วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เพลินไพรไฮเทคเมืองสิงคโปร์


ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
บันทึกภาพด้วยกล้อง BenQ G1


สีเขียวของแมกไม้กับร่มเงาของต้นจามจุรีขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาตระหง่านอยู่สองฟากฝั่งถนน เป็นภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาหลังจากผมขึ้นนั่งแท็กซี่คันใหญ่แล่นออกมาจากสนามบินนานาชาติชางอี ของสิงคโปร์

เชื่อว่าใครก็ตามที่เดินทางมาเป็นครั้งแรก คงจะเกิดความรู้สึกแบบเดียวกันกับผมครับ นั่นก็คือ “เซอร์ไพรซ์” 
  
ต้นจามจุรีนั้นไม่ถือว่าแปลก สำหรับผมที่เป็นนิสิตเก่าจุฬาฯ เนื่องจากสมัยเรียนในมหาวิทยาลัยมีต้นจามจุรีใหญ่ ๆ ให้เห็นอยู่เยอะแยะชินตา แต่ที่ว่า “เซอร์ไพรซ์” ก็เพราะไม่คิดไม่ฝัน ว่าจะได้พบกับถนนซูเปอร์ไฮเวย์ที่ครึ้มเขียวและร่มรื่นแบบนี้ ในเมืองสุดยอดทันสมัยไฮเทคอย่างสิงคโปร์ เนื่องจากพื้นที่ทั้งหมดทีมีแค่เพียง ๖๙๗ ตารางกิโลเมตร ที่ดินบนเกาะสิงคโปร์จึงมีราคาแพงยิ่งกว่าทองเสียอีก ใครจะไปคิด ว่าเขาจะยอมใช้พื้นที่แพง ๆ อย่างนี้มาปลูกต้นไม้  (ถ้าเป็นบ้านเราละไม่มีทางแน่ มีแต่ตัดต้นไม้ เอาที่ดินไปสร้างห้างสรรพสินค้า หรือไม่ก็คอนโดมิเนียมเท่านั้น) 
 ทว่าตรงกันข้ามกับไทยเรา ชาวสิงคโปร์เขาให้ความสำคัญกับต้นไม้มากจริง ๆ  ครับ  เห็นได้ชัดๆ เลย เข้าไปในเมืองนี่ ตามริมทาง ที่ว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ  เป็นต้องปลูกต้นไม้ทำสวนหย่อม ในโรงแรมบางแห่งสวนหย่อมแทบจะมองดูเป็นป่าอเมซอนด้วยซ้ำ เพราะมีต้นไม้สูงใหญ่แผ่กิ่งก้านรากใบร่มครึ้มทะมึนเต็มไปหมด คงด้วยความที่เป็นเมืองบนเกาะไม่ค่อยมีธรรมชาติ ทำให้ผู้คนโหยหาสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า พืชพรรณไม้น้อยใหญ่กลายเป็นสิ่งมีคุณค่ามากสำหรับชาวสิงคโปร์ ถึงขนาดลงทุนจำลองผืนป่าสร้างเป็นสวนพฤกษศาสตร์มหึมาขึ้นมากลางใจเมือง ที่ผมจะชวนคุณผู้อ่านไปเที่ยวด้วยกันนี่แหละครับ


  จากโรงแรมแพน แปซิฟิคที่พัก ผมเดินลัดเลาะเรื่อยๆ มาตามทาง ผ่านสวนยูธโอลิมปิค ข้ามสะพานโค้งทันสมัยด้วยโครงสร้างโลหะพลางแวะถ่ายภาพตามระเบียงชมวิวบนสะพานที่มีอยู่เป็นระยะ ก่อนเข้าสู่ศูนย์การค้าของโรงแรมมารินา เบย์ แซนด์  ตึกสูงที่เป็นสัญลักษณ์ใหม่ของสิงคโปร์ อันโดดเด่นด้วยเรือลำใหญ่บนยอดตึกเรียงราย ๓ หลัง ทางเดินลอยฟ้าพาผมข้ามทะลุล็อบบี้ของโรงแรม ออกไปยัง Garden by the Bay สวนพฤกษศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ ที่เพิ่งเปิดให้ชมเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จากสะพานลอยเดินถนน มองไปเห็น  โดมกระจกโค้งรูปทรงแปลกตา รายรอบด้วย Supertrees หรือที่ผมเรียกแบบแปลเป็นไทยเอาเองว่า “อภิมหาต้นไม้ “ตั้งตระหง่านเรียงรายอยู่ในบริเวณแต่ไกล


เจ้า “อภิมหาต้นไม้” นี่คือโครงสร้างเหล็กขนาดยักษ์ ทำเป็นทรงต้นไม้หลายขนาด มีความสูงตั้งแต่ ๒๕ เมตรไปจนถึง ๕๐ เมตร (เทียบได้ประมาณกับตึกสูง ๘ ชั้นถึง ๑๖ ชั้น)  ที่ผมเห็นนี่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้าง ยังไม่เรียบร้อยดี แต่เห็นว่าเมื่อสร้างเสร็จ จะมีทั้งหมด ๑๘ ต้น  บนโครงสร้างนี้จัดทำเป็น “สวนแนวตั้ง” ปลูกต้นไม้ที่เป็นพืชเมืองร้อน ทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ และเฟิร์น 

เจ้าต้นไม้ยักษ์พวกนี้ได้ยินเขาว่าสร้างเพื่อช่วยให้ร่มเงา รักษาความชุ่มชื้นในบริเวณสวนในเวลากลางวัน ส่วนในยามค่ำคืน ก็จะประดับประดาอย่างงดงามด้วยแสงไฟนานาสีสัน ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษให้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ สร้างกระแสไฟฟ้าให้กับตัวเองตลอดจนระบบน้ำหล่อเลี้ยงทำความเย็น  แถมยังมีทางเดินยกระดับเชื่อมต่อ Supetrees แต่ละต้น ต่อไปนักท่องเที่ยวจะสามารถเดินเที่ยวชมบริเวณสวนโดยรอบจากที่สูง และบนต้นที่สูงสุดคือ ๕๐ เมตร จะทำเป็นจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของอ่าวได้กว้างไกลรอบทิศทาง   

เดินเข้าไปตามทางเดิน เข้าสู่บริเวณสวน Garden by the bay  ก็ต้องทึ่งครับ กับความยิ่งใหญ่ที่ได้เห็น สมกับที่ได้ยินมาว่าโครงการนี้ดูแลโดยคณะกรรมการดูแลอุทยานแห่งชาติ (National park Committee) ของรัฐบาลสิงคโปร์เองเลย แถมออกแบบและควบคุมงานโดยบริษัทภูมิสถาปัตย์ของอังกฤษ  แค่ทางเดินก็ “อินเตอร์” แล้ว เพราะจัดเป็นสวนนานาชาติ  เท่าที่เห็นเป็นสวนจีน สวนอินเดีย  ไม่รู้มีสวนไทยด้วยหรือเปล่า พอดีระหว่างเดินไปฝนโปรยปรายลงมา ผมเลยไม่ค่อยมีเวลาเดินดูได้ไม่ทั่ว  ถือโอกาสแวะหลบฝนนั่งกินอาหารเติมพลังที่ร้าน Bekerzin ภัตตาคารของสวน เดินเข้าไปเห็นแต่นักท่องเที่ยวฝรั่งนั่งกินกันอยู่เต็มร้าน ราคาแพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกันครับ แค่อาหารจานเดียวกับโค้ก ๑ กระป๋อง ซัดไปเกือบพัน(บาท)  เล่นเอาตัวเบา


อิ่มหมีพีมันค่อยมีเรี่ยวแรงเดินเที่ยวชม จุดสำคัญของสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้มีอยู่สองส่วนใหญ่ ๆ คือ คือ โดมป่าฝน  (Cloud Forest dome)  และโดมดอกไม้ ( Flower Dome) ซึ่งทั้งสองแห่งนี้เก็บค่าเข้าชม ก็เลยต้องเข้าคิวซื้อตั๋วที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อน เคานเตอร์แยกเป็นสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในสิงคโปร์ (resident) ซึ่งขณะซื้อตั๋วต้องโชว์บัตรประจำตัว จะได้ส่วนลดราคาบัตรจาก ๒๘ เหลือแค่ ๒๐ ดอลล่าร์สิงคโปร์  กับนักท่องเที่ยว (Visitor) ที่ต้องไปอีกเคานเตอร์  ที่สำคัญจ่ายเต็มราคาครับ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ ๗๐๐ บาท  สำหรับ ๒ โดม


ซื้อบัตรเสร็จสรรพผมเลือกเดินเข้าโดมป่าฝนก่อน เข้าประตูไปก็ต้องตื่นตะลึงกับสายน้ำที่ถาโถมลงจากหน้าผาสูงของภูเขาจำลอง ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางโดมกระจก เสียงซู่ซ่าและละอองน้ำที่กระเซ็นเข้ามาสัมผัสผิว  พร้อมๆ กันกับเสียงนกร้องจุ๊บ ๆ จิ๊บ ๆ แว่วมา  ก้าวเท้าเดินไปตามทางพลางหันซ้ายหันขวามองหานก สักพักผมถึงเห็นว่าเสียงเจื้อยแจ้วที่ได้ยินนั้นมาจากลำโพงเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ตามใต้ต้นไม้ริมทาง ก็ต้องชมเชยว่าทำเขาบรรยากาศแวดล้อมได้สมจริงสมจังมาก 


 ภูเขาจำลองนั้นจะว่าไปไม่เน้นทำเหมือนภูเขาเสียทีเดียว มีลักษณะเป็นแค่โครงภูเขาโปร่ง ๆ คล้ายอาคารจอดรถ มองเห็นชั้นต่าง ๆ ได้ แต่ที่น่าตื่นตาตื่นใจก็คือบนผนังของภูเขาจำลองทุกด้านดารดาษไปด้วยไม้ดอกนานาชนิด หลากสีสันสะพรั่งบานชูช่อไสวกันอยู่เต็มพรืดไปหมดแทบทุกตารางนิ้ว ที่สนุกคือเราสามารถขึ้นไปข้างบนเพื่อไปชมความงามอย่างใกล้ชิดได้ เดินตามทางชมไปเรื่อย ๆ พอใกล้ครบรอบจะเห็นทางขึ้นลิฟท์ไปด้านบน หรือใครขยันเดินจะขึ้นบันไดไปก็ได้ (แต่ไม่ยักเห็นมีใครขึ้นบันได รวมทั้งผมด้วย)


 ลิฟท์จะพาขึ้นไปถึงแค่ชั้น ๖ แต่ออกจากลิฟท์แล้วยังมีบันไดทางเดินขึ้นไปชั้นบนสุดคือชั้น ๗ ได้อีก เหนือดาดฟ้าเป็นลานกว้างมีบ่อน้ำ จัดแสดงพืชพรรณแปลก ๆ ไว้อย่างน่าสนใจ อย่างแนวกำแพงเฟิร์น เกาะหม้อข้าวหม้อแกงลิง ระเบียงกล้วยไม้สีสันสวยงามแปลกตา จากชั้น ๗  ผมค่อย ๆ เดินวนลงมาเรื่อยๆ ตามระเบียงทางเดินอลูมิเนียมเรียกว่า Cloud Walk ที่ทอดโค้งเลียบเลาะลงมาตามริมหน้าผา ระหว่างทางก็จะมีหมู่มวลบุบผชาตินานาพรรณสะพรั่งบานอยู่ในม่านหมอกสีขาวที่ห่มคลุม ซึ่งหมอกนี้ก็เกิดจากการสร้างขึ้นโดยเครื่องฉีดละอองน้ำที่ติดตั้งไว้เรียงราย ทำงานแบบอัตโนมัติ แต่ก็ทำได้บรรยากาศไม่เลวทีเดียว ดูเผิน ๆ เหมือนกับเดินอยู่ในม่านหมอกจริง ๆ


ลงมาอีกระดับมีจุดชมทิวทัศน์น้ำตกจากด้านบน ทำเป็นระเบียงยื่นออกไปในน้ำตกให้นักท่องเที่ยวได้เดินออกไปสัมผัสกับสายน้ำอย่างใกล้ชิด ถัดลงมาอีกชั้นจะเป็นโถงนิทรรศการถาวร จัดแสดงหินงอกหินย้อยเรียงรายอยู่กลางโถงนับสิบแท่ง มีทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ ทั้งสีขาวเหมือนน้ำแข็ง สีน้ำตาล  และที่เป็นผลึก พร้อมคำบรรยาย ไม่รู้ว่าไปรวบรวมมาจากที่ไหนเหมือนกัน เพราะสิงคโปร์เองเป็นเกาะ ไม่น่าจะมีภูเขาและถ้ำ (หวังว่าคงไม่ได้แอบไปตัดมาจากถ้ำในประเทศไทยหรอกนะ) 


ลงมาถึงชั้นล่างสุด คือชั้นใต้ดินเป็นห้องฉายวีดิทัศน์สารคดีเรื่อง +5 degree  นำเสนอเรื่องราวที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่านับตั้งแต่ปีนี้ไป อุณหภูมิโลกในแต่ละปี จะเพิ่มขึ้น จนท้ายที่สุดในปีค.ศ. ๒๑๐๐ จะเพิ่มไปถึง ๕ องศาเซลเซียสพอดี  บรรดาพืชและสัตว์ในโลกจะค่อย ๆ ล้มหายตายจาก  ทำอย่างไรจึงจะลดโลกร้อนได้ ไม่ให้ถึงวันนั้น ถือเป็นการสร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ธรรมชาติส่งท้ายให้กับผู้มาเยือน ก่อนที่เดินผ่านสวนหย่อมสู่ทางออก




ออกจากโดมป่าฝน ผมก็เกร่มาเข้าโดมดอกไม้ต่อ แค่ปากทางเข้าก็ตะลึงอีกแล้วครับ เพราะเป็นจอภาพเรียงรายสองฟากฝั่ง แสดงวีดิทัศน์แสดงการแบ่งบานของดอกไม้หลากหลายชนิด น่าตื่นตาด้วยสีสันสดใส  จากนั้นเมื่อเข้าไปภายในก็จะพบกับการจำลองบรรยากาศจากหลากหลายภูมิภาคของโลกทั้งในแบบเมดิเตอร์เรเนียนหรือเขตกึ่งแห้งแล้ง เช่น แอฟริกาใต้ แคลิฟอร์เนีย และบางส่วนของสเปนและอิตาลี 





คนที่ชอบดอกไม้น่าจะชอบมากๆ เพราะสารพัดสารพันดอกไม้แปลกหูแปลกตา ไม่เคยเห็นที่ไหน ในสวนนี้มีเพียบครับ ขนาดผมไม่ค่อยสนใจเรื่องดอกไม้ยังอดชื่นชอบไม่ได้

ภายในโดมแต่ละมุมยังจัดเป็นสวนในรูปแบบต่างๆอีกมากมาย บรรยายไม่ถูกครับ เพราะผมเองไม่ค่อยมีความรู้เรื่องจัดสวนและเรื่องต้นไม้ใบหญ้า จะเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คงต้องว่าในโดมนี้คล้าย ๆ งานมหกรรมพืชสวนโลก ราชพฤกษ์ ที่เชียงใหม่บ้านเรานั่นแหละ แต่อาณาบริเวณเล็กกว่า




ตรงกึ่งกลางสวนยังจัดสร้างเป็นจุดสำหรับถ่ายภาพบรรยากาศแบบสวนดอกไม้ในฟาร์มชนบท ใช้ผลิตผลในไร่จำพวกข้าวโพด ฟักทอง ฟางข้าวมาประดับประดาทำเป็นตุ๊กตารูปคน รูปกระต่าย กระท่อมสไตล์ชนบทของยุโรป นักท่องเที่ยวชื่นชอบมาถ่ายภาพกันมากครับจุดนี้ โดยเฉพาะวัยรุ่นชาวสิงคโปร์ เห็นมาโพสต์ท่ากันอยู่เป็นกลุ่ม ๆ

เพลิดเพลินกับสีสันของไม้ดอกไม้ประดับจนลืมเวลา เหลือบมองนาฬิกาข้อมืออีกทีผ่านไปครึ่งค่อนวันไปแล้ว ค่อยมารู้สึกตัวว่าเดินจนแข้งขาปวดเมื่อยไปหมด  นั่นแหละครับผมถึงกลับออกมาพร้อมกับรู้สึกชื่นชมในความพยายามในการสร้างธรรมชาติขึ้นมาในเมืองของชาวสิงคโปร์ ซึ่งประเทศของเขาเปรียบเทียบกับเราไม่ได้เลยในเรื่องทรัพยากรทางธรรมชาติ  

ไม่ต้องเทียบกันกับอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศไทยที่มีธรรมชาติสวยงามอยู่มากมายทั้งทะเลหมอก ดอกไม้ น้ำตก หรอกครับ แค่ผมลองนึกเปรียบโดมป่าฝนที่เห็นกับสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ที่เชียงใหม่  หรือจะเทียบโดมดอกไม้กับสวนแม่ฟ้าหลวง ที่เชียงราย ก็จะเห็นว่าห่างชั้นกันอยู่ค่อนข้างมาก  ของเราเหนือกว่าโดยไม่ต้องสงสัยในเรื่องบรรยากาศ ด้วยสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพรแท้ ๆ  

เหลือก็เพียงแค่เรื่องจิตสำนึกของคนไทยนั่นแหละครับ ที่จะต้องเห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ ช่วยกันคอยดูแลรักษาให้มากกว่าที่เป็นอยู่  ดูสิงคโปร์เป็นตัวอย่าง เขาไม่มี เขายังพยายามสร้าง ประเทศไทยของเรามีธรรมชาติสวยงามอยู่มากมาย ไม่ต้องไปลงทุนให้สร้างยากลำบากแต่อย่างใด แค่ช่วยกันดูแลรักษาของที่มีให้คงอยู่ ง่ายจะตาย จริงไหมครับ  


คู่มือนักเดินทาง
จากในเมืองเดินทางไปยัง Gardens by the Bay ไดโดยนั่งรถไฟใต้ดินสายวงกลม (Circle line) ไปลงที่หน้าอ่าว จากนั้นเดินเข้าไปที่ Marina Bay Sands  ในส่วนที่เป็นห้างสรรพสินค้าขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นไปถึงชั้นบนสุด จะมีสะพานลอยซึ่งพาเดินทะลุผ่านเข้าสู่ทางเดินข้ามล็อบบี้ภายในโรงแรม Marina Bay Sands ไปออกยังสะพานลอย ข้ามตรงเข้าไปยัง Gardens by the Bay อีกเส้นทางสำหรับคนที่อยากไปเที่ยว Marina Barrage กับ Bay East ด้วย ให้นั่งรถไฟใต้ดินสายสีแดงไปสถานี Marina Bay แล้วขึ้นมาต่อรถเมล์สาย ๔๐๐ ลงป้ายก่อนสุดท้าย จะเข้าไปพบกับ Visitor center  ค่าเข้าสำหรับนักท่องเที่ยว ๒๘ ดอลล่าร์สิงคโปร์  คิดเป็นเงินไทยประมาณ ๗๐๐ บาท สำหรับ ๒ ส่วน คือ Cloud forest dome และ Flower dome  ส่วนอื่นฟรี หากจะเดินบน OCBC Skyway ต้องจ่ายเพิ่มอีก ๕ ดอลล่าร์สิงคโปร์ หรือประมาณ ๑๒๕ บาท



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น