วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

คาราวานแคมเปอร์แวน ขบวนเคหาสน์ยนต์ท่องถนน ชุมพร -สุราษฎร์ฯ -ระนอง



ภาคภูมิ น้อยวัฒน์  ...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ ๕๓ ฉบับที่ ๔ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕

สายตาของผู้คนสองฟากฝั่งถนนต่างก็หันมามองแทบจะเป็นสายตาเดียวกัน เมื่อขบวนคาราวาน “แคมเปอร์แวน” ของเราแล่นผ่าน  

แน่นอนครับ ผมเห็นชัดเจนเลยเชียวละ ถึงแววตาอันตื่นตะลึงระคนด้วยความแปลกใจของผู้คนริมทาง  เพราะว่านั่งอยู่บนรถแคมเปอร์แวนคันหนึ่งในขบวน

แคมเปอร์แวนก็คือบ้านที่ติดตั้งอยู่บนรถ สามารถขับไปไหนมาไหนได้ ความจริงยังมีชื่อเรียกอื่นอีก  ไม่ว่าจะเป็น RV ย่อมาจาก Recreation Vehicle  และ Motor home  แต่ในภาษาไทยยังไม่ชัดเจนว่าเรียกอะไรดี (จะเรียกว่า “รถบ้าน” ก็ดันไปซ้ำกับคำที่เต็นท์รถใช้เรียกรถมือสอง ที่ซื้อต่อมาจากรถใช้ในบ้าน)  จะเรียก “บ้านบนรถเคลื่อนที่ได้ “ ก็เยิ่นเย้อยืดยาวไป

ทางที่ดีที่สุดคือเรียกทับศัพท์ไปเลยว่า “แคมเปอร์แวน” นั่นแหละครับ  เข้าใจง่ายที่สุด



 แคมเปอร์แวนในรูปแบบต่าง ๆ 


              แคมเปอร์แวนนี่ไม่ได้เพิ่งจะมีเอาตอนนี้ ความจริงมีมานานประมาณ ๘๐ ปีแล้วเห็นจะได้ โดยเริ่มมีขึ้นก่อนในทวีปยุโรป  ก่อนจะมาได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ในทวีปเอเชียของเราก็มีประเทศญี่ปุ่นที่ฮิตกันมาก จดทะเบียนอยู่ถึง ๓,๐๐๐ คัน  เห็นว่ามีไม่น้อยที่ใช้แคมเปอร์แวนแทนบ้านกันเลยทีเดียว โดยขับจากบ้านในต่างจังหวัดมาจอดเป็นบ้านพักทำงานในโตเกียว แล้วขับกลับบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์

เมืองไทยเราเองมีแคมเปอร์แวนมาแล้วประมาณ ๕ ปี  แต่เมื่อก่อนนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการประกอบแล้วส่งไปขายที่ญี่ปุ่น อย่างเดียว  ต่อมาถึงค่อยมีขายในประเทศ ซึ่งโดยมากคนที่ซื้อไปใช้ก็จะเป็นกลุ่มคนมีสตางค์ (เอาไว้เป็นรถคันที่ ๕ -๖ของบ้าน ว่างั้น)  เพราะราคาไม่ใช่เบา ขนาดเล็กก็อยู่ที่  ๒.๗ ล้านบาท ขนาดกลาง ๓.๗ ล้านบาท และขนาดใหญ่ ๔.๗  ล้านบาท อีกกลุ่มที่ซื้อไปใช้กันก็คือพวกดารา เพราะสะดวกและเป็นส่วนตัว แต่ก็ยังไม่แพร่หลาย



มาปี ๒๕๕๕ นี้แหละครับ ถึงได้มีการก่อตั้งชมรมแคมเปอร์แวนไทยแลนด์คลับขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อสร้างกิจกรรมการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถยนต์แคมเปอร์แวนอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากกลุ่มสมาชิกที่มีรถอยู่แล้วประมาณ ๑๓๐ ราย แล้วยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจการเดินทางในแบบนี้  แต่ไม่มีรถเป็นของตัวเอง ได้ลองสัมผัสบรรยากาศได้ ด้วยการมีรถแคมเปอร์แวนให้เช่าใช้ในการเดินทาง

 อย่างคันที่ผมนั่งอยู่นี่ก็เป็นแคมเปอร์แวนที่เช่ามาครับ  แม้เป็นรุ่นขนาดเล็ก แต่นั่งกันสบาย ๆ ด้วยผู้โดยสารที่มากันแค่ ๓ คนคือ “พี่ลา” ชัยวิทย์ เผื่อนอุดม จากงานการตลาดวารสาร ซึ่งปกติทำหน้าที่ขายอนุสาร อ.ส.ท. แต่ครั้งนี้อาสามาทำหน้าที่สารถีให้  “พี่ณัฐ” ณัฐพงศ์ สุกกรี หัวหน้างานพัฒนาตลาดภาคใต้ เจ้าของโครงการคาราวานครั้งนี้ ทั้งสองนั่งอยู่ตอนหน้า ส่วนตัวผมนั่งเอกเขนกอย่างสบายประดุจราชาอยู่คนเดียวทางด้านหลังแฮ่ม

นับแต่ก่อตั้งขึ้นมาชมรมแคมเปอร์แวนไทยแลนด์คลับมีการจัดกิจกรรมไปหลายครั้งแล้ว โดยก่อนหน้านี้จัดการเดินทางแบบคาราวานเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกันที่เขาใหญ่มาแล้วสองครั้ง  ครั้งแรกไปที่หินเพิง ครั้งที่สองไปวังน้ำเขียว ครั้งล่าสุดเพิ่งสัญจรไปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีกันมา

แต่ครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือครั้งที่ผมเดินทางร่วมขบวนมาด้วยนี่แหละครับ  ตั้งชื่อโครงการไว้อย่างเก๋ไก๋เชียวว่า Dream trip Miracle Thailand เที่ยวดั่งฝัน มหัศจรรย์เมืองไทย” ทางชมรมฯ ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยงานพัฒนาตลาดภาคใต้ จัดเดินทางท่องเที่ยวภาคใต้ช่วงสุดสัปดาห์ ในเส้นทางวงรอบ ๓ จังหวัด ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง โดยมีจำนวนรถแคมเปอร์แวนร่วมในขบวนมากที่สุด ลงชื่อไว้ในตอนแรกถึง ๑๘ คัน  ทว่าพอถึงวันเดินทางมีบางส่วนติดภารกิจทำให้เหลืออยู่ ๑๕ คัน  แต่ก็ถือว่าเป็นขบวนคาราวานที่มีแคมเปอร์แวนเยอะที่สุดอยู่ดี แล่นไปตามถนนยังงี้เป็นขบวนยาวเหยียด

ไม่น่าแปลกใจเลยครับ ที่ระหว่างคาราวานของเราแล่นไปตามถนนซึ่งล่องลงใต้ ผู้คนสองฟากฝั่งที่พบเห็นจะต้องหันมองตามกันแทบจะเป็นตาเดียว 


รับลมหาดทรายชายทะเล


เช้าวันศุกร์อันเป็นวันเดินทาง ผมนัดหมายกับพี่ลาและพี่ณัฐให้แวะมารับที่ปั๊มน้ำมัน บนถนนพระราม ๒ เพราะอยู่ใกล้บ้าน เป็นทางผ่านพอดี  รถแคมเปอร์แวนของเราเลี้ยวเข้าปั๊มมา ใครต่อใครต่างหันมามอง แรกเห็นผมรู้สึกว่าหน้าตามันดูคล้าย ๆ รถส่งไอศกรีมอยู่ไม่น้อย  (แต่พอวันหลัง ๆ ชักคุ้นเคยกัน ค่อยเริ่มรู้สึกว่าดูดีขึ้นมาเยอะครับ และเพราะขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย ผมเลยได้ที่นั่งด้านหลังไปโดยอัตโนมัติ 

 "นั่งหลังอาจจะเวียนหัวนิดหน่อย แต่นั่งไปก่อน เดี๋ยวกลางทางพี่อาจจะเปลี่ยนใจ สลับไปนอนข้างหลังบ้างก็ได้" พี่ณัฐบอก ฟังดูคล้าย ๆ ปลอบใจพร้อมกับให้ความหวังไปในตัว


  ขบวนคาราวานคันอื่นๆ นั้นล่วงหน้าเราไปก่อนแล้วพักใหญ่ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับสารถีของเรา ไล่กวดไม่นานก็ตามไปทันกันที่ สวิสส์ ชีพ ฟาร์ม (Swiss Sheep Farm) แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ใน อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ที่เพิ่งเปิดหมาด ๆ  ซึ่งชาวคณะคาราวานพากันจอดแวะลงไปสัมผัสบรรยากาศฟาร์มแบบชนบทในยุโรป กลางโอบล้อมของแนวภูผาหินที่เรียกว่า “หุบเขาแห่งความรัก”  ซึ่งในบริเวณท้องทุ่งหญ้าสีเขียวขจีโดดเด่นสะดุดตาด้วยกังหันลมขนาดใหญ่ โรงนา รถม้า รถบรรทุกโบราณ

มองไปเห็นหลายคนกำลังสนุกกับหลากหลายกิจกรรมภายในฟาร์ม  บ้างก็ลองทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เล่นหัวอยู่กับลูกแกะขนนุ่มๆ  ในโรงนา บ้างก็ลองนั่งรถม้าสไตล์โบราณเที่ยวรอบฟาร์ม  และอีกไม่น้อยกระจายตัวกันถ่ายภาพอยู่ตามมุมต่าง ๆ ได้เวลาอันสมควรผู้นำขบวนก็ส่งสัญญาณเรียกบรรดาสมาชิกให้กลับมารวมตัวกันที่รถ พร้อมหน้าพร้อมตาแล้วคาราวานของเราจึงเคลื่อนขบวนออกเดินทางต่อ


ในการเดินทางคณะรถแคมเปอร์แวนของเราใช้ความเร็วไม่สูงมาก อยู่ที่ประมาณ ๘๐-๙๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เนื่องจากขนาดที่ค่อนข้างใหญ่และน้ำหนักค่อนข้างมากประกอบกับสายฝนที่โปรยปรายลงมา ในยามที่รถแล่นช้า ๆ  ระบบกันกระเทือนด้วยถุงลม ทำให้ภายในห้องโดยสารด้านหลังโคลงเคลงพอรู้สึกมึนงงนิดๆ แต่พอรถแล่นเร็วขึ้นก็จะกลายเป็นความนุ่มนวล ราวกับนั่งอยู่บนพรมวิเศษก็ไม่ปาน (ว่าเข้านั่น)

            ที่หัวหิน หลังจากชาวคณะแวะพักกินอาหารกลางวันกันที่สโมสรของสนามกอล์ฟในสวนสนประดิพัทธ์แล้ว ขบวนของเราก็แล่นยาวมุ่งหน้าสู่จังหวัดชุมพร สุโขสโมสรละครับในช่วงนี้ เพราะหลังจากปรับพื้นที่ในตอนหลังของรถ พับเก็บโต๊ะจากที่นั่งแบบห้องรับแขก ให้กลายเป็นที่นอนอันกว้างขวาง ผมก็เปิดตู้เย็นที่มีอยู่ในตัว หยิบขนมและเครื่องดื่ม มานอนเอกเขนกดูทั้งโทรทัศน์ ทั้งวิดีโอ อย่างสบายอารมณ์ ตื่นบ้าง หลับบ้าง มาตลอดทาง ชนิดคนนั่งด้านหน้าต้องหันมาค้อนขวับ ๆ ด้วยความอิจฉาทีเดียว (ขอเปลี่ยนที่นั่งก็ไม่ยอมแล้วตอนนี้ ช่วยไม่ได้ อยากเลือกไปนั่งข้างหน้าเอง ฮิ ฮิ)


เพลิดเพลินจนลืมนึกว่าอยู่ในห้องนอนที่บ้าน มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อขบวนคาราวานเรียงแถวเลี้ยวเข้าสู่คอรัลบีชรีสอร์ต ลดเลี้ยวลัดเลาะไปใต้ความร่มรื่นของแนวมะพร้าวและทิวสนตามถนนสายเล็ก ไปจนถึงอ่าวขนาดเล็กกะทัดรัดโค้งเป็นครึ่งวงกลมที่ชื่อว่าอ่าวยายไอ๋



แคมเปอร์แวนจัดขบวนเข้าจอดเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบรูปครึ่งวงกลมใต้ร่มไม้ ริมชายหาดที่เงียบสงบ ก่อนจะพากันมายืนชื่นชมเวิ้งอ่าวโค้งรูปครึ่งวงกลม กั้นหัวและท้ายหาดด้วยภูเขา บริเวณนี้มีชื่อว่า หาดทุ่งไข่เน่า แว่วเสียงบางคนบ่นว่าชื่อไม่เพราะ อยากให้เปลี่ยนเป็นหาดทุ่งไข่หอมดีกว่า แต่ผมว่าชื่อเดิมดีอยู่แล้ว เพราะแสดงถึงที่มาที่ไปในอดีต  (ถ้าให้ผมเดาจากชื่อ แต่เดิมแถวหาดนี้คงมีต้นดอกไข่เน่าขึ้นอยู่มากมายเป็นทุ่งแน่ ๆ )  

แม้ชื่อจะไม่ไพเราะถูกหู แต่ว่าบรรยากาศดีถูกใจครับ หน้าหาดมีแท่งหินรูปร่างสวยงามแปลกตาผุดโผล่อยู่กลางน้ำอยู่ ๓ เกาะ คือเกาะร้านตัดผม เกาะลก และเกาะโทน บนหาดทรายยาวประมาณ ๓๐๐ เมตร ทรายสีขาวละเอียดงามตา  ทำเอาสมาชิกของเราอดใจไม่ไหว ขนาดมีสายฝนโปรยปรายอยู่ก็ยังกางร่มบ้าง ใส่เสื้อกันฝนบ้างลงไปเล่นน้ำเล่นทรายโต้คลื่นกันเป็นที่สนุกสนาน ในขณะที่ทีมงานส่วนบริการจัดแจงต่อไฟฟ้าและน้ำเข้ากับรถแต่ละคัน เกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย คือไฟฟ้าจากบ้านชาวบ้านริมหาดไม่เพียงพอกับรถของคณะเราที่มีหลายคัน สรุปว่าในที่สุดรถของผมจึงเลือกใช้เครื่องปั่นไฟที่ติดมาท้ายรถ แทนการต่อสายจากไฟบ้าน





หลังมื้อเย็นที่อิ่มอร่อยอาหารทะเลครบสูตร เพียบพร้อมด้วยดนตรีและเสียงครวญเพลงจากสมาชิกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันจนดึกถึงได้แยกย้ายรถใครรถมัน แคมเปอร์แวนของเราเปลี่ยนจากยานพาหนะมาทำหน้าที่บ้านได้อย่างดี  ผมได้ที่นอนบนซึ่งอยู่เหนือด้านหน้าของรถ มองดูเหมือนไม่น่าจะนอนได้ แต่พอนอนจริงกว้างใหญ่ กลิ้งไปกลิ้งมาได้สบาย ส่วนพี่ณัฐกับพี่ลา ขอนอนรวมกันอยู่ด้านล่าง (อาจปีนขึ้นไม่ไหว เพราะสูงด้วยวัยและน้ำหนัก) ในห้องโดยสารด้านหลังที่ปรับสภาพเป็นห้องนอนอย่างดี เปิดแอร์เย็นฉ่ำ  สองคนดูวีดีโอหนังสงครามกันอยู่เสียงตูมตาม ส่วนผมน่ะปีนขึ้นที่นอนได้ก็หลับสบายครับ

 คืนแรกนี้ถือว่ายังไม่ได้อาศัยแคมเปอร์แวนเป็นบ้านอย่างเต็มรูปแบบ  เพราะแม้จะใช้เป็นที่นอน ทว่าไม่ได้ใช้ห้องน้ำในรถ เนื่องจากในบริเวณที่จอดมีห้องสุขาและห้องอาบน้ำให้บริการด้านนอก แต่ไม่เป็นไรครับ ยังมีเวลาอีกหลายวัน

เช้านี้ชาวแคมเปอร์แวนส่วนใหญ่ตื่นขึ้นมาเดินเที่ยวหาดทรายเล่นน้ำถ่ายภาพกันแต่ไก่โห่ มีแต่ผมคนเดียวละมัง ที่ตื่นสาย (ทดสอบว่านอนในแคมเปอร์แวน สบายเหมือนนอนอยู่ที่บ้านจริงหรือไม่น่ะครับ ... แหะ แหะ)   เสร็จจากอาหารมื้อเช้า คณะคาราวานรวมตัวกันถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึก แล้วจึงเคลื่อนขบวนออกเดินทางต่อ พร้อมกันกับที่สายฝนเริ่มโปรยเม็ดลงมา โดยผมยังคงประจำตำแหน่งเอกเขนกอยู่ด้านหลังของรถเหมือนเดิม (สบายขนาดนี้ เอาสเต็กมาแลก ก็ไม่ยอมละครับ)

ระหว่างรถแล่นไป นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ มีการถ่ายทอดสดมวยสากลอาชีพระดับโลกคู่สำคัญจากสหรัฐอเมริกา ระหว่างเซอร์จิโอ กาเบรียล มาร์ติเนซ กับฮูลิโอ ซีซาร์ ชาเวซ จูเนียร์ ที่คอมวยโลกอย่างผมไม่อยากพลาดเสียด้วย  ว่าแล้วก็ได้อาศัยเปิดโทรทัศน์ระบบจานดาวเทียมที่ติดตั้งอยู่ในรถนี่แหละครับ ติดตามการชกได้อย่างใกล้ชิดเหมือนนอนดูอยู่ที่บ้านไม่มีผิด


มวยจบลงด้วยชัยชนะของมาร์ติเนซแบบคะแนนขาดลอย พร้อม ๆ กับที่ขบวนคาราวานของเราแล่นเข้าสู่บริเวณหาดทรายรี อันเป็นที่ที่ตั้งของ ศาลกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์  ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ  พระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งทหารเรือไทย และยังทรงเป็นนายทหารเรือไทยเดินเรือข้ามทวีปได้เป็นคนแรก โดยทรงบังคับการนำเรือหลวงพระร่วงเดินทางจากประเทศอังกฤษ เข้ามายังกรุงเทพมหานคร  ทรงได้รับพระสมัญญาว่า "เสด็จเตี่ย" เนื่องจากทรงเป็นที่เคารพรักของเหล่าทหารเรือ ชาวประมง และประชาชนทั่วไป  ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ กองทัพเรือยังได้มอบเรือรบหลวงชุมพรให้ นำมาจอดที่หาดทรายรีเป็นอนุสรณ์แด่บิดาแห่งทหารเรือไทย  

าวคาราวานพากันฝ่าฝนเข้าไปสักการะรูปกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ที่ศาลหลังเก่า รวมทั้งขึ้นบันไดไปสักการะพระครูวิมลคุณากร หรือ “หลวงปู่ศุข  แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า” พระอาจารย์ของกรมหลวงชุมพรฯ ในมณฑปบนเนินเขา โดยไม่ลืมที่จะไปชมศาลกรมหลวงชุมพรฯ หลังใหม่ที่สร้างจากความศรัทธาของประชาชน  เป็นรูปเรือพระร่วงจำลองมีขนาด กว้าง ๒๙ เมตร ยาว ๗๙ เมตร สูง ๖ เมตร  บนเนินเขาก่อนจะเรียกระดมพลเดินทางไปกินมื้อกลางวันกันที่ร้านอาหารริมทะเล


รื่นรมย์ชมดาวเหนือขุนเขาและทะเลสาบ สุราษฎร์ธานี

ช่วงบ่ายฝนขาดเม็ดไปพร้อมกับที่ทัพแคมเปอร์แวนมุ่งหน้าสุ่จุดหมายปลายทางต่อไปที่เขื่อนรัชชประภาหรือเขื่อนเชี่ยวหลาน   เขื่อนอเนกประสงค์แห่งที่สองของภาคใต้ อยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามให้ใหม่ว่า เขื่อนรัชชประภามีความหมายว่า แสงสว่างแห่งราชอาณาจักร  

ระหว่างทางนี้ถือเป็นช่วงเวลาสบายของผมอีกครั้งละครับ เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน ผมหลับบ้าง ตื่นบ้าง ดูโทรทัศน์ แกล้มด้วยของขบเคี้ยวพร้อมเครื่องดื่มเย็นเจี๊ยบจากตู้เย็น บนความนุ่มนวลของรถที่เหมือนเปลเห่กล่อม  สุขใดไหนจะเทียมทาน

ขบวนเคลื่อนผ่านประตูเข้าสู่เขื่อนรัชชประภา ก่อนจะลัดเลาะตามทางลดเลี้ยวขึ้นไปสู่จุดชมทิวทัศน์ทะเลสาบเหนือเขื่อน ที่เห็นผืนน้ำไพศาลสะท้อนฟ้าครามและทิวเทือกเขาเหยียดยาวเป็นฉากหลัง บนสนามหญ้ากว้าง คุณจอห์น รัตนเวโรจน์ หรือ “จอห์น นูโว” นำพารถแคมปิ้งพร้อมคณะ มาร่วมขบวนของเราด้วย โดยจะถ่ายทำรายการ Light House นำเสนอเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถแคมเปอร์แวนครั้งนี้เหมือนกัน แต่รถของคุณจอห์น ที่ขับมานั้น ไม่ใช่แคมเปอร์แวนเหมือนของพวกเรา แต่เป็นรถพ่วงที่แยกส่วนห้องพักออกไปต่างหาก โดยมีรถอีกคันทำหน้าที่เป็นหัวลาก แปลกตาไปอีกรูปแบบหนึ่ง



หลังจากถ่ายภาพหมู่ ชื่นชมทิวทัศน์เหนือเขื่อนกันจนจุใจแล้ว คณะคาราวานก็เคลื่อนพลมุ่งหน้าไปยังภัตตาคารครัวกุ้ยหลินที่ตั้งอยู่ในบริเวณเขื่อนรัชชประภา ซึ่งนอกจากจะเป็นสถานที่กินอาหารมื้อเย็น ในค่ำนี้ลานจอดรถอันกว้างใหญ่ด้านหน้ายังจะเป็นจุดจอดรถพักแรมของชาวแคมเปอร์แวนเราในคืนนี้อีกด้วย

แล้วก็เช่นเคยครับ มื้อเย็นของเราจบลงด้วยอาหารอร่อยเคล้าเสียงเพลง ซึ่งในวันนี้พิเศษตรงที่มีนักร้องระดับอาชีพอย่างคุณจอห์น นูโวมาร่วมขับกล่อมเสริมความครื้นเครงให้มากขึ้น ก่อนจะได้เวลาแยกย้ายกันไปพักผ่อนรถใครรถมัน  ที่ติดลมอยู่ยังไปตั้งวงข้างรถบรรเลงดนตรีท่ามกลางผืนฟ้าที่พร่างพราวด้วยแสงดาวต่ออีก 

คืนนี้ผมได้ใช้แคมเปอร์แวนอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกครับ โดยเฉพาะห้องอาบน้ำห้องสุขา ซึ่งขนาดห้องมองดูเหมือนจะค่อนข้างแคบ อารมณ์เดียวกันกับห้องน้ำบนเครื่องบิน แต่ใช้อาบน้ำได้ มีม่านกันน้ำให้พร้อมสรรพ ใช้จริงก็ถือว่าใช้ได้ดีทีเดียวครับ สะดวกสบาย เบาเนื้อเบาตัวแล้วคืนนี้ผมก็ปีนเข้าที่นอนหลับสบายดีอีกเช่นเคย

มาตื่นกระหืดกระหอบเอาตอนเช้า เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าต้องถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมทิวทัศน์หลังร้านครัวกุ้ยหลิน ซึ่งเป็นมุมสูงมองเห็นดวงตะวันกลมโตโผล่ขึ้นจากขอบฟ้าเหนือขุนเขาอันสลับซับซ้อนและผืนป่าเขียวขจี ยังดีครับที่มาจอดนอนอยู่ใกล้ ๆ แค่วิ่งไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว  ทำให้ผมไม่พลาดโอกาสทอง

เคลื่อนพลกันอีกครั้งพร้อมกับแสงแดดที่แผดกล้า ขบวนของเรามุ่งหน้าไปยังท่าเรือในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก  เพื่อล่องนาวาชมทะเลสาบเหนือเขื่อน  จอดพาหนะคู่ใจไว้เรียงรายเรียบร้อย ก่อนจะค่อย ๆ เข้าแถวเดินลงเรือ ออกสู่ผืนน้ำกว้างใหญ่สุดสายตา

ตัวเขื่อนที่สร้างปิดกั้นคลองพระแสงทำให้เกิดเป็นอ่างเก็บน้ำครอบคลุมพื้นที่ ๑๖๕ ตารางกิโลเมตร  และเกาะแก่งที่เกิดจากภูเขาหินปูนผุดโผล่เหนือน้ำมากกว่า ๑๐๐ เกาะ เรือพาลัดเลาะไปตามแนวผาหินปูนสูงชัน ระเรี่ยด้วยผืนหมอกขาว ราวอยู่บนสวรรค์  ลัดเลาะเข้าไปตามซอกซอยอันลดเลี้ยว  บางแห่งมีหินงอกหินย้อย บางแห่งเป็นภูเขาน้อย ๆ ถูกกัดกร่อนด้วยลมฝนจนมีรูปร่างแปลกตา ทัศนียภาพอันสวยงาม สมกับที่ได้รับสมญานามว่า “กุ้ยหลินเมืองไทย” ทำให้หลายคนอดใจไม่ไหวกระโดดตูมลงไปว่ายน้ำเล่นเป็นที่สนุกสนาน


  เรือพาคณะของเราไปหยุดพักกันที่แพเชี่ยวหลาน รีสอร์ตกลางผืนน้ำสีครามที่โอบล้อมด้วยขุนเขาหินปูนตระหง่าน ชาวคณะส่วนใหญ่ยังไม่หายมันพากันลงเล่นน้ำอีกรอบ บ้างก็หันไปหัดพายเรือคายักเที่ยวชมรอบ ๆ บริเวณเป็นที่เฮฮา  จนเที่ยงนั่นแหละครับ ถึงจบด้วยการขึ้นมากินอาหารกลางวันแกล้มเสียงเพลงของชาวคณะ(อีกแล้ว)

ล่องเรือกลับมาขึ้นฝั่งกันอย่างชื่นมื่น แยกย้ายขึ้นรถแคมเปอร์แวนคู่ใจออกเดินทางจากเขื่อนเชี่ยวหลาน ผ่านเส้นทางคดโค้งที่ลัดเลาะผ่านแนวเทือกเขาอันสลับซับซ้อนทางด้านอำเภอพะโต๊ะ มุ่งหน้าสู่เมืองระนอง เช่นเคยครับ เส้นทางยาว ๆ อย่างนี้ผมก็มีเวลาพักผ่อนนอนกลิ้งอยู่ด้านหลัง แม้ว่าสัญญานโทรทัศน์ผ่านจานดาวเทียมอาจจะขาด ๆ หาย ๆ ไปบ้าง เพราะภูเขาบังสัญญาณ แต่ก็ยังมีวิดีโอให้นอนดูเล่น ๆ ได้ ช่างแสนสบายเสียนี่กระไร


อาบน้ำแร่ แช่น้ำร้อน นอนน้ำตก เมืองระนอง

เพลิดเพลินเจริญใจมาตลอดทางครับ กระทั่งผมเหลือบไปเห็นสายน้ำสีขาวสะอาดตา ของน้ำตกหงาว หลากไหลลงมาเป็นทางยาวจากบนยอดเทือกเขาที่ตระหง่านเป็นกำแพงอยู่ริมทางนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าเข้าสู่เขตจังหวัดระนองแล้ว  ถือว่าโชคดีครับที่มาในหน้าฝน ได้เห็นน้ำตกหงาวที่มีน้ำไหลเป็นสายครั้งแรกในชีวิต ทุกทีมาจะเห็นเป็นหน้าผาแห้งผากมีแค่รอยของสายน้ำเท่านั้น

พักใหญ่ขบวนแคมเปอร์แวนของเราก็แล่นเข้าจอดเรียงรายกันในบริเวณสวนสาธารณะรักษะวาริน โดยมีนายกเทศมนตรีเมืองระนองรวมทั้งผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานชุมพร เจ้าของพื้นที่ มายืนรอต้อนรับคณะคาราวานของพวกเราด้วยรอยยิ้ม

 ที่จอดนั้นอยู่หน้าบ่อน้ำร้อนพอดิบพอดีชนิดเดินไม่กี่ก้าวก็ลงไปแช่น้ำแร่ได้ เย็นวันนั้นแต่ละคนจึงไม่พลาดโอกาสที่จะลงไปแช่น้ำแร่ร้อน ๆ   ซึ่งน้ำแร่ที่นี่ผ่านการวิเคราะห์จากกรมวิทยาสตร์บริการแล้วว่าประกอบด้วยแร่ธาตุที่สำคัญและเป็นแหล่งเดียวในประเทศไทยที่ไม่มีสารกำมะถันเจือปนอยู่เลย จึง ไม่มีกลิ่นเหม็น ดื่มได้โดยไม่ต้องผ่านการกลั่นกรองใดๆ ทั้งสิ้น  มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในโลกเชียวนะครับ   ในบริเวณมีทั้งบ่อกลางแจ้ง และบ่อในอาคารบริการโดยสยามฮอทสปา ให้เลือกตามอัธยาศัย สบายเนื้อสบายตัวแล้วก็พอดีได้เวลาอาหารเย็น ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนรถใครรถมัน


เช้าวันรุ่งขึ้นหลายคนต่างตื่นแต่เช้าขึ้นมาอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนในบ่อกลางแจ้งกัน ท่ามกลางบรรยากาศที่แวดล้อมด้วยขุนเขาที่ผืนป่าเขียวชอุ่มและเสียงซู่ซ่าของสายธาราน้ำแร่ที่หลากไหลไม่มีวันหมด อากาศเย็น ๆ ในยามเช้าแบบนี้แหละครับ เหมาะกับการแช่น้ำแร่ร้อน ๆ ดีนัก อุ่นสบายกำลังดี  นี่เป็นเพราะได้แคมเปอร์แวนที่สามารถมาจอดใกล้ชิดแหล่งน้ำแร่แค่นิดเดียว ตื่นนอนปุ๊บก็เดินมาแช่ได้ทันที ไม่ต้องขึ้นรถขึ้นราให้วุ่นวาย

สาย ๆ คณะคาราวานของเราจึงโบกมืออำลาแยกย้ายกันตามอัธยาศัยครับ เพราะส่วนหนึ่งจะเดินทางลงไปเที่ยวภูเก็ตกันต่อ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งเดินทางกลับกรุงเทพฯ  คันของผมนั้นสบาย ๆ ออกเดินทางเป็นคันสุดท้าย โดยแวะไปกินขนมจีนแม่หมีเจ้าอร่อย ที่มาทีไรพลาดไม่ได้ เป็นมื้อเช้าก่อนมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ  บนทางกลับยังมีน้ำตกปุญญบาล สายน้ำตกสวยริมทางผ่านให้แวะเที่ยวชมอีกแห่ง  ช่วงนี้มีน้ำมากสายธารสีขาวไหลหลากจากแนวผาสูงอันเขียวชอุ่มด้วยแมกไม้ เป็นธรรมชาติที่สัมผัสได้ง่าย ๆ ริมถนนเดินไปไม่กี่ก้าว

จะว่าไปหลังจากการเดินทางครั้งนี้ผมชักจะติดใจการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถแคมเปอร์แวนขึ้นมาแล้วเหมือนกันนะครับนี่ หลายคนอาจรู้สึกว่าการเดินทางรูปแบบนี้ไกลเกินเอื้อม ด้วยราคารถที่ค่อนข้างสูง ในอดีตที่ผ่านมาอาจจะใช่ครับ แต่ในวันนี้เมื่อมีการตั้งชมรมแคมเปอร์แวนไทยแลนด์คลับขึ้นมาแล้วทุกอย่างก็ดูจะง่ายขึ้นมาอีกเยอะ

ใครอยากซื้อแคมเปอร์แวนเป็นของตัวเอง เราก็มีสถาบันการเงินที่มารองรับให้เช่าซื้อได้แล้วครับ ตอนนี้ “ คุณจิระเดช ห้วยหงษ์ทองเจ้าของหงส์ทองกรุ๊ปผู้ผลิต และผู้ก่อตั้งชมรมฯ บอกกับผม

“ ซื้อมาแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเที่ยวยาก ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหน ยังไง เพราะชมรมฯ ของเราจะมีข้อมูลทั้งหมด รวมทั้งให้คำปรึกษาในเรื่องเส้นทาง ขับไปยังไง แวะเที่ยวที่ไหน จอดพักตรงไหนได้บ้าง เรียกว่าจัดโปรแกรมให้เลย หรือถ้าไม่อยากขับไปเที่ยวคันเดียว ชมรมฯก็มีจัดเดินทางท่องเที่ยวเป็นคาราวาน เป็นกิจกรรมที่มีต่อเนื่องตลอดทั้งปี”

 เมื่อถามถึงอนาคตของแคมเปอร์แวนในประเทศไทย คุณจิระเดชอยากให้หน่วยงานภาครัฐ อย่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานท่องเที่ยวแต่ละจังหวัด รวมไปถึงทาง อบจ. อบต. หรือแหล่งโฮมสเตย์แต่ละแห่ง ช่วยกันสร้างแคมป์ไซต์ หรือจุดพักแรมของแคมเปอร์แวนขึ้นมา อย่างน้อยจังหวัดละแห่ง เชื่อว่าการเดินทางท่องเที่ยวด้วยยานยนต์ชนิดนี้จะแพร่หลายต่อไป เนื่องจากการเดินทางท่องเที่ยวด้วยแคมเปอร์แวนเป็นกิจกรรมที่รบกวนต่อสภาพแวดล้อมน้อยที่สุด เพราะไม่ต้องใช้พื้นที่มากมาย จึงไม่ต้องมีการบุกรุกพื้นที่ป่าธรรมชาติหรือพื้นที่อุทยานฯ 

“เพียงมีสถานที่สำหรับจอดรถพร้อมไฟฟ้าและน้ำประปา ที่เรียกว่าแคมป์ไซต์  ซึ่งแม้แต่ชาวบ้านในท้องถิ่นก็บสามารถเปิดให้บริการแคมป์ไซต์ได้เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรมาก”

ครับ ฟังแล้วก็เห็นอนาคตขึ้นมาไร ๆ สำหรับผมตอนนี้ คงต้องเริ่มเก็บเงินหยอดกระปุกเอาไว้พลาง ๆ ก่อน (เกือบ ๆ เกษียณ น่าจะซื้อได้สักคัน) แต่ความจริงแล้วก็ไม่ได้อยากขับเองเท่าไหร่ เพราะติดใจก็ตรงความสบายที่ได้นั่ง ๆ นอน ๆ ขอเป็นผู้โดยสารไปก่อนก็แล้วกัน ใครจะขับแคมเปอร์แวนไปเที่ยวแล้วยังขาดคนนั่งโทรมาชวนได้

ยินดีช่วยเป็นผู้โดยสารให้ฟรี ๆ เลยละครับ


ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานชุมพร ชมรมแคมเปอร์แวนไทยแลนด์คลับ คุณจิระเดช ห้วยหงษ์ทอง และผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้สารคดีเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี



คู่มือนักเดินทาง
คอรัลบีชรีสอร์ต คิดค่ากางเต็นท์ ๕๐ บาทต่อคนต่อคืน
แคมเปอร์แวนไทยแลนด์คลับ ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลของผู้ใช้รถแคมเปอร์แวน รวมทั้งสร้างสรรค์กิจกรรมการเดินทางด้วยยานพาหนะชนิดนี้ ผู้ที่ไม่มีรถแคมเปอร์แวนก็สามารถร่วมเดินทางท่องเที่ยวได้ โดยมีรถแคมเปอร์แวนให้เช่า
อัตราค่าเช่ารถแคมเปอร์แวน รวมประกันอุบัติเหตุ (ไม่รวมคนขับและค่าน้ำมัน) 
แบบ S ขนาดเล็ก (๔-๕ คน ) วันละ ๕,๕๐๐ บาท  
แบบ M ขนาดกลาง (๖-๗ คน)  วันละ ๘,๐๐๐บาท
แบบ L ขนาดใหญ่  (๘-๑๐ คน) วันละ ๑๐,๐๐๐บาท  
กรณีต้องการคนขับเพิ่มอีกวันละ ๑,๕๐๐-๒,๐๐๐บาท (ขึ้นอยู่กับระยะทาง)
สนใจข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปอร์แวนสามารถเพิ่มเติมได้ที่ www.campervan-thailand.com และ www.facebook.com/campervanthailandclub หรือโทรศัพท์  ๐๘ ๐๘๑๐ ๘๐๘๕ และ ๐๘ ๑๔๔๙ ๔๒๙๙ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง