ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตัพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ปีที่
ตัพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ปีที่
แสงสุดท้ายของวันลับหายไปจากขอบฟ้า
ปล่อยให้มวลความมืดแห่งรัตติกาลคืบคลานเข้ามาครอบคลุมทั่วอาณาบริเวณ
องค์เจดีย์เก่าแก่และบรรดาใบเสมาหินที่ปักไว้อยู่รายรอบถูกกลืนเข้าอยู่ในม่านราตรีเห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่มอยู่ท่ามกลางแวดล้อมของหมู่ไม้ทะมึนที่ไหวโอนเอนตามสายลม
บรรยากาศยามนี้แลดูไปคล้ายฉากในภาพยนตร์ประเภทมิติเร้นลับ แดนสนธยา
เหตุที่ยามนี้ผมยังเดินวนเวียนไปมาอยู่
ไม่ใช่ว่าคิดจะเปลี่ยนใจหันมาทำสารคดีแนวไสยศาสตร์ลึกลับอะไรนาครับ แต่เพราะว่าในท่ามกลางเงาสลัวรางกลางความมืดนั้นเอง
เป็นช่วงเวลาเปิดโอกาสให้จินตภาพได้ทำงาน สร้างสรรค์ปะติดปะต่อภาพจากซากปรักหักพังในความคิดชัดเจนเจิดจ้าแจ่มชัด
ภาพของนครฟ้าแดดสงยางอันเคยรุ่งโรจน์เป็นต้นประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
ในยุคสมัยที่เรียกขานกันว่า “ทวารวดี”
นครปริศนาใบเสมายักษ์
เมื่อหลายปีก่อน ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น
ผมมีโอกาสได้เห็นใบเสมาหินจากเมืองฟ้าแดดสงยางเป็นครั้งแรก ยังจำได้ถึงความตื่นเต้น
ไม่ใช่จากลวดลายจำหลักอันวิจิตรงดงามตามแบบศิลปะทวารวดีหรอกครับ
เพราะผมเคยอ่านเคยเห็นลวดลายทั้งหลายมาจากในหนังสือก่อนหน้านั้นหลายครั้งแล้ว ขนาดใบเสมาอันมหึมาสูงใหญ่ท่วมหัวต่างหากที่น่าตื่นตะลึง
มิหนำซ้ำยังเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ เนื่องจากบรรดาเมืองโบราณสมัยทวารวดีในภาคกลางที่ผมเคยไปเยี่ยมเยือนมาหลายต่อหลายแห่ง
ไม่เคยพบเคยเห็นใบเสมาเบ้อเริ่มเบ้อร่าขนาดนี้มาก่อน
เหมือนโชคชะตาเป็นใจให้ครับ
หลังจากได้เห็นใบเสมาเมืองฟ้าแดดสงยางครั้งนั้นไม่นาน
ผมก็บังเอิญได้มีโอกาสร่วมเดินทางทัศนศึกษากับคณะสื่อมวลชนในรายการ “อีสาน แหล่งความรู้
อู่อารยธรรม” จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เรานี่แหละ บนเส้นทางอันยาวไกลผ่านแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมหลากหลายนั้นได้ผ่านมาทางเมืองฟ้าแดดสงยางด้วย
โดยได้แวะให้เยี่ยมชมสักการะพระธาตุยาคูและหมู่เสมาหินขนาดใหญ่ที่เก็บไว้ในวัดโพธิ์ชัยเสมาราม
“ใบเสมาใหญ่ที่สุดที่เคยขุดพบ ขนาดเท่ากับรถกระบะ
จมอยู่ใต้ดิน ชาวบ้านขุดเจอแล้วก็ไม่มีปัญญาเอาขึ้นมา เพราะต้องใช้เครื่องมืออย่างปั้นจั่นใหญ่
ๆ มายก ก็เลยต้องเอาดินกลบเอาไว้ตามเดิม”
คำบอกเล่าจากวิทยากรท้องถิ่นผู้ทรงคุณวุฒิระหว่างนำชมทำเอาผมหูผึ่ง
เสียดายว่าเวลาที่ให้แวะนั้นมีน้อย ไม่ได้เที่ยวดูชมรายละเอียดอะไรเท่าไหร่ ได้แต่แอบหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ ว่ามีโอกาสมาด้วยตัวเองเมื่อไหร่จะใช้เวลาดูให้สาสมใจเลยทีเดียว
มาคราวนี้ได้ทำตามที่ตั้งใจเอาไว้ครับ วัน ๆ
ก็เทียวไล้เทียวขื่อชมใบเสมาหินใหญ่ของเมืองฟ้าแดดสงยางที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง เมืองนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
“เมืองเสมา” มีที่มาจากแผนผังของเมืองเป็นวงรี คล้ายรูปใบเสมา แต่บ้างก็ว่าเรียกขานอย่างนี้เพราะเป็นเมืองที่พบเสมาหินอยู่มากที่สุด
ก็แล้วแต่ว่าใครจะเชื่อข้อไหน ทว่าผมน่ะแอบลำเอียงเทใจให้กับข้อหลังมากกว่าครับ
ด้วยความประทับใจกับใบเสมาหินขนาดยักษ์ที่ได้เห็น
ตามข้อมูลที่ได้จากการขุดค้นศึกษาด้านโบราณคดี
เมืองนี้สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ บวกลบคูณหารดูก็อายุอานามประมาณ ๑,๔๐๐
ปีล่วงมาแล้วครับ ตัวเมืองล้อมรอบด้วยคูเมืองที่ขนาบด้วยคันดินสองชั้น วัดโดยรอบมีความยาวประมาณ
๕ กิโลเมตร ปัจจุบันใช้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา ขนาดผังเมืองยาว ๒,๐๐๐ เมตร กว้างประมาณ ๑,๓๕๐ เมตร ขนาดเมืองไม่ใหญ่โตมากแค่ประมาณ
๓๐๐-๕๐๐ ไร่ ภายในบริเวณเมืองเก่าร่องรอยของศาสนสถาน
๑๔ แห่ง สร้างขึ้นตามคติในพุทธศาสนา เป็นศิลปกรรมแบบทวารวดีล้วน
ๆ ผมเที่ยวดูเที่ยวชมจนทั่วแล้ว ส่วนใหญ่ปรักหักพังทลายเหลือแค่ส่วนฐาน
ที่ยังหลงเหลือเห็นเป็นชิ้นเป็นอันก็มีเพียงพระธาตุยาคู
ชาวบ้านเรียกกันว่า “ธาตุใหญ่”
องค์พระธาตุที่เห็นอยู่นี้ปรากฏร่องรอยการสร้างและบูรณะ ๓ ยุคสมัย
ส่วนฐานล่างที่กว้างและใหญ่ที่สุดเป็นสี่เหลี่ยมย่อมุมมีบันไดทางขึ้น ๔ ทิศ
สร้างในสมัยทวารวดี (อยากรู้ว่าเจดีย์แบบทวารวดีที่สมบูรณ์ลักษณะหน้าตาเป็นยังไงต้องไปดูพระธาตุนาดูน
ที่จังหวัดมหาสารคามครับ เขาสร้างจากแบบเจดีย์ทวารวดีตามข้อสันนิษฐานของนักโบราณคดี)
ชั้นถัดขึ้นมาเป็นฐาน ๘ เหลี่ยมสร้างทับลงไปบนฐานสมัยทวารวดี เป็นรูปแบบของสมัยอยุธยา
ส่วนองค์ระฆังและส่วนยอดที่มีลักษณะเป็นบัวซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้น ๆ นั้นสร้างสมัยรัตนโกสินทร์นี้เอง
ดูรวม ๆ แล้วก็สวยงามลงตัวดี เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนครับเห็นแล้วได้อารมณ์ยังไงบอกไม่ถูก
เอาเป็นว่าสวยจนทำให้ผมมายืนชื่นชมได้อยู่ทุกวี่วันทั้งเช้าทั้งเย็นได้ก็แล้วกัน
แต่ละวันได้บรรยากาศที่แตกต่างออกไปไม่ซ้ำเลย
ช่วงกลางวันที่แดดแผดจ้าร้อนจนผิวไหม้ในแต่ละวัน
ผมแอบหลบแดดไปพินิจพิจารณาบรรดาใบเสมาหินขนาดใหญ่ทั้งหลายที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์เมืองฟ้าแดดสงยางในวัดโพธิ์ชัยเสมารามครับ
เรียกพิพิธภัณฑ์ฟังดูอาจจะนึกภาพหรูหรา ความจริงแล้วเป็นเพิงหลังเล็ก ๆ
ชั้นเดียวมุงหลังคาสังกะสีไม่มีฝาผนัง (แต่เขาเรียก “พิพิธภัณฑ์” จริง ๆ นะ มีป้ายติดเอาไว้ด้วย) ในบริเวณแคบ ๆ
จัดตั้งใบเสมาหินขนาดใหญ่เรียงรายเอาไว้รอบผนัง ๓ ด้าน แต่ละชิ้นล้วนแล้วแต่สูงท่วมหัวทั้งนั้น
เท่าที่เคยเห็นมาจากในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ขอนแก่น รวมทั้งที่บริเวณพระธาตุและวัดในเขตเมืองฟ้าแดดสงยางนี้ เสมาหินของเมืองฟ้าแดดสงยางนั้นมีอยู่ด้วยกัน
๖ แบบครับ แบบแรกเป็นใบเสมาแผ่นเรียบ
ทั้งสองด้านของใบเสมาเรียบสนิทหรืออย่างดีก็มีลวดลายกลีบบัวอยู่ตรงฐานด้านล่างนิดหน่อย แบบที่สองเป็นใบเสมามีสัน ลักษณะเหมือนเสมาแบบเรียบแต่ตรงกึ่งกลางจะมีสันนูนขึ้นมา
ด้านล่างเรียบสนิท แบบที่ ๓ ใบเสมารูปเจดีย์
กึ่งกลางใบเสมาแกะสลักเป็นรูปเจดีย์ มีฐานเป็นชั้น ๆ หรือไม่ก็เป็นกลีบบัวซ้อนกัน
แบบที่ ๔ ใบเสมาสี่เหลี่ยมด้านเท่า ลักษณะคล้ายศิลาจารึกหลักที่ ๑
ของพ่อขุนรามคำแหง มีฐานเป็น ชั้น ๆ หรือกลีบบัวซ้อนกัน แบบที่ ๕ ใบเสมาแปดแหลี่ยม
ลักษณะเหมือนกลีบมะเฟือง และแบบที่ ๖ แบบสุดท้ายคือใบเสมาแกะสลักเป็นภาพเล่าเรื่องราวในชาดกและพุทธประวัติ
ที่เก็บรักษาเอาไว้ในอาคารพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดก็เป็นแบบแกะสลักเล่าเรื่องราวนี้แหละครับ
ส่วนแบบอื่น ๆ ทางวัดเอาไปปักเรียงรายเอาไว้รอบอุโบสถ หอระฆัง และตามริมทางเดิน
ใบเสมาหินขนาดใหญ่แต่ละแบบอันพบในเมืองฟ้าแดดสงยาง
มีมากกว่า ๑๓๐ ชิ้นซึ่งกรมศิลปากรได้คัดเลือกชิ้นที่สวยงามและมีคุณค่าทางโบราณคดีขึ้นทะเบียนไว้
แล้วย้ายไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดขอนแก่น (ที่ผมเคยไปดูมานั่นแหละครับ)
บรรดาชิ้นที่หลงเหลืออยู่ให้เห็นอยู่ในเมืองฟ้าแดดสงยางจึงเป็นเพียงส่วนน้อยและโดยมากชำรุด
แต่กระนั้นก็ยังมีชิ้นที่สวยงามควรค่าแก่การชมอยู่หลายชิ้นครับ
ใบเสมาที่ลายจำหลักสวยงามและค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุดในวัดคือใบใหญ่ที่อยู่กึ่งกลาง
เป็นเรื่องราวพุทธประวัติ ตอนพระพุทธเจ้าห้ามพระญาติที่วิวาทแย่งน้ำกันในแม่น้ำโรหิณี
งามขนาดไหนนะหรือครับ ก็ถึงขนาดมีประวัติเป็นเรื่องราวการันตีนั่นแหละ คงจำกันได้สมัยที่ไทยเราเรียกร้องทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์คืนจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะชิคาโก
สหรัฐอเมริกาเมื่อหลายปีก่อน หลังจากโยกโย้อยู่นานทางพิพิธภัณฑ์ศิลปะชิคาโกได้ต่อรองขอแลกเปลี่ยนทับหลังนารายณ์ฯ
กับใบเสมาชิ้นนี้ครับ โชคยังดีที่ทางฝ่ายไทยเราไม่มีใครบ้าจี้ยอมแลกด้วย (ขืนยอมแลกให้ก็บ้าเท่านั้น มีอย่างที่ไหน
อัฐยายซื้อขนมยาย แถมใบเสมาชิ้นนี้ยังมีอายุเก่าแก่กว่าทับหลังนารายณ์ฯ นับร้อยปีอีกต่างหาก)
ชิ้นอื่น ๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่งาม เพียงแต่บางชิ้นสภาพชำรุดแตกหัก
แม้ลวดลายยังคมชัดแต่นึกไม่ออกว่าเป็นเรื่องไหน บางชิ้นลวดลายก็ลบเลือนราง ดูยากว่าเป็นภาพอะไร
กว่าจะดูรู้เรื่องต้องใช้เวลานั่งเพ่งพิจารณากันไม่น้อยละครับ
เท่าที่เห็นส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวจากชาดกทั้งนั้น
ใบเสมาใหญ่ที่มีรูปแพะกับสุนัขอยู่ด้านล่างมาจากเรื่องมโหสถชาดก
ใบย่อมลงมาที่มีรูปบุคคล ๓ คน
คนกลางมีหาบอยู่บนบ่าอีกสองคนนั่งมาจากเรื่องนารทชาดก ใบที่มีรูปบุคคลหนึ่งยืนถือจอบ
อีกคนนั่ง มาจากเรื่องเตมียชาดก ใบที่มีรูปบุคคลชายและหญิงยืนคู่กัน โดยฝ่ายหญิงทูนของบางอย่างไว้บนศีรษะมาจากเรื่องมโหสถชาดก
บนลานวัดใต้ต้นโพธิ์ยังมีเสมาหินที่จำลองจากชิ้นเยี่ยมของเมืองฟ้าแดดสงยางที่นำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ขอนแก่น เห็นปุ๊บจำได้ปั๊บครับ เป็นภาพพุทธประวัติตอน “พิมพาพิลาป”
เล่าเรื่องราวตอนพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาเยี่ยมเมืองกบิลพัสดุ์
พระนางยโสธราพิมพารับเสด็จโดยสยายพระเกศาลงเช็ดพระบาท ท่ามกลางแวดล้อมของพระราชบิดา
พระมาตุจฉา และพระโอรสราหุล ผมจำได้ดี
เพราะตอนที่ไปดูที่ขอนแก่น ซื้อใบเสมาจำลองใบเล็ก ๆ รูปเดียวกันนี้จากพิพิธภัณฑ์ฯ กลับมาเป็นที่ระลึก
นอกจากนี้ยังมีเสมาจำลอง “พิมพาพิลาป”
อีกเวอร์ชัน (เรื่องเดียวกัน แต่ฝีมือไม่เหมือนกัน) ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน
รวมทั้งใบเสมาจำลองที่เป็นเรื่องเตมียชาดก ปักไว้โคนต้นโพธิ์ ด้วยลายจำหลักที่มองเผิน
ๆ คล้ายภาพเทวดา ทำให้มีร่องรอยชาวบ้านมาจุดธูปเทียนบูชา ถวายพวงมาลัยดอกไม้เอาไว้ด้วย
แถวพระธาตุยาคูที่ผมเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็มีชิ้นสวย
ๆ เหมือนกันครับ คือใบเสมาทางทิศใต้ของพระธาตุยาคู จำหลักเป็นรูปบุคคลในกริยากำลังลากจูงบางอย่างในป่ารกทึบ
ที่ผู้สันทัดกรณีว่ากันว่าเป็นภาพจากเรื่องเวสสันดรชาดก ตอนชูชกขอพระกัณหาชาลีจากพระเวสสันดรแล้วจูงเดินทางมาในป่า
ท่วงทีลีลาการเดินนั้นทะมัดทะแมงได้อารมณ์มาก
สมัยที่พบใบเสมาเมืองฟ้าแดดสงยางใหม่ ๆ เกิดปริศนาเป็นที่สงสัยในหมู่นักโบราณคดีว่าก็คือทำไมถึงได้พบใบเสมาหินขนาดใหญ่มากมายอยู่ในเมืองโบราณฟ้าแดดสงยางแห่งนี้
ทั้งที่เมืองโบราณสมัยทวารวดีอื่น ๆ
ในภาคกลางที่ถูกพบมาก่อนไม่เคยพบว่ามีใบเสมาหินใหญ่
คำตอบที่นักโบราณคดีพบเมื่อไม่นานมานี้ก็คือ
ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรืออีสานนี้เคยมีลัทธิความเชื่อเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีการกำหนดเขตศักดิ์สิทธิ์ในการประกอบพิธีกรรมด้วยการใช้แท่งหินขนาดใหญ่ปักแสดงอาณาเขต
เรียกว่าวัฒนธรรมหินตั้ง
ต่อมาเมื่อรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาจากอินเดีย
ก็เลยมีการผสมผสานความเชื่อแบบเก่าในการกำหนดเขตศักดิ์สิทธิ์ในการประกอบพิธีกรรมมาใช้กับพุทธศาสนา
มีการแกะสลักเรื่องราวทางพุทธศาสนาลงในใบเสมาหินที่กำหนดเขต ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
จังหวัดอุดรธานีที่มีร่องรอยของทั้งเขตศักดิ์สิทธิ์แบบหินตั้ง
และการดัดแปลงเขตศักดิ์สิทธิ์มาเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาในสมัยทวารวดี
วัฒนธรรมหินตั้งนี้ไม่มีในภาคกลาง เมืองโบราณทวารวดีในภาคกลางก็เลยไม่พบเสมาหินใหญ่แบบนี้
ผมเคยเห็นภาพถ่ายเก่าเมื่อครั้งสำรวจพบเมืองฟ้าแดดสงยาง
น่าตื่นตาตื่นใจมากครับ ใบเสมาหินใหญ่นับร้อยปักเรียงรายเต็มไปหมด อดไม่ได้ที่จะจินตนาการไปถึงสมัยที่นครแห่งนี้ยังรุ่งเรืองอยู่
ว่าจะงดงามขนาดไหน เจดีย์แบบทวารวดีงดงามตระหง่านเรียงราย เสียงระฆังดังหง่างเหง่ง
ผู้คนมากมายในเครื่องแต่งกายงดงามต่างชวนกันเข้าวัดไหว้พระทำบุญ ในงานประเพณีจัดขึ้นประจำปีที่รอบข้างประดับประดาอย่างงดงามอลังการ
ทุกเย็นย่ำ ผมถึงชอบไปยืนมองอาทิตย์ลับฟ้าในบริเวณเมืองฟ้าแดดสงยาง
ท่ามกลางความมืดและเงาอันสลัวรางของซากปรักหักพัง
สิ่งที่ได้พบเห็นผสานผสมกับจินตนาการ บางครั้งคล้ายปรากฏเป็นภาพเหมือนดังความฝันของนครอันเรืองโรจน์เมื่อพันกว่าปีก่อนขึ้นมาให้เห็นอยู่ตรงหน้า
สักการะสามพระไสยาสน์
“สมัยทวารวดีนี่ทำไมชอบสร้างแต่พระนอนนะ”
ผมนึกไปถึงประโยคคำถามของเพื่อนที่ร่วมเดินทางมากับผม
เพื่อเก็บข้อมูลแหล่งวัฒนธรรมทวารวดีเอามาทำสารคดีอนุสาร อ.ส.ท. เมื่อหลายปีก่อน ครั้งนั้นเจ้าเพื่อนยากของผมเกิดสงสัยขึ้นมาหลังจากตระเวนไปสักการะพระนอนทวารวดีองค์ใหญ่ที่วัดธรรมจักรเสมาราม
ในเมืองเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา แล้วก็มาพระนอนทวารวดีที่ภูเวียง ก่อนจะมาแวะสักการะพระนอนที่พุทธสถานภูปอ
กาฬสินธุ์นี่อีก
“ไม่ใช่ว่าทวารวดีสร้างแต่พระปางไสยาสน์หรอก
พระปางอื่นก็มี อย่างที่ถ้ำฤาษี เขางู ราชบุรี ยังเป็นพระพุทธรูปทวารวดีปางปฐมเทศนาเลย จริง ๆ แล้วก็อาจจะมีปางอื่น
ๆ อีกก็ได้ เพียงแต่ปางอื่น ๆ อาจปรักหักพังง่ายกว่า พระปางไสยาสน์ก็เลยเหลือให้เห็นอยู่มากกว่า”
จำได้ว่าตอนนั้นผมแสดงความเห็นกับเพื่อนไปประมาณนี้ ก่อนจะพากันเข้าไปสักการะพระนอนองค์แรกที่ประดิษฐานอยู่เชิงเขาทางขึ้น ภายในอาณาบริเวณของวัดอินทร์ประทานพร
ใต้เพิงหินที่ทางวัดสร้างศาลาคลุมไว้ประดิษฐานพระพุทธรูปโบราณปางไสยาสน์
ฝีมือช่างจำหลักจากสมัยทวาราวดี ตามประวัติว่าสร้างขึ้นประมาณ พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๔
องค์พระนอนตะแคงข้างขวาตามแบบสีหไสยา พระเศียรประทับบนพระหัตถ์และพระกรข้างขวา
หันสู่ทิศเหนือพระพักตร์หันสู่ทิศตะวันตก ทางวัดเอาสีทองมาทาองค์พระไว้จนอร่าม
แม้ดูขัดตาแต่ความงามของพระพุทธรูปนั้นก็ไม่ลดทอนลงไป
ส่วนที่เสริมให้องค์พระดูโดดเด่นนั้นอยู่ตรงที่ไม่ใช่แกะสลักแต่รูปองค์พระลอย
ๆ เท่านั้น แต่ยังสลักแผ่นพื้นหินโดยรอบให้เป็นผ้าปูลาดรองพระองค์
และหมอนรองหนุนพระเศียร รวมทั้งรองพระบาททั้งคู่ รอบ ๆ พระวรกายและพระเศียรสลักเป็นรูปประภาวลี
รอบพระเศียรสลักรูปดอกไม้เป็นระยะ ทำให้แลดูคล้ายเป็นรัศมี
ผมกลับมาสักการะอีกครั้งในวันนี้ ทุกอย่างยังคงงดงามเหมือนเดิม
และคงเพราะคราวก่อนมัวพูดคุยชื่นชมความงามของพระนอนองค์แรกที่ได้เห็นกันนี่แหละครับ ทำให้ผมจำไม่ได้ถึงความเหน็ดเหนื่อยของการเดินขึ้นไปสักการะพระพุทธไสยาสน์องค์ที่ ๒ ซึ่งประดิษฐานอยู่บนภูปอ อันเป็นเขาหินทรายที่ทอดตัวตามแนวทางตะวันออกตะวันตก โดยฟากฝั่งเขาด้านทิศเหนือเป็น เขตอำเภอสหัสขันธ์ ด้านทิศใต้เป็นเขตอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ยอดเขาสูง ๓๓๖ เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
และคงเพราะคราวก่อนมัวพูดคุยชื่นชมความงามของพระนอนองค์แรกที่ได้เห็นกันนี่แหละครับ ทำให้ผมจำไม่ได้ถึงความเหน็ดเหนื่อยของการเดินขึ้นไปสักการะพระพุทธไสยาสน์องค์ที่ ๒ ซึ่งประดิษฐานอยู่บนภูปอ อันเป็นเขาหินทรายที่ทอดตัวตามแนวทางตะวันออกตะวันตก โดยฟากฝั่งเขาด้านทิศเหนือเป็น เขตอำเภอสหัสขันธ์ ด้านทิศใต้เป็นเขตอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ยอดเขาสูง ๓๓๖ เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
มาคราวนี้เดินขึ้นคนเดียวไม่มีเพื่อนคุย ทำให้รู้สึกว่าบันไดสูงชันขึ้น
แถมระยะทางยังยาวไกลมาก เดินขึ้นไปอีก ต้องหยุดหอบซี่โครงบานไปตลอดทางครับ ระหว่างทางมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล ผมเลยอาศัยพักเหนื่อยชมวิวไปเรื่อย
ๆ นับขั้นบันไดไปด้วย ปรากฏว่าเดินขึ้นไปกว่าจะถึงก็ ๔๐๐ กว่าขั้นเชียวละครับ
แทบตาย
ยังดีที่บนยอดเขาลมพัดเย็นสบาย เห็นองค์พระนอนเด่นสง่าด้วยสีทองที่ทางวัดทาเอาไว้อยู่ใต้เพิงผาแล้วหายเหนื่อยครับ
งามจริง ตามประวัติว่าสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ น่าจะได้แรงบันดาลใจจากพระนอนองค์แรกด้านล่าง แต่องค์ด้านบนนี้ศิลปกรรมเป็นแบบทวารวดีผสมผสานกับสุโขทัย
ด้วยเส้นโค้งเว้า เน้นสัดส่วนและมีลักษณะอ่อนช้อยกว่า องค์พระนอนตะแคงขวาตามแบบสีหไสยาหันพระเศียรสู่ทิศเหนือค่อนมาทางตะวันตก
เช่นเดียวกับพระนอนองค์ล่าง ช่างได้สลักหินที่รองรับใต้องค์พระ
ให้เป็นแท่นขอบเหลี่ยมต่อด้วยขาคู่หนึ่งลักษณะมองดูเป็นเตียง
บรรยากาศสงบเงียบรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปในสมัยทวารวดี
อดจินตนาการไปไม่ได้ว่าผู้ที่ขึ้นมาสร้างรวมทั้งผู้ที่ขึ้นมาสักการะพระพุทธรูปองค์นี้จะต้องมีศรัทธาอย่างมาก
เพราะสมัยก่อนไม่มีบันไดต้องปีนป่ายบุกป่าผ่าดงขึ้นมา
สมัยเรามีบันไดยังเล่นเอาเหนื่อยไปเหมือนกัน
ขนาดขากลับลงมากว่าจะถึงข้างล่างยังเล่นเอาผมขาสั่น
ใต้ร่มเงาไม้ลึกเข้าไปยังเรียงรายด้วยอาคารปฎิบัติธรรม
โรงทาน สร้างด้วยไม้สวยงาม ลัดเลาะตามทางเดินผ่านมณฑปพระพุทธบาทและวิหารสังฆนิมิตรที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและพระเครื่องรุ่นต่างๆ
ที่หายากจำนวนมาก ไปสุดเพิงผาทางทิศใต้มีบันไดทางเดินลงไปหน้าผาอันเป็นที่ประดิษฐานรูปองค์พระไสยาสน์
ที่มีความแปลกอยู่ตรงที่ตะแคงซ้าย ผิดกับพระพุทธไสยาสน์โดยทั่วไปที่ตะแคงขวา แกะสลักบนแผ่นหินหันเศียรไปทางทิศตะวันออก
องค์พระมีความยาว ๔ ศอก
ผู้สันทัดกรณีบางส่วนว่าเป็นพระพุทธรูป
แต่ที่ตะแคงซ้ายเพราะว่าผู้สร้างตั้งใจให้หันพระเศียรไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
เพื่อจะได้สอดคล้องกับเรื่องราวตอนปรินิพพานในพุทธประวัติ
แต่บางส่วนก็ว่าไม่ใช่พระพุทธรูปแต่เป็นพระอรหันต์ผู้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย
พระโมคคัลลานะ โดยอ้างว่าองค์พระไม่มีพระเมาลีอันเป็นลักษณะของพระพุทธเจ้า
จึงน่าจะเป็นพระอัครสาวกมากกว่า
ยังมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับองค์พระนอนว่า ประมาณ พ.ศ. ๒๒๓๕ พระเจ้าศรีโคตรบูร
กษัตริย์ขอม ต่อยอดพระธาตุพนมสำเร็จ มีพระราชดำริจะจัดพิธีสมโภชฉลอง จึงแจ้งข่าวแก่ขอมทั่วไปให้มาร่วมฉลองครั้งนี้
ฝ่ายขอมทางเขมรต่ำ มีนายสาเป็นหัวหน้าพากันรวบรวมทรัพย์สมบัติ และผู้คนเดินทางมาเพื่อร่วมการกุศล
พอมาถึงบ่อคำม่วง ห่างจากถ้ำภูค่าวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๙ เส้น ก็พากันหยุดพักและทราบข่าวว่า
การสมโภชพระธาตุพนมเสร็จสิ้นเสียแล้ว นายสาจึงปรึกษาพรรคพวกแล้วตกลงกันว่าให้ฝังสมบัติที่พากันนำมาไว้ที่ภูค่าว
และได้สลักรูปพระโมคคัลลานะไว้ที่ถ้ำแห่งนี้เป็นที่หมาย
จากนั้นตั้งปริศนาไว้ว่า "พระหลงหมู่อยู่ภูถ้ำบก แสงตาตกมีเงินเป็นแสน ไผหาได้กินทานหาแหน่ เหลือจากนั้นกินเลี้ยงบ่อหลอ" ใครที่ไขปริศนาที่ว่านี้ได้ก็จะพบกับทรัพย์สมบัติที่ซ่อนเอาไว้
ตัวผมน่ะฟังแล้วขอสละสิทธิ์ไปเป็นคนแรกเลย ไม่ใช่ว่าเป็นคนดีไม่อยากได้สมบัตินะครับ
ทว่าแค่ฟังคำปริศนาก็งงไป ๑๕ ตลบแล้ว เพราะไม่รู้ภาษาอีสาน
แล้วจะมีปัญญาที่ไหนไปไขปริศนาขุมทรัพย์ลายแทงอะไรกับเขาได้
ขออดีตอันรุ่งเรืองจงคืนกลับมา
กลิ่นธูปควันเทียนวูบมาตามสายลม ทำเอาผมตื่นจากห้วงภวังค์ที่เพลิดเพลินอยู่กับภาพจินตนาการวันเวลาอันรุ่งเรืองของเมืองฟ้าแดดสงยางในกลางความมืด
กำลังคิดว่าจะเจอดีเข้าแล้วเสียละมั้งคราวนี้ ก็พอดีเห็นเงาตะคุ่มของคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในบริเวณพระธาตุยาคู
พ่อเฒ่าแม่แก่เดินนำหน้าพาคู่ชายหญิงสามีภรรยาถือธูปเทียนวนเวียนสักการะตามมุมต่าง
ๆ ที่ตั้งใบเสมารอบองค์พระธาตุ
ก่อนจะพากันคุกเข่าลงตรงลานด้านหน้าที่เรียงรายไปด้วยตุ๊กตาแก้บนรูปช้างม้าวัวควายตัวใหญ่
ๆ แว่วเสียงพ่อเฒ่าแม่แก่กล่าวนำให้คู่สามีภรรยาว่าตามเป็นภาษาท้องถิ่น
แอบเงี่ยหูฟังพอจะจับใจความได้ว่าทั้งสองคนแต่งงานอยู่กินกันมานาน ยังไม่มีลูก
จึงอยากขอพรจากองค์พระธาตุให้มีลูกสมใจในเร็ววัน
เห็นอย่างนี้แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ตั้งหลายวัน
ผมยังไม่ได้อธิษฐานขออะไรเลย ว่าแต่จะขออะไรดี จะขอเงินเดือนขึ้นสองขั้นก็เพิ่งจะได้ไป
ถ้าอธิษฐานได้ ผมคงไม่ขออะไรมาก ขอแค่ให้ความรุ่งเรืองของเมืองฟ้าแดดสงยางให้คืนกลับมาอีกครั้งก็แล้วกัน
ไม่ใช่คืนชีพนครสมัยทวารวดีที่ล่มสลายไปเนิ่นนานนับพันปีขึ้นมาใหม่ เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้หรอกครับ แต่อยากให้ฟื้นคืนชีพในลักษณะที่มีผู้สนใจเห็นความสำคัญ
สร้างเป็นศูนย์ข้อมูลศึกษาวัฒนธรรมทวารวดีเมืองฟ้าแดดสงยางและเมืองทวารวดีอื่น ๆ
ในภาคอีสาน เพราะเมืองโบราณสมัยทวารวดีที่มีลักษณะเฉพาะโดดเด่นด้วยใบเสมาหินทรายขนาดใหญ่ยักษ์นับร้อยนับพันแถมอายุเก่าแก่นับพันปีอย่างนี้
เทียบชั้นกันกับระดับโลกแล้วก็คงไม่น้อยหน้าแหล่งอารยธรรมสำคัญไม่ว่าที่ไหนทั้งนั้น
ชอแค่นี้แหละครับ ให้เป็นจริงสักวันเถิดเจ้าประคู้ณ สาธุ
น. ณ ปากน้ำ.ศิลปะบนใบเสมา.กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๒๔.
น. ณ ปากน้ำ. ศิลปะโบราณในสยาม.กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๓๗.
ธิดา สาระยา.ทวารวดี ต้นประวัติศาสตร์ไทย.กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๔๕.
คู่มือนักเดินทาง
รถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๒ กรุงเทพฯ-สระบุรี-นครราชสีมา ไปจนถึงอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เลี้ยวขวาทางหลวงหมายเลข ๒๓ไปถึงจังหวัดมหาสารคาม จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๒๑๓ ตรงไปเรื่อย ๆ จนถึงจังหวัดกาฬสินธุ์ รวมระยะทางประมาณ ๕๑๙ กิโลเมตร
รถโดยสาร จากกรุงเทพฯ
ที่สถานีขนส่งหมอชิต ๒ มีรถโดยสารปรับอากาศในเส้นทางกรุงเทพฯ-กาฬสินธุ์ทุกวัน
อัตราค่าโดยสาร VIP ๒๔ ที่นั่ง ๖๓๓ บาท ธรรมดา ๔๖ ที่นั่ง ๓๓๐ บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๘ ชั่วโมง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทขนส่ง จำกัด โทรศัพท์ ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๔๑-๔๘ และ ๐
๒๙๓๖ ๒๘๕๒-๖๖ หรือที่เว็บไซต์ www.transport.co.th
รถไฟ จากสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) มีขบวนรถไฟรถเร็ว รถด่วน และรถดีเซลรางปรับอากาศไปลงที่สถานีขอนแก่น จากนั้นต่อรถโดยสารจากขอนแก่นไปยังกาฬสินธุ์อีกประมาณ ๗๕ กิโลเมตร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย สายด่วน ๑๖๙๐ และ ๐ ๒๒๒๐ ๔๓๓๔ ๐ ๒๒๒๐ ๔๔๔๔ หรือที่เว็บไซต์ www.railway.co.th
หมายเหตุ อัตราค่าโดยสารอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ กรุณาตรวจสอบอีกครั้งก่อนออกเดินทาง
เมืองฟ้าแดงสงยาง อยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปตามเส้นทางหลวงสาย ๒๑๔ (กาฬสินธุ์-ร้อยเอ็ด) ระยะทางประมาณ ๑๙ กิโลเมตร
พุทธสถานภูปอ
อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ห่างจากจังหวัดกาฬสินธุ์ไปทางทิศเหนือประมาณ ๒๘ กิโลเมตร
ตามเส้นทางหมายเลข ๒๓๑๙
Best Casinos with Slots and Casino Games in the US - Wooricasinos
ตอบลบWith online slots, you can play casino games in the USA without risking any real money. gri-go.com There are online kadangpintar casinos that let wooricasinos.info you septcasino play ford fusion titanium slots and