์ ๐ ๕๓๑๑ ๒๓๘๓ และ ๐๘ ๑๕๙๕ ๗๑๑๓
X Centre ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ ๓ ตรงข้ามฟาร์มงูแม่สา เลขที่ ๒๖๓ หมู่ ๑ ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ๕๐๑๘๐ ให้บริการ รถ ATV รถบักกี ๑ ชั่วโมง ๒,๐๐๐บาท ผู้โดยสาร ๑,๐๐๐บาท ๒ ชั่วโมง ๓,๐๐๐บาท ผู้โดยสาร ๑,๕๐๐ บาท โกคาร์ท ๑๐ นาที ๖๐๐บาท และเพนต์บอล กระสุน ๕๐ นัดพร้อมอุปกรณ์ ๖๐๐ บาท โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๙ ๗๗๐๐ เว็บไซต์ www.chiangmai-xcentre.comทบทวนประสบการณ์ความมันคู่มือนักเดินทาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น