ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. เดือนสิงหาคม ๒๕๖๖
ปูนปั้นประดับอันอลังการบริเวณฐานเขาคลังใน |
ผมหยุดเดิน ยกมือขึ้นปาดเหงื่อจากใบหน้าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว
แหงนมองขึ้นไปตามทางเดินที่ไต่ตามความชันผ่านดงไผ่ นอกจากความเขียวครึ้มของแมกไม้ หน้าผาหิน และหินลอยที่ผุดโผล่อยู่ตามพื้นดิน
ยังไม่เห็นวี่แววของจุดหมายปลายทาง
“ครึ่งทางแล้วครับ อีกไม่นานก็ถึง”
เจ้าหน้าที่นำทางพูดปลอบใจ แต่สำหรับผมเหมือนได้ผลในทางตรงข้าม
“หา เดินมาตั้งเป็นชั่วโมงแล้ว เพิ่งมาได้แค่ครึ่งทางเองหรือนี่”
เส้นทางเดินป่าขึ้นสู่ยอดเขาถมอรัตน์ |
ปากก็บ่นไป แต่เท้าก็ยังก้าวออกเดินต่อครับ นั่นเพราะถ้ำศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขา
คือแรงจูงใจสำคัญที่นำผมและคณะพากันมาบุกบั่น
ไต่เส้นทางชันต้านแรงโน้มถ่วงของโลกกันอยู่ในขณะนี้
เรียกว่า “ศรัทธา” ก็คงจะได้
แม้ไม่อาจเทียบเคียงได้แม้ปลายก้อย กับ “ศรัทธา” ของผู้คนที่พากันขึ้นมาสร้างวิหารธรรมชาติบนยอดเขาแห่งนี้เมื่อพันกว่าปีก่อน
ปฐมศรัทธา ผีธรรมชาติและผีบรรพบุรุษ
รถทัศนาจรไฟฟ้าจอดเทียบบริเวณหน้า "หลุมช้าง" หลุมขุดค้นทางโบราณคดีแห่งแรก |
นึกย้อนไปเมื่อวันก่อน พวกเรายังนั่งรถทัศนาจรกันอย่างสบายอยู่แท้
ๆ
เช้านั้นรถไฟฟ้านำเที่ยวนำพาคณะของเราแล่นออกจากเต็นท์รับนักท่องเที่ยวหน้าอาคารที่ทำการ
ลดเลี้ยวผ่านไปท่ามกลางร่มเงาอันร่มครึ้มของแมกไม้ ในอาณาเขต “เมืองใน” ของอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ
เริ่มด้วยการแวะเวียนไปชมหลุมขุดค้นทางโบราณคดีในยุคก่อนประวัติศาสตร์
หลักฐานสำคัญยืนยันว่ามีชุมชนแรกเริ่มอยู่อาศัยภายในอาณาเขตเมืองศรีเทพแห่งนี้มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ราว ๑,๘๐๐ ปีก่อนโน้น
ลักษณะเป็นหมู่บ้าน อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ปกครองโดยหัวหน้าหมู่บ้าน รู้จักเพาะปลูกข้าว
เลี้ยงสัตว์และล่าสัตว์ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ มีเทคโนโลยีถลุงโลหะในระดับชุมชน ทอผ้า
ปั้นภาชนะดินเผา และใช้เครื่องมือที่ทำจากเหล็ก อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ
แร่ธาตุ และของป่าต่าง ๆ ที่ใช้ดำรงชีวิตและนำมาใช้เป็นสินค้าแลกเปลี่ยนกับชุมชนอื่น
ๆ ได้
ชุมชนแรกเริ่มของศรีเทพนี้ยังตั้งอยู่บนรอยต่อของเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงกับชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ในเขตที่ราบสูงโคราชของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กับชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ในเขตที่ราบลุ่มภาคกลาง ซึ่งมีเส้นทางสัญจรทางน้ำ ใช้ขนสินค้าต่าง
ๆ ออกสู่ทะเลได้สะดวก ส่งผลให้ชุมชนศรีเทพเป็นจุดศูนย์กลางการซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพยากรกับบ้านเมืองภายนอกภูมิภาคมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์อีกด้วย
โครงกระดูกมนุษย์ที่พบในหลุมช้าง |
หลุมขุดค้นยุคก่อนประวัติศาสตร์นี้มีอยู่ด้วยกันสองหลุมครับ
หลุมแรกสร้างอาคารถาวรครอบพร้อมทั้งจัดแสดงนิทรรศการข้อมูลที่ได้จากการขุดค้นเอาไว้อย่างดี
เพราะเป็นหลุมขุดค้นตั้งแต่เมื่อปี
พ.ศ. ๒๕๓๑ ภายในนอกจากพบโครงกระดูกมนุษย์และสิ่งของเครื่องใช้ที่เป็นการฝังอุทิศให้กับผู้ตายแล้ว
ยังพบโครงกระดูกช้างอย่ในหลุมนี้ด้วย จึงเรียกกันว่า “หลุมช้าง”
หลุมที่สองเป็นหลุมขุดค้นทางโบราณคดีในปีงบประมาณ
๒๕๕๙ อยุ่ไม่ไกลจากกันเท่าไหร่ ยังไม่ได้สร้างอาคารถาวร มีเพียงท่อนเหล็กและแผ่นสังกะสีทำเป็นหลังคาครอบเป็นเพิงชั่วคราว
ภายในหลุมพบหลักฐานโครงกระดูกหลายโครง ภาชนะดินเผา สิ่งของเครื่องใช้ ที่สำคัญคือพบ
“โครงกระดูกสุนัข” ถูกฝังอยู่ร่วมกับโครงกระดูกมนุษย์ด้วย ทำให้หลุมนี้มีชื่อเรียกเล่น ๆ อีกชื่อหนึ่งว่า
“หลุมหมา”
ทั้ง “หลุมช้าง” และ “หลุมหมา” ถือเป็นหลักฐานทางโบราณคดี นอกจากจะให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ อาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้ของผู้คนในชุมชนแรกเริ่มของศรีเทพแล้ว ยังมีอีกข้อมูลหนึ่งซึ่งน่าสนใจมากครับ นั่นคือเรื่องราวของ “ศรัทธา” หมายถึง ความเชื่อ ความเห็นชอบ อันนำมาซึ่งพฤติกรรม การประพฤติปฏิบัติ
กระดูกช้าง ที่พบภายในหลุมขุดค้น |
การพบหลุมฝังศพแสดงให้เห็นว่าผู้คนในสมัยนั้นมีความเชื่อเกี่ยวกับโลกหลังความตาย เมื่อเกิดการตายเกิดขึ้นจึงต้องจัดพิธีกรรมในการส่งคนตายไปยังอีกดินแดนหนึ่งที่เชื่อกันว่าเป็นสรวงสวรรค์บนฟากฟ้า มีการอุทิศข้าวของเครื่องใช้ ข้าวปลาอาหาร ด้วยการฝังลงไปพร้อมกับศพ มากน้อยตามฐานะทางสังคมของผู้ตาย
ตัวอย่างเห็นได้จากในหลุมช้าง พบโครงกระดูกขนาดร่างกายสูงใหญ่
ว่ากันว่าอาจสูงถึง ๑๘๐ เซนติเมตร น่าจะเป็นบุคคลที่ฐานะทางสังคมสูง
ก็พบข้าวของเครื่องใช้ในหลุมมาก โดยเฉพาะเครื่องประดับจี้ห้อยคอ
ทำจากหินคาเนเลียนที่ไม่ใช่วัตถุหาได้ในท้องถิ่น
เช่นเดียวกันในหลุมหมาก็เห็นได้ชัดว่าโครงกระดูกที่มีข้าวของอุทิศให้เยอะจะมีพื้นที่ค่อนข้างมาก แยกเป็นสัดส่วนจากหลุมอื่นชัดเจน ในขณะที่โครงกระดูกในอีกมุมหนึ่งพื้นที่น้อยนิด ถึงขนาดต้องฝังทับซ้อนจนกระดูกมากองรวมกัน แสดงให้เห็นถึงฐานะทางสังคมของผู้ตายว่าไม่ใช่บุคคลสำคัญ
หลุมขุดค้นที่พบโครงกระดูกสุนัขฝังร่วมกับมนุษย์ |
โครงกระดูกสุนัข พร้อมชามข้าว |
สิ่งน่าสนใจอยู่ที่โครงกระดูกสุนัข
(หมา) ทั้งตัวพร้อมด้วยชามดินเผาอุทิศให้สุนัขใบหนึ่งถูกพบฝังอยู่ใกล้กับขาขวาโครงกระดูกมนุษย์ฐานะสูงครับ
ในกลุ่มชนเผ่าไท เช่น ไทดำ
ไทแถง และชาวจ้วง มีตำนานความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรมส่งผีขวัญของคนตายขึ้นฟ้า โดยเชื่อว่าสุนัขหรือหมาเป็นสัตว์ที่มีพลังวิเศษในการนำทางวิญญาณของผู้ตายไปยังภพภูมิอื่นได้ เช่นเดียวกับในกลุ่มชาติพันธุ์มอญและเขมร
ก็มีความเชื่อว่าหมาเป็นสัตว์ผู้นำพันธุ์ข้าวจากสวรรค์มาประทานแก่มวลมนุษย์ จึงเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่รู้ทางกลับไปสวรรค์
สามารถนำทางวิญญาณคนตายไปสถิตรวมกับผีบรรพบุรุษบนเมืองสวรรค์บนชั้นฟ้าได้
ถือว่าเป็นความเชื่อร่วมกันของผู้คนในเอเชียอาคเนย์ ตั้งแต่ในไทย ไปจนถึงกัมพูชา ลาว และเวียดนาม
สิ่งที่พบจึงเป็นหลักฐานสำคัญในการยืนยันความเชื่อนี้ว่ามีอยู่จริงตั้งแต่อดีตกาลเมื่อพันกว่าปี
โดยเฉพาะในชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ของเมืองศรีเทพ
เจ้าหน้าที่พาพวกเราไปชี้ให้ดูที่ผนังหลุมขุดค้นทางทิศเหนือ ว่าอาจจะยังมีโครงกระดูกสุนัขที่ฝังร่วมกับมนุษย์อยู่อีก
แล้วยังบอกด้วยว่าทางอุทยานฯ มีโครงการจะขยายหลุมขุดค้นต่อออกไปทางเหนือ
เพราะดูแล้วน่าจะมีโอกาสพบหลักฐานเพิ่มเติม
“อาจสรุปได้ว่าชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ศรีเทพแห่งนี้มีความเชื่อในคติการนับถือผี
ที่เรียกว่า Animism คือนอกจากเชื่อในผีบรรพบุรุษ
แล้วยังเชื่อในผีที่สถิตอยู่ในธรรมชาติด้วย อย่างเช่นเขาถมอรัตน์ที่อยู่ห่างออกไปราว
๑๕ กิโลเมตรนี่ ก็เชื่อว่าชุมชนน่าจะนับถือในฐานะภูเขาศักดิ์สิทธิ์
แม้ว่าจะไม่พบว่ามีร่องรอยการประกอบพิธีกรรมอะไรในยุคก่อนประวัติศาสตร์
แต่เมื่อเข้าสู่สมัยทวารวดีก็ได้มีการไปสร้างวิหารขึ้นบนยอดเขา แสดงให้เห็นว่าต้องมีความเชื่อว่าบนยอดเขาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาแต่ก่อน”
นั่นแหละครับคุณผู้อ่าน คือสาเหตุที่ในเช้าวันนี้ ผมและพรรคพวกต้องพากันมาออกกำลังกาย ปีนป่ายเขาถมอรัตน์กันแต่ไก่โห่ จนหอบซี่โครงบาน เหงื่อไหลไคลย้อย ก็ด้วยวัตถุประสงค์สำคัญคือการขึ้นไปทัศนาวิหารศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาเพื่อเป็นบุญตาสักครั้ง
ทุติยศรัทธา พุทธศาสนา ทวารวดี
ปากถ้ำเขาถมอรัตน์บนยอดเขา |
ทางเดินเริ่มชันขึ้นจนรู้สึกได้ พร้อมด้วยบางสิ่งบางอย่างถูกเพิ่มเติมขึ้นมาบนเส้นทาง
นั่นก็คือ “เชือก” ครับ เป็นเชือกที่ทางเจ้าหน้าที่นำมาขึงไว้ระหว่างต้นไม้ใหญ่สองฟากทางเพื่อให้ใช้เป็นราวจับ
ดึงตัวขึ้นไปตามทางเดินที่ลัดเลาะไปตามแนวผาหินแคบและลาดชัน
หลังจากไต่ไปหยุดพักไปอีกสามสี่หอบ ในที่สุดผมก็สาวเชือกซอยเท้าขึ้นมาจนถึงหน้าปากถ้ำได้สำเร็จ
เดินอ้อมหินใหญ่ที่ขวางอยู่กลางปากถ้ำ เข้าไปหยุดยืนสูดลมหายใจอีกหลายเฮือกเพื่อเรียกกำลังให้กลับคืนมา
ประติมากรรมพระโพธิสัตว์และพระพุทธรูปในหลืบถ้ำด้านใน |
ภายในถ้ำเขาถมอรัตน์เป็นโถงกว้าง
ขนาดพอเหมาะจะใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม กึ่งกลางโถงเป็นแท่งหินธรรมชาติสูงจากพื้นจรดเพดาน
ด้านหน้าแกะสลักพระประธานเป็นพระพุทธรูปยืนปางแสดงธรรมขนาดใหญ่ ความสูงประมาณ ๒ เท่าของคนได้
เด่นตระหง่านอยู่ ด้านขวาแกะเป็นพระพุทธรูปยืนอีกองค์แต่ขนาดเล็กกว่า
คูหาด้านข้างถัดจากพระพุทธรูปยืนองค์รองเข้าไปด้านในยังมีกลุ่มภาพแกะสลักอีกสองกลุ่ม
กลุ่มแรกมีพระโพธิสัตว์สี่กรเป็นประธาน สองฟากดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร กลุ่มด้านในสุดเป็นกลุ่มสุดท้าย
แกะสลักพระพุทธรูปปางสมาธิเป็นประธานอยู่กึ่งกลาง
ฝั่งซ้ายเป็นเสาเหลี่ยมเบื้องบนเป็นรูปธรรมจักร ฝั่งขวาเป็นสถูปเจดีย์แบบทวารวดี
น่าเสียดายที่เศียรของพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ทั้งหมดถูกโจรชั่วลักลอบกะเทาะเอาไปขายให้ฝรั่งนักเล่นของเก่าเจ้าของใบสั่ง
ที่เป็นพ่อค้าผ้าไหมชื่อดังเมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่เช่นนั้นคงจะเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่และสมบูรณ์
งดงามน่าตื่นตากว่าที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้อย่างแน่นอน
“โจรมันขึ้นมากันสามคน พอได้พระแล้วมันก็ทะเลาะฆ่ากันเอง ตายไปสอง
เหลือคนเดียวเอาของหนีไปขาย กว่าจะมีคนขึ้นมาเจอศพก็ขึ้นอืดเน่าแล้ว ประมาณปี ๒๕๑๐
น่ะ เขาเล่ากัน ตอนนั้นผมยังเด็กเรียนชั้นประถม ตอนนี้อายุ ๖๓ แล้ว ” เจ้าหน้าที่ผู้นำทางเล่าให้ผมฟัง ทำเอาผมทึ่ง เพราะมองดูหน้าตาคนเล่า
แม้ไว้หนวดเคราครึ้ม ยังดูไม่เหมือนอายุเลขหกนำหน้าเลยแม้แต่น้อย
ขึ้นเขามายังเดินพลิ้วเหมือนมีวิชาตัวเบาอีกต่างหาก
พระพุทธรูปยืนกึ่งกลางโถงถ้ำเป็นพระประธาน |
เพื่อให้คุ้มค่าความเหน็ดเหนื่อยที่ป่ายปีนขึ้นมา
ผมพยายามเดินพิจารณาให้ทั่วทุกซอกทุกมุม ดูแล้วถ้ำแห่งนี้คือวิหารในพุทธศาสนาสมัยทวารวดีอย่างไม่ต้องสงสัย จากการติดต่อค้าขายระหว่างชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ศรีเทพกับชุมชนภายนอกโดยเฉพาะอินเดีย
ทำให้ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมของอินเดียอย่างต่อเนื่องยาวนาน ส่งผลให้ชุมชนโบราณศรีเทพเติบโตขึ้นเป็นแว่นแคว้นบ้านเมือง
โดยพบหลักฐานการเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ ในสมัยทวารวดีเป็นศิลาจารึกอายุประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๒
ในยุคสมัยนี้ได้มีการรับเอาระบอบกษัตริย์เข้ามาใช้แทนผู้นำชุมชน
รวมไปถึงรับศาสนาพุทธมหายานและก่อสร้างพุทธสถานขึ้น ด้วยรูปลักษณ์ของเขาถมอรัตน์ที่เป็นทรงกรวยยอดแหลมสูง
โดดเด่นที่สุดในละแวกฝั่งตะวันตกของลำน้ำป่าสักนี้ เป็นทั้งหมุดหมายในการเดินทาง
ทั้งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อรับอิทธิพลพุทธศาสนามหายานจึงน่าจะได้นำคติเขาพระสุเมรุ
ศูนย์กลางจักรวาลเข้ามาแทนที่ด้วยการสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาแห่งนี้ขึ้น ในราวพุทธศตวรรษที่
๑๓-๑๔
โบราณสถานเขาคลังนอก |
สมัยนี้เองได้สร้างเป็นบ้านเป็นเมืองที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ลักษณะทางกายภาพของเมืองโบราณศรีเทพที่ยังหลงเหลือให้เห็นชัดที่สุดคือแนวคูเมืองและแนวกำแพงเมืองที่เป็นคันดินล้อมรอบอาณาบริเวณเอาไว้
แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ประกอบด้วย“เมืองนอก” และ
“เมืองใน” มีพื้นที่รวมทั้งสิ้นประมาณ ๔.๗ ตารางกิโลเมตร
ลงจากยอดเขามาได้พวกเราเลยก็ไป
“เมืองนอก” กันก่อน ฟังดูหรูเหมือนไปต่างประเทศ แต่ความจริงคือเมืองที่อยู่นอกเขตกำแพงเมืองชั้นในครับ
(ถ้าเป็นปัจจุบันก็ต้องเรียกว่าอยู่นอกเขตเทศบาล)
เมืองนอก ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเมืองใน
ผังเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมมน เนื้อที่ประมาณ ๒.๘๓
ตารางกิโลเมตร ภายในตัวเมืองแม้ปรากฏร่องรอยโบราณสถาน ๖๔ แห่ง กับสระน้ำโบราณอีกเยอะแยะ
แต่ไม่พบศาสนสถานที่ใหญ่โตซับซ้อนและมีความสำคัญเท่ากับเมืองใน
นักโบราณคดีจึงสันนิษฐานว่าอาจเป็นเขตบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของชาวเมืองและพื้นที่เพาะปลูก
นอกแนวกำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือ
ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับประดิษฐานศาสนสถานสำคัญของเมืองโดยเฉพาะ นั่นคือโบราณสถานเขาคลังนอก มหาสถูปที่มีฐานก่อด้วยศิลาแลงขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
สถาปัตยกรรมทวารวดีที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ -๑๔ แห่งนี้แสดงถึงความสำคัญของเมืองศรีเทพ ในฐานะศูนย์กลางทางพุทธศาสนาแบบพุทธมหายานใจกลางของภูมิภาคตอนในของประเทศไทย
วิมานหรืออาคารจำลองตกแต่งส่วนฐานสถูปเขาคลังนอก |
งานสถาปัตยกรรมของโบราณสถานเขาคลังนอกมีความซับซ้อนมากที่สุดในด้านการวางผังและรูปแบบการก่อสร้างตามคติความเชื่อเรื่องมณฑลจักรวาลในพุทธศาสนา
ส่วนฐานประดับประดาตกแต่งด้วยอิทธิพลของ “บัญชร”
ในสถาปัตยกรรมอินเดีย ผสานกับ “วิมาน”
หรืออาคารจำลองใช้ตกแต่งปราสาทในสถาปัตยกรรมขอมสมัยก่อนเมืองพระนครและสถาปัตยกรรมชวาภาคกลาง
ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะคือบัวลูกแก้วขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยการถากให้เป็นมุมแหลมยกเชิดสูงขึ้น
รวมถึงตรงส่วนมุมของอาคารจำลองทรงปราสาทประดับส่วนฐานเจดีย์บนหน้ากระดานก็ถากให้เป็นมุมแหลมเชิดสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
พื้นที่นอกมหาสถูปออกไปในแต่ละมุมยังมีเจดีย์ทิศ
เจดีย์ราย ขนาดเล็กเรียงรายอยู่อีกหลายองค์
นักท่องเที่ยวพากันมารอชมพระอาทิตย์ตกบนลานประทักษิณ |
บนลานทักษิณของเขาคลังนอกเป็นจุดชมทิวทัศน์พระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงามอย่าบอกใครครับ
เย็นวันนี้พวกเราเลยถือโอกาสพากันกระย่องกระแย่งตามบันได ขึ้นไปกินลมชมวิว
ผ่อนคลายจากการไต่ความสูงชันขึ้นลงเขามาเมื่อกลางวัน
มองจากเขาคลังนอกเห็นเขาถมอรัตน์ได้ชัดเจน สูงไม่ใช่เล่นเหมือนกัน แทบไม่น่าเชื่อว่าเราเดินขึ้นไปบนยอดนั้นกันมาแล้ว
เทวรูปภายในศาลเจ้าพ่อศรีเทพ |
เช้าวันรุ่งขึ้นเราถึงค่อยมาเที่ยวชมโบราณสถานสมัยทวารวดีที่เมืองในกันต่อ
โดยไม่ลืมแวะสักการะเจ้าพ่อเมืองศรีเทพทางด้านประตูแสนงอนเพื่อความเป็นสิริมงคลกันก่อน
ดูจากแผนที่ ผัง “เมืองใน” ค่อนไปทางกลม ภายในเนื้อที่ประมาณ
๑.๘๗ ตารางกิโลเมตร เป็นที่ตั้งของพระราชวังที่ประทับของกษัตริย์
ราชวงศ์ และบ้านเรือนขุนนาง รวมทั้งศาสนสถานเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
การจัดวางผังเมืองเป็นไปอย่างมีระบบ มีการขุดคูเมือง
สร้างกำแพงเมืองล้อมรอบชุมชน สร้างคันดินบังคับน้ำ เบี่ยงเบนกระแสน้ำที่ไหลจากที่สูงทางด้านทิศตะวันออกและทิศเหนือให้ไหลลงมาในคูเมือง
รวมทั้งมีการชักน้ำผ่านช่องกำแพงเมืองไปยังสระน้ำโบราณน้อยใหญ่ กักเก็บไว้สำหรับการประกอบพิธีกรรมและอุปโภคบริโภคของศาสนสถานภายในตัวเมือง
เรียกได้ว่าจัดระบบชลประทานให้สัมพันธ์กับการใช้พื้นที่ของเมืองในได้เป็นอย่างดีเลยเชียวละครับ
ธรรมจักรศิลาทวารวดีหน้าโบราณสถานเขาคลังใน |
เรามุ่งตรงไปยังพุทธสถานสำคัญ
คือโบราณสถานเขาคลังใน ถือเป็นเจติยสถานสถาปัตยกรรมสมัยทวารวดีชิ้นเยี่ยมอีกแห่ง
แม้ไม่ใหญ่โตเท่ามหาเจดีย์เขาคลังนอก และพังทลายเหลือเพียงส่วนฐาน
แต่จากร่องรอยที่เหลือก็ยังแสดงให้เห็นว่ามีการตกแต่ประดับประดาอย่างวิจิตร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงส่วนฐานมีการประดับด้วยประติมากรรมปูนปั้นไว้โดยรอบ
ทำรูปคนแคระที่มีลักษณะโดดเด่นเป็นพิเศษไม่เหมือนที่ใด เนื่องจากคนแคระปูนปั้นมีทั้งที่หัวเป็นมนุษย์แบบธรรมดาและมีทั้งหัวเป็นสัตว์ชนิดต่าง
ๆ เช่น ลิง สิงห์ ช้าง และควาย อยู่ในอิริยาบถกำลังแบกฐานของเจดีย์เอาไว้
พวกเราเดินพินิจพิจารณาดูรูปปั้นคนแคระรอบ ๆ ฐานเจดีย์ ก็เพลินตาเพลินใจดีครับ
หมดเวลาไปเป็นชั่วโมงแทบไม่รู้ตัว
ศรัทธาสุดท้าย ฮินดู ขอมโบราณ
ปรางค์สองพี่น้อง |
ไม่พบหลักฐานอะไรบันทึกเกี่ยวกับอิทธิพลอารยธรรมขอมที่แผ่อำนาจมายังเมืองศรีเทพว่าเข้ามาอย่างไร
และเมื่อไหร่
แต่จากโบราณสถานเขาคลังใน สมัยทวารวดี เพียงเดินข้ามแนวกำแพงศิลาแลงเตี้ย ๆ พวกเราก็พบกับปรางค์สองพี่น้อง ปราสาทอิฐบนฐานศิลาแลง สถาปัตยกรรมที่รับอิทธิพลของอาณาจักรขอมโบราณ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ -๑๗ เด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า จากการขุดแต่งสันนิษฐานว่าแรกเริ่มนั้นสร้างขึ้นเป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดูไศวนิกาย และต่อมาในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ จึงค่อยถูกเปลี่ยนให้เป็นพุทธสถานในนิกายมหายาน
ทับหลังอุมามเหศวร |
ตัวปราสาทประธานพังทลายไปจนไม่เห็นรูปทรงชัดเจน
แต่ยังเหลือศิลปกรรมชิ้นเด่นอยู่บนปราสาทหลังเล็กที่อยู่ด้านข้างให้เราชมครับ คือทับหลังรูปอุมามเหศวร
หรือพระอิศวรอุ้มพระอุมาประทับบนโคนนทิ อิทธิพลของศิลปะเขมรแบบบาปวน-นครวัด ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗
ทีเด็ดอยู่ที่ความคิดสร้างสรรค์ของช่างท้องถิ่นเศรีเทพ
ที่ได้เพิ่มเติมรูปแบบเฉพาะตัวลงไป ด้วยการสลักนาคทรงเครื่องสวมเทริดไว้ทั้งสองด้านของหน้ากาล
มือของหน้ากาลยังสลักให้ไปจับอยู่บนลำตัวนาค แทนที่จะจับท่อนพวงมาลัยตามแบบศิลปกรรมขอมโบราณ
ทั้งยังแกะสลักหัตถ์ของพระศิวะบริเวณบั้นเอวของพระอุมาและหัตถ์ของพระอุมาไว้ใต้วงแขนของพระศิวะในมุมแปลก
ๆ ผิดหลักกายวิภาค รวมไปถึงการเพิ่มลายใบไม้ม้วนใต้ท่อนพวงมาลัยให้มากขึ้นเป็นแถวละ
๓ วง ต่างจากทับหลังในศิลปะขอมในกลุ่มศิลปะบาปวน-นครวัด
ที่นิยมทำเพียงวงเดียว
นั่นทำให้ทับหลังชิ้นนี้มีความ
“อินดี้” กลายเป็น “แรร์ไอเทม” เพราะมีเพียงหนึ่งเดียวไม่ซ้ำใครไปอย่างช่วยไม่ได้ครับ
ใครมาก็ต้องแวะชมเป็นขวัญตา
ปรางค์ศรีเทพ |
เดินต่อไปยังปรางค์ศรีเทพ สถาปัตยกรรมขอมอีกหลังที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับปรางค์สองพี่น้อง อยู่ถัดจากปรางค์สองพี่น้องไปทางตะวันออก จากทำเลที่ตั้งของปราสาทหลังนี้อยู่ใจกลางเมือง จึงน่าจะเป็นศาสนสถานที่มีฐานะเป็นประธานของเมืองในยุคอารยธรรมขอมเรืองอำนาจ
เช่นเดียวกันกับปรางค์สองพี่น้อง
ปราสาทหลังนี้แรกสร้างใช้เป็นเทวาลัยของศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ก่อนจะมีการดัดแปลงเป็นพุทธสถานมหายานในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่
๗ เช่นกัน
แต่ของปรางค์ศรีเทพนี้มีความน่าสนใจอยู่ตรงที่ปรากฏร่องรอยของชิ้นส่วนปราสาทที่สร้างไม่เสร็จ
ปรากฏเป็นเพียงโกลนศิลาอยู่ ยังไม่ได้แกะสลัก ทิ้งไว้ระเกะระกะ ซึ่งนักโบราณคดีสันนิษฐานว่าชิ้นส่วนพวกนี้น่าจะทำขึ้นในช่วงการดัดแปลงจากเทวสถานในศาสนาฮินดูให้เป็นพุทธสถานในช่วงพระเจ้าชัยวรมันที่
๗ นั่นแหละ แต่บังเอิญหมดรัชกาล อำนาจศูนย์กลางอาณาจักรขอมล่มสลาย
จึงไม่ได้ทำต่อให้เสร็จ ถูกทิ้งกระจายเอาไว้อย่างที่เห็น
ที่น่าสังเกตอีกประการคือปราสาทขอมในเมืองศรีเทพทั้งสองหลังนี้ต่างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก
ไม่ใช่ทิศตะวันออกเหมือนปกติทั่วไปครับ ซึ่งทางทิศตะวันตกของเมืองศรีเทพก็คือเขาถมอรัตน์
การสร้างปราสาทหันหน้าไปทางนั้นก็เพื่อเชื่อมโยงกับเขาถมอรัตน์ภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งในสมัยวัฒนธรรมทวารวดีสมมติเป็นเขาพระสุเมรุศูนย์กลางจักรวาลในพุทธศาสนา
แต่ในสมัยวัฒนธรรมขอมซึ่งนับถือฮินดูไศวนิกาย เขาถมอรัตน์ย่อมถูกสมมติเปลี่ยนให้เป็นเขาไกรลาส
ที่ประทับของพระศิวะ มหาเทพฮินดู เรียกว่าเป็นเขาศักดิ์สิทธิมาสามยุคสามสมัย
ปรางค์ฤๅษี |
พวกเราปิดท้ายการท่องอดีตเมืองศรีเทพด้วยการแวะเข้าไปที่วัดป่าสระแก้ว นอกเมืองศรีเทพไปทางทิศเหนือราว
๓ กิโลเมตร ใกล้กับสระแก้ว บารายขนาดใหญ่ในสมัยขอม เพื่อชมปรางค์ฤาษี
ศาสนสถานแบบฮินดูลัทธิไศวนิกายอีกแห่ง ตัวปราสาทสถาปัตยกรรมขอม ก่อด้วยอิฐไม่สอปูน
ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดไม่สูงนัก เด่นสง่าอยู่ในแวดล้อมของดงไม้เขียวขจีร่มรื่น ล้อมรอบด้วยแนวกำแพงก่อด้วยศิลาแลง
ไม่ปรากฏว่าพบทับหลังของปราสาท
ทำให้ไม่อาจระบุยุคสมัยการสร้างได้ด้วยประติมาณวิทยา
จึงทำให้มีการสันนิษฐานอายุของปราสาทหลังนี้ว่าร่วมสมัยกับปรางค์ศรีเทพและปรางค์สองพี่น้อง
โดยอาจเป็นศูนย์กลางของกลุ่มผู้นับถือศาสนาฮินดูที่ออกมาบำเพ็ญพรตปลีกวิเวกนอกเขตเมือง
ซึ่งบรรดาปราสาทเหล่านี้ถือเป็นหลักฐานทางศรัทธาสุดท้ายของเมืองศรีเทพ
เนื่องจากประมาณปลายพุทธศตวรรษที่
๑๘ การล่มสลายของอาณาจักรขอมอันยิ่งใหญ่และเส้นทางการค้าได้เปลี่ยนแปลงไปสู่ศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองแห่งใหม่ทางตอนเหนือที่กรุงสุโขทัยกับทางตอนกลางที่กรุงศรีอยุธยา
ส่งผลให้ความรุ่งเรืองของเมืองศรีเทพในฐานะเมืองบนเส้นทางการค้าที่ต่อเนื่องมายาวนานหลายศตวรรษต้องยุติลงอย่างถาวร
ถูกปล่อยทิ้งเป็นเมืองร้างจมหายในผืนป่าอันหนาทึบเนิ่นนานหลายศตวรรษ จนกระทั่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ครั้งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ทรงสืบค้นหาเมืองแห่งนี้อย่างจริงจัง
จนกระทั่งพบอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๔๘
รอยศรัทธาสู่มรดกโลก
นักท่องเที่ยวเยี่ยมชมบริเวณเขาคลังใน |
เมืองโบราณศรีเทพในปัจจุบัน
ถือเป็นแหล่งโบราณคดีไม่กี่แห่งที่ยังคงหลงเหลือหลักฐานต่าง ๆ เป็นตัวแทนเรื่องราวสำคัญของแต่ละยุคได้อย่างครบถ้วน
เนื่องจากการเป็นเมืองที่ถูกทิ้งร้างไป ไม่มีชุมชนในยุคคสมัยหลังมาตั้งซ้อนทับ โบราณสถานที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันจึงไม่ได้ถูกทำลายโดยเมืองสมัยหลังเหมือนที่อื่น
ยิ่งไปกว่านั้นหลักฐานทางด้านศิลปกรรมที่พบจากเมืองโบราณศรีเทพแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นในด้านภูมิปัญญา
การสร้างสรรค์ และผสมผสานรูปแบบศิลปกรรม จากร่องรอยของ “ศรัทธา”
นับแต่จากยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่รับเอาพุทธศาสนาและวัฒนธรรมทวารวดีจากภาคกลาง
รวมทั้งรับเอากับศาสนาฮินดูจากอาณาจักรขอมโบราณ ทั้งหมดนี้ถูกนำมาผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของศิลปกรรมแบบศรีเทพที่เรียกว่า
“สกุลช่างศรีเทพ” ปรากฏอยู่ทั้งในสถาปัตยกรรมและประติมากรรม
ล่าสุดองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(UNESCO) ประกาศให้เมืองศรีเทพเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ล่าสุดของประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้วครับ ...ไชโย
คู่มือนักเดินทาง
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบูรณ์ประมาณ
๑๓๐ กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข ๒๑
(เฉลิมพระเกียรติ-หล่มสัก) ถึงหลักกิโลเมตรที่ ๑๐๒ แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข
๒๒๑๑ ไปอีกประมาณ ๙ กิโลเมตรจะเห็นป้ายบอกทางเข้าอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพอยู่ด้านขวามือ
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา ๐๘.๐๐-๑๖๓๐ นาฬิกา ค่าบัตรเข้าชมคนละ
๒๐ บาท รถยนต์คันละ ๕๐ บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ ๐ ๕๖๙๒ ๑๓๒๒ ๐
๕๖๙๒ ๑๓๕๔
จากกรุงเทพเมื่อมาถึงสามแยกพุแคให้เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๒๑ (เฉลิมพระเกียรติ-หล่มสัก) ถึงหลักกิโลเมตรที่ ๑๐๒ แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข
๒๒๑๑ ไปอีกประมาณ ๙ กิโลเมตรจะเห็นทางเข้าอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพอยู่ด้านขวามือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น