หลวงพ่อพระนอนในสภาพดั้งเดิมก่อนการบูรณะ |
ภาคภูมิ
น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว...สัมภาษณ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารศักดิ์สิทธิ์ ปักษ์แรก เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙
“แวะไหว้พระนอนก่อนไหม
องค์นี้เพิ่งบูรณะขึ้นมาใหม่ ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก”
ลุงโชเฟอร์สามล้อหัวกบ
พาหนะประจำถิ่นกรุงเก่า เบาเครื่องยนต์พร้อมกับหันมาถามผมที่นั่งอยู่เบาะหลังของรถ
หลังจากเมื่อครู่เพิ่งพาผมกลับออกมาจากการไปชมวัดกลางทุ่ง
ทางฝั่งตะวันออกนอกเกาะพระนครศรีอยุธยา คงสังเกตเห็นว่าผมมีอาการผิดหวังนิดหน่อย
เมื่อพบว่าองค์พระและวัดกลางทุ่งโดยรอบถูกปฏิสังขรณ์จนใหม่เอี่ยม ไม่หลงเหลือบรรยากาศเก่า
ๆ ขลัง ๆ ให้สัมผัส
แกเลยพยายามหาทางปลอบใจ
ได้ยินว่าพระนอนผมหูผึ่งขึ้นมาทันใด
เพราะจำได้ว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน สมัยยังเป็นนิสิตวิชาเอกประวัติศาสตร์ ผมเคยตามรอยแผนที่โบราณมาตระเวนหาวัดโคกพระนอนอันปรากฏอยู่ในแผนที่
แถวนี้แหละครับ ในแผนที่โบราณระบุเอาไว้ว่ามีวัดเก่าแก่ตั้งเรียงรายกันอยู่ถึง
๓ วัด ได้แก่วัดประโดก วัดโคกพระนอน และวัดชุมพล แต่ตอนนั้นหาไม่พบ
ด้วยความรกเรื้อของป่าที่ปกคลุมจนหาทางเข้าไม่เจอ น่าจะเป็นพระนอนที่เคยตามหาเมื่อนานมาเป็นแม่นมั่น
ผมจึงไม่รอช้าพยักหน้าตกลงทันที
ลุงโชเฟอร์ยิ้มแป้น บิดคันเร่งเลี้ยวซ้ายปราดเข้าทางเล็กด้านซ้ายมือ
ตรงปากซอยมีอพาร์ตเมนท์เป็นที่สังเกต
ลัดเลาะตามทางผ่านบ้านเรือน สุมทุมพุ่มไม้ และบึงน้ำทางซ้ายมือ พักเดียวก็เห็นเนินอันเป็นที่ตั้งขององค์พระ
ฐานเจดีย์เหลี่ยมมีร่องรอยก่อครอบเจดีย์องค์เก่าไว้ภายใน |
ใจหายวาบครับ
เมื่อเห็นในบริเวณมีการตั้งเต็นท์ใหญ่ขึงแผ่นป้ายไวนีลรับบริจาคเงินบูรณะพระนอน
ยิ่งมองไปบนเนินเห็นก่ออิฐใหม่เอี่ยมเป็นแถวเป็นแนว
พร้อมนั่งร้านเหล็กระเกะระกะอยู่ไกล ๆ ได้แต่รำพึงในใจว่าหรือเราจะมาช้าไป คงมีการสร้างพระนอนองค์ใหม่ขึ้นแทนที่เรียบร้อย
หมดโอกาสจะได้เห็นร่องรอยของเก่าอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว
เดินดุ่มขึ้นบันไดไปบนเนินโคกพระนอนซึ่งแลดูเป็นกลุ่มโบราณสถานผ่านการขุดแต่ง
มีเจดีย์และวิหารเรียงกันอยู่จากทางทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก เห็นตัวเจดีย์เหลือแค่ฐานสี่เหลี่ยมอยู่ทางซ้าย
วิหารพระนอนอยู่ทางขวา กำลังลงเสาเข็มวิหารใหม่ ได้ยินว่าสร้างตามแนวของเดิม แนวเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า
แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่ใกล้กับเจดีย์เป็นศาลาโถงว่าง ส่วนถัดไปเป็นวิหารประดิษฐานพระนอน
ชิ้นส่วนองค์พระที่แตกออกถูกนำมาเรียงรายเอาไว้ |
เม็ดพระศกปูนปั้นที่กะเทาะออกมา |
เห็นองค์พระนอนเต็มตาค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย
เพราะไม่ได้เป็นการสร้างใหม่ แต่เป็นการบูรณะองค์พระนอนจากชิ้นส่วนปูนปั้นที่แตกกระจัดกระจายนำมาปะติดปะต่อขึ้นใหม่
ด้วยวิธีการอย่างที่เรียกกันว่า “อนัสติโลซิส”
ที่ปกติมักใช้กับโบราณสถานประเภทปราสาทหิน ทว่ากลับนำมาใช้กับปูนปั้น
น่าจะยากลำบากกว่ามาก เพราะชิ้นส่วนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
รูปทรงไม่ชัดเจนเหมือนหิน
ไม่รู้เหมือนกันครับว่าทำไมถึงเลือกใช้วิธีนี้
แต่ก็ดีที่ทำให้เห็นร่องรอยของเดิม การบูรณะค่อนข้างประณีต ก่ออิฐเป็นผนังตามแนวตามองค์พระ
แล้วถึงค่อยนำชิ้นส่วนต่าง ๆ ไปประกอบโดยยึดเข้ากับผนังที่ก่อใหม่ ชิ้นส่วนหลัก ๆ อย่างเศียรและองค์พระท่อนบนยังค่อนข้างสมบูรณ์มาก
เค้าพระพักตร์พิศไปคลับคล้ายกับพระพุทธไสยาสน์ที่วัดป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ประมาณอายุอยู่ในสมัยอยุธยาตอนต้น
หากบูรณะเสร็จสมบูรณ์น่าจะเป็นพระนอนที่งดงามอีกองค์หนึ่งของประเทศไทย
“มาเจอหลวงพ่อพระนอนท่านตอนแรก ท่านน่าสงสารมาก ชำรุดเยอะ
แต่ก่อนเศียรท่านตะแคงคว่ำหน้า รอบ ๆ นี่เป็นป่ารกทึบ ว่าง ๆ
ก็เลยแวะเวียนเข้ามาช่วยถางหญ้าบ้าง ดูแลสถานที่บ้าง”
พี่ประจวบ รอดดี อายุ ๕๖ ปี อาชีพมอเตอร์ไซค์รับจ้างวินโลตัส พระนครศรีอยุธยา สมัครใจมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อพระนอนด้วยศรัทธาส่วนตัว
เล่าให้ฟังถึงความเป็นมา ก่อนที่จะเห็นเป็นสภาพปัจจุบัน “กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เริ่มเอาอิฐเข้ามาก่อ บูรณะพื้นวิหาร ประมาณ ปี
๒๕๕๖ ได้ผู้รับเหมามาจากอำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ส่วนคนงานเป็นคนสุรินทร์”
เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อพระนอนจากปากผู้ที่มาสักการะหลายต่อหลายเรื่องถูกถ่ายทอดออกมาจากพี่ประจวบ
“ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนอำเภอวังน้อย อายุ ๔๕ ปี เข้ามาไหว้หลวงพ่อพระนอนแล้วเล่าให้ฟัง
ว่าหลวงพ่อพระนอนไปช่วยเธอ ก่อนหน้านั้น ๓ ปี เธอป่วยด้วยโรคประหลาด เหมือนกับคอเคล็ด
แข็งเกร็ง เอี้ยวตัวไม่ได้ อาการหนักถึงขนาดต้องไปนอนโรงพยาบาล หมอก็รักษาไม่หายเพราะหาเหตุไม่เจอ
สุดท้ายหมอเองจนปัญญา ถึงขนาดบอกกับเธอว่าให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน ลองหารักษาทางไสยศาสตร์ดู
ตอนนั้นกำลังจะหมดหวังจะหายแล้ว หลวงพ่อพระนอนไปเข้าฝันเธอ
ว่าให้เดินทางมาดูที่วัดนี่ เข้ามาในคลองสวนพลู มาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อก่อนนั้นไม่มีถนนเข้ามา มีแค่ทางผ่านหน้าทางเข้าเท่านั้น เธอเองมาไม่ไหวเลยบอกให้สามีขับรถมาดูตามที่ฝัน
สามีก็ไม่รู้ทางเหมือนกัน ขับดุ่ม ๆ มาจนถึงปากทางแยก ไม่เห็นทางเข้าก็โทรกลับไปถาม
ตัวเธอจริง ๆแล้วไม่รู้ทาง
เพราะไม่เคยมาเหมือนกัน แต่กลับบอกทางให้สามีไปได้เองอย่างน่าอัศจรรย์เหมือนกับตาเห็น
ทั้งที่นอนอยู่บนเตียงที่บ้านเอาโทรศัพท์แนบหู บอกว่าสามีขับเลยทางเข้าไปแล้ว ให้ถอยรถกลับมา
ไม่มีทางเดินเข้าก็บอกให้สามีลุยพงหญ้ารกเข้าไป
สามีบุกบั่นเข้าไปจนถึงองค์พระในซากวิหาร พบว่าเศียรหลวงพ่อกลิ้งตกจากวิหารลงไปอยู่ที่พื้นดินข้างล่าง
ลองเข้าไปยกดูก็ยกไม่ไหวเพราะเศียรหลวงพ่อขนาดใหญ่มาก กลับบ้านไปวันรุ่งขึ้นจึงพาสมัครพรรคพวกจากอำเภอวังน้อยขึ้นกระบะรถมายี่สิบกว่าคน
มาช่วยกันยกเศียรหลวงพ่อกลับขึ้นมาไว้ที่วิหารดังเดิม ปรากฏว่าอาการป่วยที่เธอเป็นอยู่หายเป็นปลิดทิ้งไปแทบจะในทันที
เธอจึงเลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อพระนอนมาก เดินทางมากราบสักการะด้วยตัวเอง...”
จากบนโคกพระนอนทอดตาไปรอบบริเวณยังหลงเหลือบรรยากาศของความเป็นท้องทุ่งในอดีตให้เห็น
ท้องทุ่งนาเขียวขจี ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายบนคันนาไกลลิบ ๆ มีนกปากห่างตัวใหญ่ ๆ
เกาะเรียงรายลดหลั่นกันอยู่บนกิ่งแห้ง ๆ
ไกลออกไปดวงอาทิตย์ทอแสงสีทอง คล้อยต่ำลงตรงขอบฟ้า
“ที่เห็นเป็นนาข้าวเขียว ๆ นี่เป็นข้าวเก่ามันขึ้นมา เมื่อก่อนกรมการศาสนาให้ชาวนาเช่าพื้นที่แถวนี้ทำนากัน” พี่ประจวบว่า
“กลับไปบอกพวกเราที่กรุงเทพฯ นะ ให้มาช่วยกันบูรณะหลวงพ่อพระนอน
ชาติก่อนพวกเราเคยทำบุญไหว้พระกันที่วัดนี้ ไปบอกเขากลับมาช่วยกัน ...”
หญิงชราในชุดนุ่งขาวห่มขาวซึ่งยืนเด่นอยู่ในเต็นท์กล่าวขึ้น
หลังจากที่ผมแวะเข้าไปร่วมบริจาคทำบุญ
ได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงคำกล่าวที่ว่า “ในชีวิตคนเราไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ
ทุกเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่มีที่มาจากกรรมในอดีตทั้งนั้น”
อาจบางทีเมื่อหลายร้อยปีก่อนในสมัยอยุธยาตอนต้น ผมอาจเคยร่วมอยู่ในบรรดาผู้คนที่มีจิตศรัทธารังสรรค์องค์พระนอนแห่งอโยธยาศรีรามเทพนครตรงหน้า
อาจบางทีบุญกุศลในอดีตชาติได้ชักนำให้ผมได้หวนคืนกลับมายังสถานที่เดิมอีกครั้ง
เพื่อทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวให้ผู้ที่ได้ร่วมบุญร่วมกุศลแต่ชาติปางก่อน
และหากคุณมีโอกาสได้อ่านจนถึงตรงนี้
อาจบางทีคุณคืออีกหนึ่งในผู้ที่เคยร่วมบุญกุศลด้วยกันกับผมก็เป็นได้
และหากคุณมีโอกาสได้อ่านจนถึงตรงนี้
อาจบางทีคุณคืออีกหนึ่งในผู้ที่เคยร่วมบุญกุศลด้วยกันกับผมก็เป็นได้
กลับมาช่วยกันร่วมบูรณะฟื้นฟูองค์พระนอนและศาสนสถานอันเคยรุ่งเรืองด้วยศรัทธาให้หวนคืนกลับมางดงามดังเดิมอีกครั้ง...นะครับ
บรรยากาศท้องทุ่งที่ยังหลงเหลือ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น