ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่อง / ภาพ
“นั่น ๆ กระต่ายป่า”
หนึ่งในคณะของเราร้องขึ้น ขณะพากันเดินลอดซุ้มต้นไม้ร่มครึ้มคล้ายอุโมงค์
ปากทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาแห่งใหม่ในตำบลสถานของอำเภอนาน้อย เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตเล็ก
ๆ ฝูงหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างว่องไวในกลางท้องทุ่งหญ้าซึ่งสะท้อนแสงยามบ่ายเป็นสีเงินยวง
ทว่าเพียงวูบเดียวพวกมันก็หายวับไปจากสายตา หลงเหลือเพียงความเงียบสงบของท้องทุ่งหญ้าและภูมิประเทศประหลาดที่มีชื่อเรียกขานกันมาว่า “โปดหมาผี”
โปดหมาผี อลังการกำแพงธรณีจากธรรมชาติ
“คำว่า
“โปด” เป็นภาษาพื้นบ้านแถบนี้ หมายความถึงการยุบตัวหรือพังทลายของดิน ส่วน “หมาผี” นั้นคือหมาจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ
ที่อาศัยอยู่ในป่าแถบนี้ กลางวันจะซ่อนตัวอยู่ตามรูดิน ออกหากินตอนกลางคืน
อาหารของมันก็คือกระต่ายป่า มันจะชอบส่งเสียงหอนโหยหวน ชาวบ้านแถวนี้ได้ยินแต่เสียงหอน
ไม่เคยเห็นตัวสักที เลยเรียกว่า “หมาผี” บางทีก็เรียก “หมาจั๊กว้อ” ตามภาษาพื้นบ้าน “จั๊ก” แปลว่า เล็ก หรือ แหลม “ว้อ” แปลว่าหอน เพราะหมาจิ้งจอกชนิดนี้มันตัวเล็ก
เวลาหอนมันก็จะเสียงเล็ก ๆ แหลม ๆ”
ผมนึกไปถึงคำบอกเล่าจากหลวงพ่อสมเดช สุมโน หรือ
อดีตกำนันสมเดช ผาบสละ ผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งเกิด เติบโต อยู่ในตำบลสถาน จนกระทั่งปัจจุบันอุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่วัดบง
ซึ่งวันก่อนพวกเราแวะเข้าไปนมัสการให้ท่านช่วยไขปริศนาคาใจเกี่ยวกับชื่อ
“โปดหมาผี” อันแปลกประหลาดไม่เคยได้ยินที่ไหน ฝูงกระต่ายป่าพวกนี้คงเป็นแหล่งอาหารของ
“หมาผี” หรือ “หมาจั๊กว้อ” ที่ท่านว่า
ขนาดอาหารของมันยังรวดเร็วว่องไวปานสายลมขนาดนี้
ไม่แปลกใจเลยครับที่จะไม่มีใครเคยได้เห็นตัวมันเป็น ๆ
“นี่ไง
ขี้กระต่าย ยังใหม่ ๆ อยู่เลย” พวกเราพากันมุงดูหลักฐานสำคัญ เมื่อเดินไปถึงตรงที่เห็นหลังไว
ๆ เมื่อครู่ มูลกระต่ายที่กระจายอยู่รอบบริเวณ ช่วยยืนยันได้ว่าเป็นฝูงกระต่ายป่าจริง
ๆ ไม่ได้ตาฝาดหรือมโนไปเองแต่อย่างใด
“แล้วเราจะได้เห็นหมาจั๊กว้อกันไหมเนี่ย
ว่าหน้าตาเป็นยังไง ”
“น่าจะยาก
ขนาดชาวบ้านเขาอยู่กันมาทั้งชีวิตยังไม่เคยเห็นเลย เรามากันแค่ไม่กี่วัน ถ้าได้เจอนี่ยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งอีกนะ”
คุยกันไปเดินลุยทุ่งหญ้ากันไปทางทิศตะวันออก
มาสุดตรงกำแพงดินสูงชันตั้งตระหง่านเป็นแนวยาวกางกั้นไว้ พอมาหยุดยืนพวกเราถึงได้รู้สึกว่าช่วงขาและเท้าของพวกเรากลายสภาพเป็นเม่นไปเสียแล้ว
เพราะเต็มไปด้วยดอกหญ้าเจ้าชู้ที่แทงทะลุเนื้อผ้า ถุงเท้า และรองเท้าผ้าใบ จนเจ็บ
ๆ คัน ๆ ต้องพากันหยุดยืนพัก ค่อย ๆ
ดึงถอนออกทิ้งทีละดอก
ผมยืนพินิจพิจารณาแนวผาดินตรงหน้า ดูไปแล้วบริเวณโปดหมาผีนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับที่
“เสาดินนาน้อย” โดยเฉพาะบริเวณที่เรียกกันว่า
“คอกเสือ” ในอุทยานแห่งชาติศรีน่านที่อยู่ไม่ไกลจากกันเท่าไหร่
วันแรกที่มาถึงอำเภอนาน้อย พวกเรายังแวะเวียนไปเดินชมกันอยู่ แล้วก็ยังคงตื่นตาตื่นใจเหมือนเดิมครับ กับประติมากรรมธรรมชาติที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่กว่า ๕๐ ไร่
จะว่าไปก็แปลกดีครับ
เฉพาะที่อำเภอนาน้อยแห่งเดียวนี่มีแหล่งเสาดินอยู่หลายแห่ง ผู้สันทัดกรณีเขาว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธรณี
เกิดจากดินตะกอนที่ทับถมกันเป็นจำนวนมากอยู่ก้นทะเลลึก
เมื่อมีการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในยุคเทอร์เชียรีตอนปลาย
(ราว ๆ ๒๘ ล้านปีก่อน) ถูกดันยกขึ้นมาบนบกเป็นผืนแผ่นใหญ่
จากนั้นบางส่วนก็ค่อย ๆ พังทลายยุบตัวลง อีกทั้งผ่านกาลเวลา การแผดเผาของแสงแดด
การกัดเซาะของน้ำฝน และสายลมในธรรมชาติ อย่างต่อเนื่องมาอีกหลายล้านปี
แร่ธาตุที่ตกตะกอนต่างกันในชั้นต่าง ๆ ส่งผลให้ความแข็งแกร่งในแต่ละส่วนไม่เท่ากัน ส่วนที่บอบบาง ค่อย ๆ สึกกร่อนออกไป หลงเหลือไว้แต่ส่วนที่แกร่งกว่า เกิดเป็นประติมากรรมดินตะกอนรูปร่างแปลกตา ทรวดทรงแตกต่างกันออกไป บ้างเป็นกำแพงดินขนาดใหญ่เต็มไปด้วยริ้วลายร่องลึก บ้างเป็นรูปเห็ดกลมมน บ้างเป็นแท่งสูงใหญ่ ฯลฯ
ตรงจุดที่เรายืนกันอยู่นี้มีป้าย
“โปดหมาผี” เป็นอักษรศิลป์สีขาวตัวใหญ่เขียนไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวมายืนถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกัน
เพราะว่าเป็นจุดที่มีประติมากรรมธรรมชาติหลากหลายรูปแบบที่สุด ลักษณะเป็นหุบเล็ก ๆ
ตอนในสุดคือกำแพงดินสูงตระหง่านชนิดแหงนคอตั้งบ่า ด้านบนเป็นหมวก เบื้องล่างลงมาเป็นเส้นสาย
ผมมองเห็นเป็นเห็ดเข็มทองในร้านสุกี้ที่ขนาดใหญ่ยักษ์ ถัดออกมาหน่อยมีสันดินยื่นออกมาที่ผมเห็นว่าเหมือนทิวเทือกเขาหินปูนยอดสูง
ๆ ต่ำ ๆ ต่อเนื่องออกมาจนถึงด้านนอกสุดที่มองดูเหมือนซากโบราณสถานเก่า ๆ ปรักหักพัง
เรื่องการมองเห็นเป็นอะไรนี่นานาจิตตังครับ
ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ส่วนตัว มาด้วยกันอาจจะเห็นเป็นคนละอย่างก็ได้
ดังนั้นไม่ต้องเถียงกัน ให้ต่างคนต่างใช้จินตนาการของตัวเองในการชมเป็นหลัก ถึงเห็นไม่เหมือนกัน
แต่รับรองได้ว่าถ่ายภาพออกมาสวยเหมือนกันแน่ ๆ
เดินชมไปพลาง ถ่ายภาพไปพลาง ถอนดอกหญ้าเจ้าชู้ออกจากแข้งขาให้พอเดินต่อได้ไปพลาง
เป็นที่พอใจแล้วพวกเราก็พากันก้าวเดินเลียบเลาะไปตามแนวหน้าผาดินซึ่งเป็นพืดยาวสูง
ๆ ต่ำ ๆ ต่อเนื่องไปทางทิศเหนือ โดยคราวนี้ผมใช้วิธีเดินก้าวเหยียบยอดหญ้าเจ้าชู้ไป
(ไม่ใช่เดินบนยอดหญ้านาครับ นั่นมันนิยายกำลังภายใน) การยกเท้าสูง ๆ เหยียบยอดหญ้าลงกับดินก่อนจะเดินผ่านไป
ช่วยให้ดอกหญ้าเจ้าชู้ติดขากางเกงและถุงเท้ารองเท้าน้อยลงได้เยอะเลยทีเดียว
แต่บางคนก็เลือกใช้วิธีหยิบเอากิ่งไม้ยาว ๆ
หวดซ้ายป่ายขวาฟาดยอดหญ้าให้กระจายก่อนเดินไป ได้ผลเหมือนกัน
แนวผาค่อย ๆ ตีวงโค้งลงมาทางทิศเหนือ
ก่อนจะวกมาทางทิศตะวันตกเป็นรูปตัวยู ทำให้เราเหมือนเดินเข้าไปในหุบใหญ่ แลไปเห็นเนินดินรูปร่างแปลกตาน้อยใหญ่ลอยตัวอยู่กลางทะเลทุ่งหญ้า
พื้นผิวผนังตลอดแนวถูกกัดเซาะด้วยธรรมชาติ บ้างพังทลายลงมาเป็นกอง บ้างยังยืนเด่นโชว์ผืนผาเป็นริ้วลายลึก
เว้นช่องไฟอย่างเป็นจังหวะ ชวนให้จินตนาการถึงเสาวิหารโบราณเรียงราย
ผืนป่าเต็งรังในพื้นที่ทั้งด้านบนของหน้าผาและในทุ่งหญ้าต่างเปลี่ยนสีใบเป็นเหลืองแดง
แต่งแต้มเติมให้บรรยากาศรอบข้างดูเต็มไปด้วยสีสัน ต้นไม้หลายต้นทิ้งใบจนโกร๋นเหลือแต่กิ่งก้านเรียงกันให้อารมณ์วังเวง
บางต้นยืนเด่นอยู่ริมผาที่พังทลาย คล้ายจะตกไม่ตกแหล่
เดินชมผา
ชมไม้ (ไม่มีนก) กันมา ต่างคนต่างก็มีจินตนาการอันบรรเจิด
“ถ้าปลูกดอกไม้ให้เต็มไปหมดในนี้ น่าจะสวยดีอยู่นะ นักท่องเที่ยวมาน่าจะชอบ
มุมถ่ายรูปเยอะดี”
“มันจะมีผลกระทบกับระบบนิเวศของพื้นที่หรือเปล่า
ไม่ใช่นึกจะปลูกก็ปลูกนา”
ถึงไม่ได้อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
แต่โปดหมาผีมีลักษณะเป็นป่าแดงป่าแพะหรือป่าเต็งรัง อันเป็นป่าผลัดใบประเภทหนึ่งซึ่งมักเกิดในพื้นที่แห้งแล้งดินร่วนปนทราย
กรวด หรือลูกรัง ในพื้นที่ประมาณ ๑๕ ไร่
กว้างขวางพอสมควร ถือว่าเป็นแหล่งธรรมชาติอย่างไม่ต้องสงสัยครับ ลงมีสัตว์ป่าอย่างกระต่ายป่าหรือหมาจิ้งจอกอยู่อาศัย
ก็ยิ่งต้องนับว่ายังมีความเป็นป่าและมีระบบนิเวศที่ดำเนินไปในตัวของมันอยู่อย่างแน่นอน
ดังนั้นการจะทำอะไรควรจะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือมีการศึกษาผลกระทบให้ดีเสียก่อน
ที่แน่ ๆ
เดินมานี่ผมเห็นยังมีพืชพรรณนานาชนิดขึ้นอยู่อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะสองฟากทางที่เดินผ่าน
พบเอื้องขี้หมาตามภาษาพื้นเมือง (หรือเรียกอีกชื่อที่ฟังดูดีกว่าคือ เอื้องเขาแกะ)
เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ต้นไม้เต็มไปหมด เอื้องชนิดนี้ออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม
เสียดายที่เรามาตอนปลายเดือนธันวาคมเลยยังไม่ได้เห็นดอก
เขาว่าที่นี่ยังมี
“ต้นดิกเดียม” พืชที่มีความแปลกประหลาด ขยับกระดุกกระดิกได้เมื่อถูกสัมผัสขึ้นอยู่หลายต้นด้วย
หลายปีก่อนผมเคยไปดูต้นดิกเดียมต้นดังที่วัดปรางค์ ในอำเภอปัว ได้ทดลองเอานิ้วจี้ที่ลำต้น
ปรากฏว่ามันดุกดิกสั่นไหวเหมือนกับจั๊กจี้จริง ๆ
เป็นที่ประทับใจมาก
ปัญหาอยู่ที่ตอนนี้ผมจำไม่ได้แล้วว่าต้นดิกเดียมหน้าตาเป็นยังไง
ทำให้แม้พยายามจะมองหา ก็ดูไม่ออกว่าเป็นต้นไหนอยู่ดี แถมต้นไม้ตรงนี้ยังมีไม่ใช่น้อย
จะให้ไปเดินไล่จั๊กจี้พิสูจน์ทุกต้นก็คงไม่ไหวครับ
ใครมาเห็นเข้าคงจะหาว่าผมสติไม่เต็มบาทเป็นแน่ทีเดียว
ตระการตาสถาปัตยกรรมแห่งปฐพี เจดีย์ดิน
แมกไม้เขียวและสายลมเย็นเป็นสิ่งแรกที่สัมผัสได้
เมื่อคณะของเราลงจากรถซึ่งจอดไว้ตรงปากทางเข้าสู่เจดีย์ดินบ้านศาลา ระยะทางห่างจากโปดหมาผีแค่
๔ กิโลเมตร
ลักษณะภูมิประเทศเป็นหุบ
มีกำแพงดินสูง ๆ ต่ำ ๆ ล้อมรอบพื้นที่ไว้ทุกด้าน ทางดินลาดลงเนินพาพวกเราเดินข้ามสะพานท่อนไม้ที่พาดทอดข้ามลำห้วยเล็ก
ๆ อันแห้งผากในฤดูหนาว เข้าสู่ความร่มครึ้มของผืนป่าเต็งรังซึ่งกำลังเปลี่ยนสีเตรียมผลัดใบ
“นี่มันโพรงอะไรน่ะ
คงจะไม่ใช่โพรงงูจงอางหรือเหลือมหรอกนะ
เกิดอยู่ดี ๆ โผล่พรวดออกมา มีหวังได้วิ่งกันป่าราบ”
“น่าจะเป็นโพรงกระต่ายป่ามากกว่าน่า
เพราะแถวนี้ก็เป็นป่าประเภทเดียวกับโปดหมาผี น่าจะมีสัตว์ป่าเหมือน ๆ กันนั่นแหละ”
“ยังงั้นก็อาจจะมีหมาจั๊กว้อด้วยน่ะสิ
หรือบางทีนี่อาจจะเป็นโพรงหมาจั๊กว้อก็ได้”
พูดถึงเรื่องหมาจั๊กว้อแล้ว น่าจะเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อยครับ
(ขนาดพวกเรายังสนใจเลย)
เนื่องจากมีชื่อเกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาของสถานที่ท่องเที่ยวโปดหมาผี เรื่องนี้ความจริงน่าจะมีการเชิญนักวิชาการ
ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่า เข้ามาทำวิจัยถ่ายภาพ ศึกษาพฤติกรรมอย่างจริงจัง เอามาทำเป็นป้ายนิทรรศการบอกเล่าข้อมูล
หรือจะปั้นเป็นประติมากรรมเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เห็น ได้รู้จักหน้าค่าตาเจ้าหมาจั๊กว้อเจ้าถิ่น
หรือจะทำเป็นตัวการ์ตูน ทำตุ๊กตามาสค็อต ขายเป็นของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวก็ไม่เลว (ชักฟุ้งซ่านแฮะเรา)
เส้นทางเดินเริ่มต้นจากตรงเสาดินขนาดใหญ่
รูปร่างเหมือนหัวไก่ในทัศนะของผม (แต่บางคนก็ว่าเหมือนหัวสุนัขพุดเดิ้ล) ตระหง่านอยู่ตรงหน้าปากทาง
พวกเราพากันเดินเลียบเลาะไปตามแนวกำแพงดินเตี้ย
ๆ เนื่องจากฝั่งนี้มีการพังทลายค่อนข้างเยอะ
ที่หลงเหลือมีสภาพเป็นเสาดินจึงขนาดไม่ไหญ่มาก แต่ก็มีรูปทรงประหลาดตา
เหมือนรากไม้ขนาดใหญ่บ้าง เหมือนปราสาทขอมโบราณบ้าง เหมือนเจดีย์ขนาดย่อม ๆ ก็มี
เดินดูเล่น ๆ ได้พอเพลิน
ลอดซุ้มไม้ขึ้นเนินไปอีกครั้งนั่นแหละครับ
เหมือนกับผ่านประตูเข้าสู่มิติมหัศจรรย์ เพราะเข้าไปก็เจอกับเสาดินขนาดมหึมาสูงเสียดฟ้าหลายแท่ง
เรียงรายกันอยู่เป็นแถวเป็นแนว เด่นตระหง่านอยู่กลางลานกว้าง คะเนดูความสูงด้วยสายตาน่าจะอยู่ระหว่าง
๑๓-๑๕ เมตร ส่วนใหญ่รูปทรงคล้ายสถูปเจดีย์ทรงระฆังในสถาปัตยกรรมไทย
เป็นที่มาของชื่อเรียกขานสถานที่แห่งนี้ว่า “เจดีย์ดิน”
แต่ก็ไม่ใช่เสาดินทั้งหมดบริเวณนี้นะครับ
ที่ดูเหมือนเจดีย์ทรงระฆัง เพราะบางอันก็รูปทรงสูงผอมชะลูดเกินไปหน่อย แต่จะโมเมว่าดูคล้ายพระปรางค์วัดอรุณฯ
ก็พอได้อยู่ (เจดีย์เหมือนกัน) ยังมีบางเสาดูเหมือนเจดีย์ทรงปราสาทยอดที่ยอดหักไป
บางเสาเหมือนเจดีย์ย่อมุมด้วยริ้วลายบนพื้นผิวโดยรอบ
ดูรวม ๆ
แล้วละลานตา น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ชื่นชอบท่องเที่ยวแนวโบราณอย่างผม
ได้อารมณ์เหมือนได้มาพบนครโบราณร้างกลางป่ายังไงยังงั้น
ธรรมชาติก็ช่างสรรค์สร้างเสียจริงครับ ยิ่งดูยิ่งเหมือนมีการจัดวางเป็นอย่างดี
เพราะในตำแหน่งที่เป็นเสมือนศูนย์กลางของลานดินในบริเวณนี้
ก็ให้บังเอิญเป็นตำแหน่งที่ตั้งของเสาดินที่มีขนาดใหญ่ สัดส่วนและรูปทรงกลมกลึงสวยงาม
เหมือนกับเจดีย์ที่สร้างด้วยฝีมือมนุษย์มากที่สุดอีกด้วย
เหมือนขนาดไหนนะหรือครับ ก็ขนาดที่ทำให้เมื่อหลายปีก่อนชาวบ้านศาลาได้นิมนต์เจ้าอาวาสวัดบ้านศาลาให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานไว้ที่ยอดของเจดีย์ดินองค์นี้ด้วยนะสิครับ
โดยเจาะช่องประดิษฐานไว้บริเวณส่วนคอคอดที่เหมือนคอระฆังก่อนถึงยอด
รู้เรื่องนี้แล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะนึกเป็นห่วงอยู่ในใจ
นิด ๆ หวังว่าตอนที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว คงจะได้มีการปิดช่องที่เจาะอย่างแน่นหนา
โดยเฉพาะเคลือบกันน้ำเข้าด้วย เพราะหากมีช่องหรือมีร่องเล็ก ๆ ให้น้ำฝนซึมผ่านเข้าไปข้างในเจดีย์ดินได้
เวลาฝนตกน้ำอาจเข้าไปเซาะภายในใจกลาง ทำให้เจดีย์ดินพังทลายลงมาก็เป็นได้
ประทับใจกับรูปทรงจนผมต้องเดินวนเดินเวียนดูอยู่ตรงลานนี้เป็นนานสองนานครับ
ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาหายากมาก สำหรับการกัดกร่อนโดยธรรมชาติแดดฝนลมฟ้าอากาศแล้วจะได้ออกมาเป็นรูปทรงกรวยสวย
ๆ เหมือนคนสร้างแบบนี้ ผมเองบอกเลยว่าตระเวนไปดูเสาดินมาทั่วไทยแล้ว แหล่งอื่นไม่ใช่ว่าไม่มีทรงกรวยเหมือนเจดีย์นะครับ
มีเหมือนกัน แต่ขนาดเล็ก ๆ ทั้งนั้น อย่างมากก็แค่เท่าขนาดเท่าเจดีย์บรรจุอัฐิตามป่าช้าวัด
เพิ่งเห็นที่นี่แห่งเดียวนี่แหละที่ขนาดใหญ่โตมโหฬารเหมือนกับเจดีย์จริง ๆ
ตุหรัดตุเหร่ดูโน่นดูนี่เรื่อยเปื่อยไปจนถึงริมผนังกำแพงดินด้านในที่สูงตระหง่าน
เต็มไปด้วยริ้วรอยของ ลมฟ้าอากาศและกาลเวลา มองไปมองมาอยู่พักใหญ่ ก็ถึงบางอ้อ
เข้าใจแล้วครับ ถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเป็นเจดีย์ดินขนาดใหญ่ขนาดนี้ได้
ขนาดของกำแพงดินนั่นแหละครับ
คือตัวหลักเลย เพราะเมื่อพิจารณาดี ๆ แล้วแนวกำแพงดินด้านหลังที่โอบล้อมเจดีย์ดินอยู่
มีความสูงโดยประมาณอยู่ในระดับ ๑๕ –๑๖ เมตร คือสูงกว่าเจดีย์ดินเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับระดับความสูงกำแพงดินของแหล่งอื่น
ที่เจดีย์ดินบ้านศาลานี้ถือว่าสูงกว่ามาก
รูปแบบของการกัดกร่อนและพังทลายของผนังดินที่ปรากฏอยู่บนผนังถือเป็นกุญแจสำคัญ
เพราะที่ผมเห็นตอนนี้ผนังบางส่วนถูกกัดกร่อนจนมีลักษณะคล้ายเจดีย์ดินที่อยู่ด้านนอกแล้ว
เพียงแต่ยังไม่แยกตัวออกมาเป็นเจดีย์ดินชัด ๆ แบบลอยตัวเท่านั้น
เมื่อผนังกำแพงดินสูงใหญ่
เจดีย์ดินที่เกิดจากการสึกกร่อนของกำแพงดินก็เลยมีความสูงใหญ่ไปด้วยนั่นเอง
แต่ธรรมชาติก็ไม่ได้ให้อะไรรับประกันครับ
ว่ากำแพงดินที่สึกกร่อนอยู่ในปัจจุบัน
อนาคตข้างหน้าจะกลายมาเป็นเจดีย์ดินเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสภาพลมฟ้าอากาศและปัจจัยแวดล้อมอื่น
ๆ อีกมากมาย รวมไปถึงการเดินทางเข้ามาเที่ยวชมของนักท่องเที่ยวด้วย
ที่ปรากฏให้เราเห็นอยู่ในปัจจุบันก็ถือว่าเป็นความอัศจรรย์ของธรรมชาติมากแล้ว
ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะช่วยกันดูแลรักษาให้คงสภาพความงดงามเช่นนี้
ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ
ขอขอบคุณ
องค์การบริหารส่วนตำบลสถาน พระสมเดช สุมโน คุณปรีชญา ไชยบุญเรือง
ที่ได้อำนวยความสะดวกในการจัดทำจนสารคดีเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
คู่มือนักเดินทาง
โปดหมาผี ตั้งอยู่บ้านร้อง
หมู่ ๓ ตำบลสถาน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน บนเส้นทางถนนสายนาน้อย – นาหมื่น
เข้าทางถนนข้างที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลสถาน ระยะทางประมาณ ๒๐๐ เมตร เข้าชมฟรีไม่มีค่าบัตรผ่านเข้าชม
เจดีย์ดินบ้านศาลา
ตั้งอยู่ที่ บ้านศาลา หมู่ ๑ ตำบลสถาน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน
ทางเข้าติดกับทางหลวงหมายเลข ๑๐๒๖ (นาน้อย-นาหมื่น)
ทางเข้าอยู่ตรงซอยติดกับวัดศาลา เข้าไปอีกประมาณ ๕๐๐ เมตรถึงลานจอดรถ
เข้าชมฟรีไม่มีค่าเข้าชม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น