ภาคภูมิ น้อยวัฒน์ ...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ ๕๓ ฉบับที่ ๔ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕
สายตาของผู้คนสองฟากฝั่งถนนต่างก็หันมามองแทบจะเป็นสายตาเดียวกัน เมื่อขบวนคาราวาน “แคมเปอร์แวน” ของเราแล่นผ่าน
แน่นอนครับ ผมเห็นชัดเจนเลยเชียวละ ถึงแววตาอันตื่นตะลึงระคนด้วยความแปลกใจของผู้คนริมทาง
เพราะว่านั่งอยู่บนรถแคมเปอร์แวนคันหนึ่งในขบวน
แคมเปอร์แวนก็คือบ้านที่ติดตั้งอยู่บนรถ
สามารถขับไปไหนมาไหนได้ ความจริงยังมีชื่อเรียกอื่นอีก ไม่ว่าจะเป็น
RV ย่อมาจาก Recreation
Vehicle และ Motor
home แต่ในภาษาไทยยังไม่ชัดเจนว่าเรียกอะไรดี (จะเรียกว่า
“รถบ้าน” ก็ดันไปซ้ำกับคำที่เต็นท์รถใช้เรียกรถมือสอง ที่ซื้อต่อมาจากรถใช้ในบ้าน)
จะเรียก “บ้านบนรถเคลื่อนที่ได้ “
ก็เยิ่นเย้อยืดยาวไป
ทางที่ดีที่สุดคือเรียกทับศัพท์ไปเลยว่า
“แคมเปอร์แวน” นั่นแหละครับ เข้าใจง่ายที่สุด
แคมเปอร์แวนในรูปแบบต่าง ๆ |
แคมเปอร์แวนนี่ไม่ได้เพิ่งจะมีเอาตอนนี้ ความจริงมีมานานประมาณ ๘๐ ปีแล้วเห็นจะได้ โดยเริ่มมีขึ้นก่อนในทวีปยุโรป ก่อนจะมาได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ในทวีปเอเชียของเราก็มีประเทศญี่ปุ่นที่ฮิตกันมาก จดทะเบียนอยู่ถึง ๓,๐๐๐ คัน เห็นว่ามีไม่น้อยที่ใช้แคมเปอร์แวนแทนบ้านกันเลยทีเดียว โดยขับจากบ้านในต่างจังหวัดมาจอดเป็นบ้านพักทำงานในโตเกียว แล้วขับกลับบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์
เมืองไทยเราเองมีแคมเปอร์แวนมาแล้วประมาณ
๕ ปี แต่เมื่อก่อนนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการประกอบแล้วส่งไปขายที่ญี่ปุ่น
อย่างเดียว ต่อมาถึงค่อยมีขายในประเทศ
ซึ่งโดยมากคนที่ซื้อไปใช้ก็จะเป็นกลุ่มคนมีสตางค์ (เอาไว้เป็นรถคันที่ ๕ -๖ของบ้าน
ว่างั้น) เพราะราคาไม่ใช่เบา
ขนาดเล็กก็อยู่ที่ ๒.๗ ล้านบาท ขนาดกลาง
๓.๗ ล้านบาท และขนาดใหญ่ ๔.๗ ล้านบาท อีกกลุ่มที่ซื้อไปใช้กันก็คือพวกดารา
เพราะสะดวกและเป็นส่วนตัว แต่ก็ยังไม่แพร่หลาย
มาปี ๒๕๕๕ นี้แหละครับ ถึงได้มีการก่อตั้งชมรมแคมเปอร์แวนไทยแลนด์คลับขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราว
เพื่อสร้างกิจกรรมการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถยนต์แคมเปอร์แวนอย่างจริงจัง
โดยเริ่มจากกลุ่มสมาชิกที่มีรถอยู่แล้วประมาณ ๑๓๐ ราย
แล้วยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจการเดินทางในแบบนี้
แต่ไม่มีรถเป็นของตัวเอง ได้ลองสัมผัสบรรยากาศได้ ด้วยการมีรถแคมเปอร์แวนให้เช่าใช้ในการเดินทาง
อย่างคันที่ผมนั่งอยู่นี่ก็เป็นแคมเปอร์แวนที่เช่ามาครับ
แม้เป็นรุ่นขนาดเล็ก แต่นั่งกันสบาย ๆ
ด้วยผู้โดยสารที่มากันแค่ ๓ คนคือ “พี่ลา” ชัยวิทย์ เผื่อนอุดม
จากงานการตลาดวารสาร ซึ่งปกติทำหน้าที่ขายอนุสาร อ.ส.ท.
แต่ครั้งนี้อาสามาทำหน้าที่สารถีให้ “พี่ณัฐ”
ณัฐพงศ์ สุกกรี หัวหน้างานพัฒนาตลาดภาคใต้ เจ้าของโครงการคาราวานครั้งนี้ ทั้งสองนั่งอยู่ตอนหน้า
ส่วนตัวผมนั่งเอกเขนกอย่างสบายประดุจราชาอยู่คนเดียวทางด้านหลัง… แฮ่ม
นับแต่ก่อตั้งขึ้นมาชมรมแคมเปอร์แวนไทยแลนด์คลับมีการจัดกิจกรรมไปหลายครั้งแล้ว
โดยก่อนหน้านี้จัดการเดินทางแบบคาราวานเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกันที่เขาใหญ่มาแล้วสองครั้ง
ครั้งแรกไปที่หินเพิง ครั้งที่สองไปวังน้ำเขียว
ครั้งล่าสุดเพิ่งสัญจรไปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีกันมา
แต่ครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือครั้งที่ผมเดินทางร่วมขบวนมาด้วยนี่แหละครับ
ตั้งชื่อโครงการไว้อย่างเก๋ไก๋เชียวว่า “Dream
trip Miracle Thailand เที่ยวดั่งฝัน มหัศจรรย์เมืองไทย”
ทางชมรมฯ
ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยงานพัฒนาตลาดภาคใต้
จัดเดินทางท่องเที่ยวภาคใต้ช่วงสุดสัปดาห์ ในเส้นทางวงรอบ ๓ จังหวัด ชุมพร
สุราษฎร์ธานี ระนอง โดยมีจำนวนรถแคมเปอร์แวนร่วมในขบวนมากที่สุด
ลงชื่อไว้ในตอนแรกถึง ๑๘ คัน ทว่าพอถึงวันเดินทางมีบางส่วนติดภารกิจทำให้เหลืออยู่
๑๕ คัน แต่ก็ถือว่าเป็นขบวนคาราวานที่มีแคมเปอร์แวนเยอะที่สุดอยู่ดี
แล่นไปตามถนนยังงี้เป็นขบวนยาวเหยียด
ไม่น่าแปลกใจเลยครับ ที่ระหว่างคาราวานของเราแล่นไปตามถนนซึ่งล่องลงใต้
ผู้คนสองฟากฝั่งที่พบเห็นจะต้องหันมองตามกันแทบจะเป็นตาเดียว
รับลมหาดทรายชายทะเล
เช้าวันศุกร์อันเป็นวันเดินทาง ผมนัดหมายกับพี่ลาและพี่ณัฐให้แวะมารับที่ปั๊มน้ำมัน
บนถนนพระราม ๒ เพราะอยู่ใกล้บ้าน เป็นทางผ่านพอดี รถแคมเปอร์แวนของเราเลี้ยวเข้าปั๊มมา
ใครต่อใครต่างหันมามอง แรกเห็นผมรู้สึกว่าหน้าตามันดูคล้าย ๆ รถส่งไอศกรีมอยู่ไม่น้อย
(แต่พอวันหลัง ๆ ชักคุ้นเคยกัน ค่อยเริ่มรู้สึกว่าดูดีขึ้นมาเยอะครับ และเพราะขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย ผมเลยได้ที่นั่งด้านหลังไปโดยอัตโนมัติ
"นั่งหลังอาจจะเวียนหัวนิดหน่อย แต่นั่งไปก่อน เดี๋ยวกลางทางพี่อาจจะเปลี่ยนใจ สลับไปนอนข้างหลังบ้างก็ได้" พี่ณัฐบอก ฟังดูคล้าย ๆ ปลอบใจพร้อมกับให้ความหวังไปในตัว
"นั่งหลังอาจจะเวียนหัวนิดหน่อย แต่นั่งไปก่อน เดี๋ยวกลางทางพี่อาจจะเปลี่ยนใจ สลับไปนอนข้างหลังบ้างก็ได้" พี่ณัฐบอก ฟังดูคล้าย ๆ ปลอบใจพร้อมกับให้ความหวังไปในตัว
ขบวนคาราวานคันอื่นๆ นั้นล่วงหน้าเราไปก่อนแล้วพักใหญ่ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับสารถีของเรา
ไล่กวดไม่นานก็ตามไปทันกันที่ สวิสส์ ชีพ ฟาร์ม (Swiss Sheep
Farm) แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ใน
อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ที่เพิ่งเปิดหมาด ๆ ซึ่งชาวคณะคาราวานพากันจอดแวะลงไปสัมผัสบรรยากาศฟาร์มแบบชนบทในยุโรป กลางโอบล้อมของแนวภูผาหินที่เรียกว่า
“หุบเขาแห่งความรัก” ซึ่งในบริเวณท้องทุ่งหญ้าสีเขียวขจีโดดเด่นสะดุดตาด้วยกังหันลมขนาดใหญ่
โรงนา รถม้า รถบรรทุกโบราณ
มองไปเห็นหลายคนกำลังสนุกกับหลากหลายกิจกรรมภายในฟาร์ม
บ้างก็ลองทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เล่นหัวอยู่กับลูกแกะขนนุ่มๆ
ในโรงนา บ้างก็ลองนั่งรถม้าสไตล์โบราณเที่ยวรอบฟาร์ม
และอีกไม่น้อยกระจายตัวกันถ่ายภาพอยู่ตามมุมต่าง
ๆ ได้เวลาอันสมควรผู้นำขบวนก็ส่งสัญญาณเรียกบรรดาสมาชิกให้กลับมารวมตัวกันที่รถ พร้อมหน้าพร้อมตาแล้วคาราวานของเราจึงเคลื่อนขบวนออกเดินทางต่อ
ในการเดินทางคณะรถแคมเปอร์แวนของเราใช้ความเร็วไม่สูงมาก
อยู่ที่ประมาณ ๘๐-๙๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เนื่องจากขนาดที่ค่อนข้างใหญ่และน้ำหนักค่อนข้างมากประกอบกับสายฝนที่โปรยปรายลงมา
ในยามที่รถแล่นช้า ๆ ระบบกันกระเทือนด้วยถุงลม
ทำให้ภายในห้องโดยสารด้านหลังโคลงเคลงพอรู้สึกมึนงงนิดๆ
แต่พอรถแล่นเร็วขึ้นก็จะกลายเป็นความนุ่มนวล ราวกับนั่งอยู่บนพรมวิเศษก็ไม่ปาน
(ว่าเข้านั่น)
เพลิดเพลินจนลืมนึกว่าอยู่ในห้องนอนที่บ้าน
มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อขบวนคาราวานเรียงแถวเลี้ยวเข้าสู่คอรัลบีชรีสอร์ต ลดเลี้ยวลัดเลาะไปใต้ความร่มรื่นของแนวมะพร้าวและทิวสนตามถนนสายเล็ก
ไปจนถึงอ่าวขนาดเล็กกะทัดรัดโค้งเป็นครึ่งวงกลมที่ชื่อว่าอ่าวยายไอ๋
แคมเปอร์แวนจัดขบวนเข้าจอดเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบรูปครึ่งวงกลมใต้ร่มไม้
ริมชายหาดที่เงียบสงบ ก่อนจะพากันมายืนชื่นชมเวิ้งอ่าวโค้งรูปครึ่งวงกลม กั้นหัวและท้ายหาดด้วยภูเขา
บริเวณนี้มีชื่อว่า หาดทุ่งไข่เน่า แว่วเสียงบางคนบ่นว่าชื่อไม่เพราะ
อยากให้เปลี่ยนเป็นหาดทุ่งไข่หอมดีกว่า แต่ผมว่าชื่อเดิมดีอยู่แล้ว เพราะแสดงถึงที่มาที่ไปในอดีต
(ถ้าให้ผมเดาจากชื่อ แต่เดิมแถวหาดนี้คงมีต้นดอกไข่เน่าขึ้นอยู่มากมายเป็นทุ่งแน่
ๆ )
แม้ชื่อจะไม่ไพเราะถูกหู แต่ว่าบรรยากาศดีถูกใจครับ
หน้าหาดมีแท่งหินรูปร่างสวยงามแปลกตาผุดโผล่อยู่กลางน้ำอยู่ ๓ เกาะ คือเกาะร้านตัดผม
เกาะลก และเกาะโทน บนหาดทรายยาวประมาณ ๓๐๐ เมตร ทรายสีขาวละเอียดงามตา ทำเอาสมาชิกของเราอดใจไม่ไหว ขนาดมีสายฝนโปรยปรายอยู่ก็ยังกางร่มบ้าง
ใส่เสื้อกันฝนบ้างลงไปเล่นน้ำเล่นทรายโต้คลื่นกันเป็นที่สนุกสนาน ในขณะที่ทีมงานส่วนบริการจัดแจงต่อไฟฟ้าและน้ำเข้ากับรถแต่ละคัน
เกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย คือไฟฟ้าจากบ้านชาวบ้านริมหาดไม่เพียงพอกับรถของคณะเราที่มีหลายคัน
สรุปว่าในที่สุดรถของผมจึงเลือกใช้เครื่องปั่นไฟที่ติดมาท้ายรถ แทนการต่อสายจากไฟบ้าน
หลังมื้อเย็นที่อิ่มอร่อยอาหารทะเลครบสูตร
เพียบพร้อมด้วยดนตรีและเสียงครวญเพลงจากสมาชิกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันจนดึกถึงได้แยกย้ายรถใครรถมัน
แคมเปอร์แวนของเราเปลี่ยนจากยานพาหนะมาทำหน้าที่บ้านได้อย่างดี ผมได้ที่นอนบนซึ่งอยู่เหนือด้านหน้าของรถ
มองดูเหมือนไม่น่าจะนอนได้ แต่พอนอนจริงกว้างใหญ่ กลิ้งไปกลิ้งมาได้สบาย
ส่วนพี่ณัฐกับพี่ลา ขอนอนรวมกันอยู่ด้านล่าง (อาจปีนขึ้นไม่ไหว เพราะสูงด้วยวัยและน้ำหนัก)
ในห้องโดยสารด้านหลังที่ปรับสภาพเป็นห้องนอนอย่างดี เปิดแอร์เย็นฉ่ำ สองคนดูวีดีโอหนังสงครามกันอยู่เสียงตูมตาม ส่วนผมน่ะปีนขึ้นที่นอนได้ก็หลับสบายครับ
คืนแรกนี้ถือว่ายังไม่ได้อาศัยแคมเปอร์แวนเป็นบ้านอย่างเต็มรูปแบบ เพราะแม้จะใช้เป็นที่นอน
ทว่าไม่ได้ใช้ห้องน้ำในรถ
เนื่องจากในบริเวณที่จอดมีห้องสุขาและห้องอาบน้ำให้บริการด้านนอก แต่ไม่เป็นไรครับ
ยังมีเวลาอีกหลายวัน
เช้านี้ชาวแคมเปอร์แวนส่วนใหญ่ตื่นขึ้นมาเดินเที่ยวหาดทรายเล่นน้ำถ่ายภาพกันแต่ไก่โห่
มีแต่ผมคนเดียวละมัง ที่ตื่นสาย (ทดสอบว่านอนในแคมเปอร์แวน
สบายเหมือนนอนอยู่ที่บ้านจริงหรือไม่น่ะครับ ... แหะ แหะ) เสร็จจากอาหารมื้อเช้า
คณะคาราวานรวมตัวกันถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึก แล้วจึงเคลื่อนขบวนออกเดินทางต่อ พร้อมกันกับที่สายฝนเริ่มโปรยเม็ดลงมา
โดยผมยังคงประจำตำแหน่งเอกเขนกอยู่ด้านหลังของรถเหมือนเดิม (สบายขนาดนี้
เอาสเต็กมาแลก ก็ไม่ยอมละครับ)
ระหว่างรถแล่นไป นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์
มีการถ่ายทอดสดมวยสากลอาชีพระดับโลกคู่สำคัญจากสหรัฐอเมริกา ระหว่างเซอร์จิโอ
กาเบรียล มาร์ติเนซ กับฮูลิโอ ซีซาร์ ชาเวซ จูเนียร์ ที่คอมวยโลกอย่างผมไม่อยากพลาดเสียด้วย
ว่าแล้วก็ได้อาศัยเปิดโทรทัศน์ระบบจานดาวเทียมที่ติดตั้งอยู่ในรถนี่แหละครับ
ติดตามการชกได้อย่างใกล้ชิดเหมือนนอนดูอยู่ที่บ้านไม่มีผิด
มวยจบลงด้วยชัยชนะของมาร์ติเนซแบบคะแนนขาดลอย พร้อม ๆ
กับที่ขบวนคาราวานของเราแล่นเข้าสู่บริเวณหาดทรายรี อันเป็นที่ที่ตั้งของ ศาลกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ พระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งทหารเรือไทย และยังทรงเป็นนายทหารเรือไทยเดินเรือข้ามทวีปได้เป็นคนแรก
โดยทรงบังคับการนำเรือหลวงพระร่วงเดินทางจากประเทศอังกฤษ เข้ามายังกรุงเทพมหานคร ทรงได้รับพระสมัญญาว่า "เสด็จเตี่ย" เนื่องจากทรงเป็นที่เคารพรักของเหล่าทหารเรือ
ชาวประมง และประชาชนทั่วไป ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒
กองทัพเรือยังได้มอบเรือรบหลวงชุมพรให้
นำมาจอดที่หาดทรายรีเป็นอนุสรณ์แด่บิดาแห่งทหารเรือไทย
ชาวคาราวานพากันฝ่าฝนเข้าไปสักการะรูปกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ที่ศาลหลังเก่า รวมทั้งขึ้นบันไดไปสักการะพระครูวิมลคุณากร หรือ “หลวงปู่ศุข
แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า” พระอาจารย์ของกรมหลวงชุมพรฯ ในมณฑปบนเนินเขา
โดยไม่ลืมที่จะไปชมศาลกรมหลวงชุมพรฯ หลังใหม่ที่สร้างจากความศรัทธาของประชาชน เป็นรูปเรือพระร่วงจำลองมีขนาด กว้าง ๒๙ เมตร
ยาว ๗๙ เมตร สูง ๖ เมตร บนเนินเขาก่อนจะเรียกระดมพลเดินทางไปกินมื้อกลางวันกันที่ร้านอาหารริมทะเล
รื่นรมย์ชมดาวเหนือขุนเขาและทะเลสาบ สุราษฎร์ธานี
ช่วงบ่ายฝนขาดเม็ดไปพร้อมกับที่ทัพแคมเปอร์แวนมุ่งหน้าสุ่จุดหมายปลายทางต่อไปที่เขื่อนรัชชประภาหรือเขื่อนเชี่ยวหลาน
เขื่อนอเนกประสงค์แห่งที่สองของภาคใต้
อยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานนามให้ใหม่ว่า “เขื่อนรัชชประภา”
มีความหมายว่า “แสงสว่างแห่งราชอาณาจักร”
ระหว่างทางนี้ถือเป็นช่วงเวลาสบายของผมอีกครั้งละครับ
เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน ผมหลับบ้าง ตื่นบ้าง ดูโทรทัศน์
แกล้มด้วยของขบเคี้ยวพร้อมเครื่องดื่มเย็นเจี๊ยบจากตู้เย็น
บนความนุ่มนวลของรถที่เหมือนเปลเห่กล่อม
สุขใดไหนจะเทียมทาน
ขบวนเคลื่อนผ่านประตูเข้าสู่เขื่อนรัชชประภา
ก่อนจะลัดเลาะตามทางลดเลี้ยวขึ้นไปสู่จุดชมทิวทัศน์ทะเลสาบเหนือเขื่อน
ที่เห็นผืนน้ำไพศาลสะท้อนฟ้าครามและทิวเทือกเขาเหยียดยาวเป็นฉากหลัง
บนสนามหญ้ากว้าง คุณจอห์น รัตนเวโรจน์ หรือ “จอห์น นูโว” นำพารถแคมปิ้งพร้อมคณะ
มาร่วมขบวนของเราด้วย โดยจะถ่ายทำรายการ Light
House นำเสนอเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถแคมเปอร์แวนครั้งนี้เหมือนกัน
แต่รถของคุณจอห์น ที่ขับมานั้น ไม่ใช่แคมเปอร์แวนเหมือนของพวกเรา
แต่เป็นรถพ่วงที่แยกส่วนห้องพักออกไปต่างหาก โดยมีรถอีกคันทำหน้าที่เป็นหัวลาก
แปลกตาไปอีกรูปแบบหนึ่ง
หลังจากถ่ายภาพหมู่
ชื่นชมทิวทัศน์เหนือเขื่อนกันจนจุใจแล้ว
คณะคาราวานก็เคลื่อนพลมุ่งหน้าไปยังภัตตาคารครัวกุ้ยหลินที่ตั้งอยู่ในบริเวณเขื่อนรัชชประภา
ซึ่งนอกจากจะเป็นสถานที่กินอาหารมื้อเย็น
ในค่ำนี้ลานจอดรถอันกว้างใหญ่ด้านหน้ายังจะเป็นจุดจอดรถพักแรมของชาวแคมเปอร์แวนเราในคืนนี้อีกด้วย
แล้วก็เช่นเคยครับ
มื้อเย็นของเราจบลงด้วยอาหารอร่อยเคล้าเสียงเพลง
ซึ่งในวันนี้พิเศษตรงที่มีนักร้องระดับอาชีพอย่างคุณจอห์น
นูโวมาร่วมขับกล่อมเสริมความครื้นเครงให้มากขึ้น
ก่อนจะได้เวลาแยกย้ายกันไปพักผ่อนรถใครรถมัน
ที่ติดลมอยู่ยังไปตั้งวงข้างรถบรรเลงดนตรีท่ามกลางผืนฟ้าที่พร่างพราวด้วยแสงดาวต่ออีก
คืนนี้ผมได้ใช้แคมเปอร์แวนอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกครับ
โดยเฉพาะห้องอาบน้ำห้องสุขา ซึ่งขนาดห้องมองดูเหมือนจะค่อนข้างแคบ
อารมณ์เดียวกันกับห้องน้ำบนเครื่องบิน แต่ใช้อาบน้ำได้ มีม่านกันน้ำให้พร้อมสรรพ
ใช้จริงก็ถือว่าใช้ได้ดีทีเดียวครับ สะดวกสบาย
เบาเนื้อเบาตัวแล้วคืนนี้ผมก็ปีนเข้าที่นอนหลับสบายดีอีกเช่นเคย
มาตื่นกระหืดกระหอบเอาตอนเช้า
เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าต้องถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมทิวทัศน์หลังร้านครัวกุ้ยหลิน
ซึ่งเป็นมุมสูงมองเห็นดวงตะวันกลมโตโผล่ขึ้นจากขอบฟ้าเหนือขุนเขาอันสลับซับซ้อนและผืนป่าเขียวขจี
ยังดีครับที่มาจอดนอนอยู่ใกล้ ๆ แค่วิ่งไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ทำให้ผมไม่พลาดโอกาสทอง
เคลื่อนพลกันอีกครั้งพร้อมกับแสงแดดที่แผดกล้า
ขบวนของเรามุ่งหน้าไปยังท่าเรือในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก เพื่อล่องนาวาชมทะเลสาบเหนือเขื่อน จอดพาหนะคู่ใจไว้เรียงรายเรียบร้อย ก่อนจะค่อย
ๆ เข้าแถวเดินลงเรือ ออกสู่ผืนน้ำกว้างใหญ่สุดสายตา
ตัวเขื่อนที่สร้างปิดกั้นคลองพระแสงทำให้เกิดเป็นอ่างเก็บน้ำครอบคลุมพื้นที่
๑๖๕ ตารางกิโลเมตร และเกาะแก่งที่เกิดจากภูเขาหินปูนผุดโผล่เหนือน้ำมากกว่า
๑๐๐ เกาะ เรือพาลัดเลาะไปตามแนวผาหินปูนสูงชัน ระเรี่ยด้วยผืนหมอกขาว ราวอยู่บนสวรรค์ ลัดเลาะเข้าไปตามซอกซอยอันลดเลี้ยว บางแห่งมีหินงอกหินย้อย บางแห่งเป็นภูเขาน้อย ๆ
ถูกกัดกร่อนด้วยลมฝนจนมีรูปร่างแปลกตา ทัศนียภาพอันสวยงาม สมกับที่ได้รับสมญานามว่า “กุ้ยหลินเมืองไทย”
ทำให้หลายคนอดใจไม่ไหวกระโดดตูมลงไปว่ายน้ำเล่นเป็นที่สนุกสนาน
เรือพาคณะของเราไปหยุดพักกันที่แพเชี่ยวหลาน
รีสอร์ตกลางผืนน้ำสีครามที่โอบล้อมด้วยขุนเขาหินปูนตระหง่าน
ชาวคณะส่วนใหญ่ยังไม่หายมันพากันลงเล่นน้ำอีกรอบ บ้างก็หันไปหัดพายเรือคายักเที่ยวชมรอบ
ๆ บริเวณเป็นที่เฮฮา จนเที่ยงนั่นแหละครับ
ถึงจบด้วยการขึ้นมากินอาหารกลางวันแกล้มเสียงเพลงของชาวคณะ(อีกแล้ว)
ล่องเรือกลับมาขึ้นฝั่งกันอย่างชื่นมื่น
แยกย้ายขึ้นรถแคมเปอร์แวนคู่ใจออกเดินทางจากเขื่อนเชี่ยวหลาน
ผ่านเส้นทางคดโค้งที่ลัดเลาะผ่านแนวเทือกเขาอันสลับซับซ้อนทางด้านอำเภอพะโต๊ะ
มุ่งหน้าสู่เมืองระนอง เช่นเคยครับ เส้นทางยาว ๆ
อย่างนี้ผมก็มีเวลาพักผ่อนนอนกลิ้งอยู่ด้านหลัง
แม้ว่าสัญญานโทรทัศน์ผ่านจานดาวเทียมอาจจะขาด ๆ หาย ๆ ไปบ้าง เพราะภูเขาบังสัญญาณ
แต่ก็ยังมีวิดีโอให้นอนดูเล่น ๆ ได้ ช่างแสนสบายเสียนี่กระไร
อาบน้ำแร่ แช่น้ำร้อน นอนน้ำตก
เมืองระนอง
เพลิดเพลินเจริญใจมาตลอดทางครับ
กระทั่งผมเหลือบไปเห็นสายน้ำสีขาวสะอาดตา ของน้ำตกหงาว
หลากไหลลงมาเป็นทางยาวจากบนยอดเทือกเขาที่ตระหง่านเป็นกำแพงอยู่ริมทางนั่นแหละ
ถึงได้รู้ว่าเข้าสู่เขตจังหวัดระนองแล้ว
ถือว่าโชคดีครับที่มาในหน้าฝน
ได้เห็นน้ำตกหงาวที่มีน้ำไหลเป็นสายครั้งแรกในชีวิต
ทุกทีมาจะเห็นเป็นหน้าผาแห้งผากมีแค่รอยของสายน้ำเท่านั้น
พักใหญ่ขบวนแคมเปอร์แวนของเราก็แล่นเข้าจอดเรียงรายกันในบริเวณสวนสาธารณะรักษะวาริน โดยมีนายกเทศมนตรีเมืองระนองรวมทั้งผู้อำนวยการ
ททท. สำนักงานชุมพร เจ้าของพื้นที่ มายืนรอต้อนรับคณะคาราวานของพวกเราด้วยรอยยิ้ม
ที่จอดนั้นอยู่หน้าบ่อน้ำร้อนพอดิบพอดีชนิดเดินไม่กี่ก้าวก็ลงไปแช่น้ำแร่ได้
เย็นวันนั้นแต่ละคนจึงไม่พลาดโอกาสที่จะลงไปแช่น้ำแร่ร้อน ๆ ซึ่งน้ำแร่ที่นี่ผ่านการวิเคราะห์จากกรมวิทยาสตร์บริการแล้วว่าประกอบด้วยแร่ธาตุที่สำคัญและเป็นแหล่งเดียวในประเทศไทยที่ไม่มีสารกำมะถันเจือปนอยู่เลย
จึง ไม่มีกลิ่นเหม็น ดื่มได้โดยไม่ต้องผ่านการกลั่นกรองใดๆ ทั้งสิ้น มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในโลกเชียวนะครับ ในบริเวณมีทั้งบ่อกลางแจ้ง และบ่อในอาคารบริการโดยสยามฮอทสปา
ให้เลือกตามอัธยาศัย สบายเนื้อสบายตัวแล้วก็พอดีได้เวลาอาหารเย็น
ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนรถใครรถมัน
เช้าวันรุ่งขึ้นหลายคนต่างตื่นแต่เช้าขึ้นมาอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนในบ่อกลางแจ้งกัน
ท่ามกลางบรรยากาศที่แวดล้อมด้วยขุนเขาที่ผืนป่าเขียวชอุ่มและเสียงซู่ซ่าของสายธาราน้ำแร่ที่หลากไหลไม่มีวันหมด
อากาศเย็น ๆ ในยามเช้าแบบนี้แหละครับ เหมาะกับการแช่น้ำแร่ร้อน ๆ ดีนัก
อุ่นสบายกำลังดี
นี่เป็นเพราะได้แคมเปอร์แวนที่สามารถมาจอดใกล้ชิดแหล่งน้ำแร่แค่นิดเดียว
ตื่นนอนปุ๊บก็เดินมาแช่ได้ทันที ไม่ต้องขึ้นรถขึ้นราให้วุ่นวาย
สาย
ๆ คณะคาราวานของเราจึงโบกมืออำลาแยกย้ายกันตามอัธยาศัยครับ
เพราะส่วนหนึ่งจะเดินทางลงไปเที่ยวภูเก็ตกันต่อ
ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งเดินทางกลับกรุงเทพฯ
คันของผมนั้นสบาย ๆ ออกเดินทางเป็นคันสุดท้าย โดยแวะไปกินขนมจีนแม่หมีเจ้าอร่อย
ที่มาทีไรพลาดไม่ได้ เป็นมื้อเช้าก่อนมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ บนทางกลับยังมีน้ำตกปุญญบาล
สายน้ำตกสวยริมทางผ่านให้แวะเที่ยวชมอีกแห่ง
ช่วงนี้มีน้ำมากสายธารสีขาวไหลหลากจากแนวผาสูงอันเขียวชอุ่มด้วยแมกไม้
เป็นธรรมชาติที่สัมผัสได้ง่าย ๆ ริมถนนเดินไปไม่กี่ก้าว
จะว่าไปหลังจากการเดินทางครั้งนี้ผมชักจะติดใจการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถแคมเปอร์แวนขึ้นมาแล้วเหมือนกันนะครับนี่
หลายคนอาจรู้สึกว่าการเดินทางรูปแบบนี้ไกลเกินเอื้อม ด้วยราคารถที่ค่อนข้างสูง
ในอดีตที่ผ่านมาอาจจะใช่ครับ
แต่ในวันนี้เมื่อมีการตั้งชมรมแคมเปอร์แวนไทยแลนด์คลับขึ้นมาแล้วทุกอย่างก็ดูจะง่ายขึ้นมาอีกเยอะ
“ใครอยากซื้อแคมเปอร์แวนเป็นของตัวเอง
เราก็มีสถาบันการเงินที่มารองรับให้เช่าซื้อได้แล้วครับ ตอนนี้ “ คุณจิระเดช
ห้วยหงษ์ทองเจ้าของหงส์ทองกรุ๊ปผู้ผลิต และผู้ก่อตั้งชมรมฯ บอกกับผม
“ ซื้อมาแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเที่ยวยาก ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหน
ยังไง เพราะชมรมฯ ของเราจะมีข้อมูลทั้งหมด รวมทั้งให้คำปรึกษาในเรื่องเส้นทาง
ขับไปยังไง แวะเที่ยวที่ไหน จอดพักตรงไหนได้บ้าง เรียกว่าจัดโปรแกรมให้เลย
หรือถ้าไม่อยากขับไปเที่ยวคันเดียว ชมรมฯก็มีจัดเดินทางท่องเที่ยวเป็นคาราวาน
เป็นกิจกรรมที่มีต่อเนื่องตลอดทั้งปี”
เมื่อถามถึงอนาคตของแคมเปอร์แวนในประเทศไทย คุณจิระเดชอยากให้หน่วยงานภาครัฐ
อย่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
สำนักงานท่องเที่ยวแต่ละจังหวัด รวมไปถึงทาง อบจ. อบต. หรือแหล่งโฮมสเตย์แต่ละแห่ง
ช่วยกันสร้างแคมป์ไซต์ หรือจุดพักแรมของแคมเปอร์แวนขึ้นมา อย่างน้อยจังหวัดละแห่ง เชื่อว่าการเดินทางท่องเที่ยวด้วยยานยนต์ชนิดนี้จะแพร่หลายต่อไป
เนื่องจากการเดินทางท่องเที่ยวด้วยแคมเปอร์แวนเป็นกิจกรรมที่รบกวนต่อสภาพแวดล้อมน้อยที่สุด
เพราะไม่ต้องใช้พื้นที่มากมาย จึงไม่ต้องมีการบุกรุกพื้นที่ป่าธรรมชาติหรือพื้นที่อุทยานฯ
“เพียงมีสถานที่สำหรับจอดรถพร้อมไฟฟ้าและน้ำประปา
ที่เรียกว่าแคมป์ไซต์ ซึ่งแม้แต่ชาวบ้านในท้องถิ่นก็บสามารถเปิดให้บริการแคมป์ไซต์ได้เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรมาก”
ครับ
ฟังแล้วก็เห็นอนาคตขึ้นมาไร ๆ สำหรับผมตอนนี้
คงต้องเริ่มเก็บเงินหยอดกระปุกเอาไว้พลาง ๆ ก่อน (เกือบ ๆ เกษียณ
น่าจะซื้อได้สักคัน) แต่ความจริงแล้วก็ไม่ได้อยากขับเองเท่าไหร่
เพราะติดใจก็ตรงความสบายที่ได้นั่ง ๆ นอน ๆ ขอเป็นผู้โดยสารไปก่อนก็แล้วกัน
ใครจะขับแคมเปอร์แวนไปเที่ยวแล้วยังขาดคนนั่งโทรมาชวนได้
ยินดีช่วยเป็นผู้โดยสารให้ฟรี ๆ เลยละครับ
ขอขอบคุณ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานชุมพร ชมรมแคมเปอร์แวนไทยแลนด์คลับ คุณจิระเดช
ห้วยหงษ์ทอง
และผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้สารคดีเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
คู่มือนักเดินทาง
คอรัลบีชรีสอร์ต คิดค่ากางเต็นท์ ๕๐
บาทต่อคนต่อคืน
แคมเปอร์แวนไทยแลนด์คลับ
ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลของผู้ใช้รถแคมเปอร์แวน
รวมทั้งสร้างสรรค์กิจกรรมการเดินทางด้วยยานพาหนะชนิดนี้
ผู้ที่ไม่มีรถแคมเปอร์แวนก็สามารถร่วมเดินทางท่องเที่ยวได้
โดยมีรถแคมเปอร์แวนให้เช่า
อัตราค่าเช่ารถแคมเปอร์แวน
รวมประกันอุบัติเหตุ (ไม่รวมคนขับและค่าน้ำมัน)
แบบ S ขนาดเล็ก (๔-๕ คน ) วันละ ๕,๕๐๐ บาท
แบบ M
ขนาดกลาง (๖-๗ คน) วันละ ๘,๐๐๐บาท
แบบ L
ขนาดใหญ่ (๘-๑๐ คน) วันละ
๑๐,๐๐๐บาท
กรณีต้องการคนขับเพิ่มอีกวันละ
๑,๕๐๐-๒,๐๐๐บาท (ขึ้นอยู่กับระยะทาง)
สนใจข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปอร์แวนสามารถเพิ่มเติมได้ที่
www.campervan-thailand.com
และ www.facebook.com/campervanthailandclub หรือโทรศัพท์ ๐๘ ๐๘๑๐ ๘๐๘๕ และ ๐๘ ๑๔๔๙ ๔๒๙๙ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
http://youtu.be/RcvvONWg9FY
ตอบลบท่านที่สนใจหาที่จอดรถบ้าน ผมมีสถานที่ อยู่สามพราน ชื่อ แคมป์ปิ้ง คาร์ ใกล้กรุงเทพ ใกล้แหล่งท่องเที่ยว ท่ามกลางสวนผลไม้นับพันไร่ บรรยากาศรีสรอท์เหมาะจอดมิตติ้ง
ตอบลบหรือทีจอดพักรถ
เครื่องอำนวยความสะดวกสำหรับ รถบ้าน มีผู้ดูแลให้ประจำ ท่านใดสนใจจะเข้าร่วมโครงการ
แจ้งความประงสค์ ที่โทร.089-6675652 ต้องการเฉพาะผู้ที่รักการเดินทางท่องเที่ยวหรือพักผ่อน
ขออภัยหากข้อความนี้รบกวนเพื่อนสมาชิก
ราคารถCamppervan แบบS จำหน่าย
ตอบลบคันละเท่าไหร่คะ