วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ลำพูน-เชียงใหม่ บนรอยทางตำนานรักนิรันดร์แห่งวิลังคราช


ประติมากรรมขุนหลวงวิลังคะพุ่งเสน้าบนม่อนล่อง

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์ เรื่อง สุรพล สุภาวัฒนกุล ภาพ

ตีพิมพ์ครั้งแรกใน อนุสาร อ.ส.ท. มกราคม ๒๕๖๘

            สายลมหนาวพัดผ่านเย็นสบาย แม้เริ่มจะเป็นเวลาสาย ทว่าม่านหมอกขาวโพลนยังลอยละล่องลิ่วเคลื่อนคลุมเหนือบริเวณยอดดอยอันได้ชื่อว่าสูงสุดของอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ขนาดมองเห็นแนวแมกไม้ที่อยู่ใกล้เพียงเป็นเงาตะคุ่ม ๆ เท่านั้น

 ริมหน้าผาประติมากรรมสีทองขนาดใหญ่ของขุนหลวงวิลังคะ ราชาองค์สุดท้ายของชาวลัวะ เด่นสง่ากลางสายหมอกในท่วงท่ากำลังจะทรงพุ่ง “เสน้า” ศาสตราวุธคู่พระทัยประจำพระองค์อันเลื่องลือชื่อในแสนยานุภาพออกไป

ความจริงหากจะให้ถูกต้องตามตำนานแล้ว ประติมากรรมของพระองค์ควรทรงอยู่ในอิริยาบถประทับนั่งทอดพระเนตรออกไปมากกว่า เนื่องเพราะบนยอด “ดอยคว่ำหล้อง” หรือที่ปัจจุบันเขียนและเรียกขานกันว่าม่อนล่องแห่งนี้ คือสถานที่ฝังพระศพตามพระราชประสงค์ของพระองค์เอง เพื่อจะได้ทอดพระเนตรเห็นนครหริภุญไชยของพระนางจามเทวี กษัตรีย์ผู้เป็นที่รักได้ตลอดไปตราบชั่วกาลนาน

พระนางจามเทวี

ย้อนตำนานโศกนาฏกรรมรักพันปี

            ตำนานความรักข้างเดียวอันแสนรันทด แต่งดงามด้วยความเป็นนิรันดร์ ที่ขุนหลวงวิลังคะมีต่อพระนางจามเทวีถูกเล่าขานผ่านการเล่า “เจี้ย” หรือนิทานพื้นบ้านของชาวล้านนาสืบทอดกันมายาวนานนับพันปีครับ จึงมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันออกไปมากมายตามแต่ละท้องถิ่น แต่เนื้อหาหลักโดยรวม ๆ อยู่ในแกนเรื่องเดียวกัน คืออิงกับประวัติศาสตร์การสถาปนานครหริภุญไชย พุทธอาณาจักรแรกบนแผ่นดินเหนือ อันปรากฏเรื่องราวบันทึกอยู่ในคัมภีร์จามเทวีวงศ์ ตำนานมูลศาสนา และชินกาลมาลีปกรณ์ นั่นเอง หากใครสนใจก็ไปหาอ่านเพิ่มเติมเองได้ ในที่นี้ผมขอสรุปความแบบ “รวมฮิต”เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตำนานให้อ่านเข้าใจกันง่าย ๆ ไปพลางก่อนแล้วกันครับ

            จุดเริ่มต้นของตำนานคือพระฤาษีสุเทวะ พระฤาษีสุกกทันตะ พร้อมด้วยผองเพื่อนฤาษีอีกหลายตนได้ริเริ่มสร้างนครหริภุญไชยขึ้นบนที่ราบลุ่มระหว่างแม่น้ำกวงกับแม่น้ำปิงในราวประมาณปีพ.ศ. ๑๒๐๒ แล้วจึงได้ส่งฑูตไปขอพระนางจามเทวีพระราชธิดาของพระเจ้าจักวัติราชแห่งกรุงละโว้ให้เสด็จขึ้นมาครองราชสมบัติ พระนางในขณะนั้นกำลังทรงพระครรภ์ได้สามเดือนและทรงเป็นม่าย (เนื่องจากพระสวามีที่เป็นพระมหาอุปราชครองเมืองราม ทรงศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าสละราชสมบัติออกผนวชตลอดพระชมน์ชีพ)  ได้กราบถวายบังคมลาพระราชบิดาก่อนจะเสด็จทางเรือพร้อมด้วยพระสงฆ์ สมณะชีพราหมณ์ พ่อค้า ช่างสาขาต่าง ๆ อย่างละ ๕๐๐ คน และข้าราชบริพาร รวมทั้งสิ้นประมาณ ๘,๐๐๐ คน เป็นขบวนเรือใหญ่ขึ้นมาทางลำน้ำปิง ซึ่งถือเป็นเส้นทางปลอดภัยและสะดวกที่สุดสำหรับการเดินทางในสมัยโบราณ กระนั้นก็ยังต้องพบกับความยากลำบากและทุรกันดารระหว่างทางไม่น้อย ดังปรากฏเรื่องราวร่องรอยเป็นชื่อสถานที่ต่าง ๆ ตามรายทาง ใช้เวลาเดินทาง ๗ เดือนจึงมาถึงนครหริภุญไชย ภายหลังมาถึงได้ ๗ วันก็ทรงประสูติพระโอรสฝาแฝดพระนาม “เจ้าชายมหายศ” กับ ”เจ้าชายอนันตยศ”  

ห้องพระนางจามเทวีในวัดจามเทวี (กู่กุด) 

ช่วงเวลานั้นบริเวณดอยสุเทพและอาณาบริเวณโดยรอบเป็นพื้นที่ปกครองของขุนหลวงวิลังคะกษัตริย์แห่งชาวลัวะ ผู้ทรงเป็นจอมขมังเวทและนักรบผู้เก่งกล้า เป็นที่เลื่องลือด้วยพระราชศาสตราวุธคู่พระทัยที่เรียกว่า “เสน้า”  (อ่านว่า “สะ-เหน้า” หมายถึงหอกซัดที่จัดทำขึ้นพิเศษเฉพาะบุคคล ให้มีความยาวเท่ากับแขนที่วัดจากหัวไหล่ไปสุดปลายนิ้วกลางของเจ้าของ)  อันเปี่ยมล้นด้วยพลังของเหล่าภูติผีที่สิงสถิตภายใน มีความแม่นยำทรงอานุภาพทำลายล้างไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจต้านทาน  พระองค์สดับกิตติศัพท์ความงดงามของสิริโฉมแห่งพระนางจามเทวีแล้วทรงสนพระทัยยิ่ง ถึงขนาดปลอมพระองค์เข้าไปในนครหริภุญไชยเพื่อชมโฉมของพระนาง เมื่อทอดพระเนตรเห็นก็ทรงตกหลุมรักในทันที  เสด็จกลับถึงเมืองจึงทรงรีบจัดส่งฑูตและขบวนขันหมาก ๕๐๐ สาแหรกไปสู่ขอพระนางจามเทวีมาเป็นพระมเหสี

พระนางจามเทวีทรงเห็นว่าขุนหลวงวิลังคะเป็นราชาชาวพื้นเมืองไร้ศาสนา นับถือภูติผี ด้อยกว่าในทางวัฒนธรรม แต่ด้วยนครหริภุญไชยเพิ่งจะตั้งเป็นบ้านเมือง ยังไม่มีความเข้มแข็งทางการทหารเพียงพอต่อกร หากปฏิเสธไปตรง ๆ เกรงจะเกิดเป็นศึกสงครามใหญ่ไม่อาจรับมือ จึงทรงบ่ายเบี่ยงไปแบบให้ความหวัง ว่าพระนางเพิ่งทรงมีประสูติกาลพระกุมาร สุขภาพร่างกายยังไม่พร้อมสำหรับการอภิเษก ขอทางขุนหลวงวิลังคะจงอดใจอีกสักพักให้ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมก่อน ขุนหลวงวิลังคะจึงทรงรอคอยอย่างมีความหวัง ในขณะที่ทางนครหริภุญไชยกลับเสริมสร้างความเข้มแข็งทางทหารไว้เตรียมรับศึก อีกทั้งพระนางจามเทวียังได้ทรงทำพิธีบวงสรวงเทวดาขอช้างศึกประจำพระนคร  จนได้ช้างเผือก “ภูก่ำงาเขียว” อันทรงอิทธิฤทธิ์มาเป็นช้างศึกคู่พระบารมี

รูปพระนางจามเทวีในศาลเจ้าแม่จามเทวี

กาลผ่านไปเจ็ดปีขุนหลวงวิลังคะจึงยกกองทัพมาทวงถามถึงการอภิเษก พระนางจามเทวีทรงเห็นว่ายังเกินกำลังจะรับมือ จึงทรงบ่ายเบี่ยงไปอีกครั้ง ซึ่งเรื่องราวในตอนนี้มีหลายเรื่องเล่า บางตำนานก็ว่าพระนางจามเทวียื่นเงื่อนไขเดิมพันให้ขุนหลวงวิลังคะกลับไปสร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้นในดินแดนลัวะของตนเองให้เหมือนกับองค์พระธาตุของนครหริภุญไชยทุกประการเสียก่อน  ขุนหลวงวิลังคะจึงทรงยกทัพกลับไป ไม่นานก็สร้างพระธาตุเจดีย์ได้สำเร็จเหมือนพระธาตุหริภุญไชยทุกกระเบียดนิ้ว จนพระนางจามเทวีต้องทรงตั้งสัจจาธิษฐาน ว่าหากพระองค์มีบุญญาธิการสามารถครองนครหริภุญไชยโดยปราศจากชายใดมาข้องเกี่ยว ขอทวยเทพเทวาบันดาลให้เจดีย์ที่ขุนหลวงวิลังคะสร้างจงมีอันเป็นไป ปรากฏว่าเจดีย์เกิดเอนเอียงไปทางนครหริภุญไชย  ถือว่าขุนหลวงวิลังคะไม่สามารถทำได้สำเร็จตามเงื่อนไข เจดีย์องค์นั้นจึงถูกเรียกว่า “เจดีย์ขี้ติ” หมายถึงมีตำหนิ 

ในขณะที่บางตำนานว่าพระนางจามเทวียืนเงื่อนไขเดิมพันว่าหากขุนหลวงวิลังคะพุ่งหอกเสน้าจากดินแดนลัวะมาตกในกำแพงเมืองหริภุญไชยได้ พระนางก็จะทรงตกลงยอมเป็นพระมเหสี โดยให้โอกาสพุ่งได้ถึงสามครั้ง ขุนหลวงวิลังคะจึงเสด็จขึ้นไปยังยอดดอยปุย ทำพิธีบริกรรมคาถาอาคมปลุกพลังภูติผีในเสน้าแล้วพุ่งออกจากยอดดอยมา เพียงครั้งแรกก็มาตกตรงนอกเมืองหริภุญไชยทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างกำแพงเมืองไปเพียงไม่กี่วาเท่านั้น  ด้วยอานุภาพของเสน้าอันมีพลังทำลายประดุจขีปนาวุธทำให้เกิดหลุมใหญ่กลายเป็นหนองน้ำเรียกกันว่า “หนองเสน้า”  

พระนางจามเทวีทรงเห็นเช่นนั้นก็ทรงวิตกในพระทัย เนื่องจากยังมีโอกาสพุ่งเสน้าที่ครั้งที่สองและสามเหลืออยู่ มีความเป็นไปได้มากที่ครั้งใดครั้งหนึ่งอาจจะตกลงในกำแพงเมือง  จึงทรงนำเอาผ้าพระภูษา(ผ้าถุง) ของพระนางมาเย็บขึ้นเป็นพระมาลา(หมวก) สำหรับผู้ชาย พร้อมทั้งนำเอาปลายใบพลูมาจิ้มพระโลหิตระดูของพระนางทำเป็นหมากสำหรับเคี้ยว แล้วรีบส่งคนนำไปถวายแด่ขุนหลวงวิลังคะเป็นของกำนัล ในทำนองส่งกำลังใจให้พุ่งเสน้าลงในเมืองได้สำเร็จ เมื่อได้รับของฝากจากพระนางผู้เป็นที่รักขุนหลวงวิลังคะย่อมปลาบปลื้มโสมนัสยิ่ง ทรงเคี้ยวหมากจากพระนางพร้อมทั้งนำพระมาลาผ้าถุงสวมลงบนพระเศียร ส่งผลให้คาถาอาคมในพระองค์เสื่อมลงในทันที เมื่อพุ่งเสน้าเป็นครั้งที่สอง จึงปราศจากพลังจากภูติผีสิงสถิตช่วยขับเคลื่อนให้ทรงอานุภาพเช่นเดิม เสน้าจึงพุ่งตกลงแค่เพียงเชิงเขากลายเป็นหนองเสน้าอีกแห่งบริเวณดอยสุเทพ

ภาพวาดพระนางจามเทวีหลังวิหารวัดพระยืน


ถึงตรงนี้เรื่องราวมีความแตกต่างอีกครั้ง บางตำนานเล่าว่าขุนหลวงวิลังคะเมื่อทรงทราบว่าถูกหลอกด้วยกลอุบายจึงพิโรธยกกองทัพชาวลัวะจำนวน ๘๐,๐๐๐ คนเข้าโจมตีนครหริภุญไชย พระนางจามเทวีโปรดฯ ให้พระราชโอรสทั้งสองทรงคชเศวตช้างศึก “ภูก่ำงาเขียว” คู่พระบารมี นำทัพ ๓,๐๐๐ คนออกต่อต้าน แม้กำลังพลจะน้อยกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ แต่ด้วยพลานุภาพอาถรรพณ์ของช้างภูก่ำงาเขียว ที่หากผู้ใดเผชิญหน้าโดยตรงจะเกิดอาการหน้ามืดตามัว แขนขาอ่อนแรงหมดสิ้นกำลัง ทำให้กองทัพชาวลัวะของขุนหลวงวิลังคะต้องแตกพ่ายกระจัดกระจายหลบหนีเข้าป่าไปจนหมดสิ้น

ในขณะที่บางตำนานเล่าว่าเมื่อขุนหลวงวิลังคะเสื่อมวิชาอาคมทรงโทมนัสเสียใจยิ่ง หลบหนีออกจากบ้านเมืองเข้าป่าไป ก่อนที่ท้ายสุดจะประชวรหนักด้วยความตรอมพระทัยจนเสด็จสวรรคต บางตำนานก็ว่าขุนหลวงวิลังคะปลงพระชนม์ชีพของพระองค์เองด้วยการพุ่งเสน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วแอ่นพระอุระรับคมหอกเสน้าที่พุ่งตกลงมา ด้วยความโทมนัสเสียพระทัยที่หมดโอกาสได้ครองรักกับพระนางจามเทวีที่ทรงหมายปอง


ประติมากรรมขุนหลวงวิลังคะในม่านหมอกขาว

อย่างไรก็ตามขุนหลวงวิรังคะได้ทรงสั่งเสียในวาระสุดท้ายให้เสนาอำมาตย์นำพระศพของพระองค์ไปฝังไว้ยังสถานที่สามารถมองเห็นนครหริภุญไชยได้ตลอดไป ขบวนพระศพของขุนหลวงจึงถูกแห่แหนขึ้นสู่บนยอดดอยเพื่อหาสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงปรารถนา  ระหว่างทางขบวนเกิดลอดใต้ “เครือเถาหลง” ไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่าหากใครลอดผ่านจะหลงทาง ทำให้ขบวนแห่พลัดพรายกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง นักดนตรีพลัดหลงไปพร้อมกับเครื่องดนตรีของตน กลายเป็นชื่อของยอดเขาต่าง ๆ บนดอย ได้แก่ ดอยฆ้อง ดอยกลอง ดอยฉิ่ง และดอยสว่า แม้แต่โลงพระศพก็ถูกลมพัดจนแมวปลิว (คำว่าแมวในที่นี้ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่ร้องเหมียว ๆ นะครับ แต่เป็นภาษาถิ่นหมายถึงฝาครอบประดับโลงศพทำจากไม้ไผ่) กลายเป็นสันเขาที่เรียกว่า “กิ่วแมวปลิว”  

ในท้ายสุดเหล่าเสนามาตย์ผู้หาบหามโลงพระศพของขุนหลวงพากันไต่แนวเขาขึ้นไปทางทิศเหนือ ถึงยอดแห่งหนึ่ง สามารถมองเห็นทิวทัศน์กว้างไกลไปจนถึงนครหริภุญไชย โลงพระศพ (ภาษาท้องถิ่นเรียกโลงว่า “หล้อง”) ก็ได้พลิกคว่ำลงราวกับต้องการแสดงพระราชประสงค์เลือกพื้นที่ตรงนี้เป็นสถานที่ฝังพระศพ ต่อมาจึงเรียกขานกันว่า “ดอยคว่ำหล้อง” และเชื่อกันว่าพระศพและดวงพระวิญญาณของขุนหลวงวิลังคะได้สถิตอยู่ ณ  ยอดดอยแห่งนั้นตราบจนทุกวันนี้

สุวรรณจังโกฏิเจดีย์ (กู่กุด)  วัดจามเทวี

เลียบรอยหริภุญไชย นครกษัตรีย์โฉมงามจามเทวี

            พวกเรามาถึงตัวเมืองลำพูนแผ่นดินหริภุญไชยในอดีตกันเมื่อฟ้าเริ่มมืดลงจนเป็นสีน้ำเงินเข้ม  ระหว่างวนรถไปมานึกได้ว่าวันนี้เป็นวันศุกร์มีตลาดนัดถนนคนเดินเมืองลำพูน เลยต้องขอแวะไปเที่ยวชมเสียหน่อยก่อน เพราะครั้งก่อน ๆ ที่มาไม่เคยตรงวันสักที

บนพื้นที่ถนนคนเดินเมืองลำพูนที่ทอดยาวไปตามแนวกำแพงเมืองเก่าด้านทิศตะวันออกไปจนถึง สำนักงานเทศบาลนครลำพูนครึกครื้นไปด้วยร้านรวงและผู้คน ท่ามกลางแสงไฟสว่างไสวจากโคมกระดาษพื้นบ้านล้านนาหลากสีที่แขวนเรียงรายอยู่เหนือโครงเหล็กทรงโค้ง ลงจากรถมาก็สัมผัสได้ถึงสายลมหนาวที่พัดโชยมาแผ่ว ๆ ช่วยให้บรรยากาศน่าเดินขึ้นเยอะครับ  จากคาดไว้ว่าเมืองลำพูนเป็นเมืองเล็ก ๆ ถนนคนเดินน่าจะค่อนข้างเงียบเหงามีของขายไม่กี่อย่าง ปรากฏว่าตรงกันข้ามเลยทีเดียว 

เดินทอดน่องชมตลาดกันมาเรื่อย จากประตูเมืองเก่ามาถึงหน้าวัดพระธาตุหริภุญชัยจะเป็น สินค้าประเภทเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ของเล่นของที่ระลึกนานาสารพัดชนิด มีตั้งแต่ขนาดใหญ่อย่างเฟอร์นิเจอร์เตียง ตู้ โต๊ะไปจนถึงเล็ก ๆ อย่างพวงกุญแจและสติกเกอร์ แต่ละอย่างล้วนแล้วแต่ชักชวนสตางค์ให้ออกจากกระเป๋าไปอยู่กับพ่อค้าแม่ค้าทั้งนั้น เลยจากหน้าวัดพระธาตุ ฯ มาจะเป็นโซนอาหารการกินซึ่งมีหลากหลายไม่แพ้กัน ตั้งแต่อาหารพื้นเมืองอย่างไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม ข้าวซอย  ไก่ย่างมะแขว่น อาหารมาตรฐานตลาดนัดอย่าง ไก่ย่าง หมูปิ้ง ลูกชิ้นทอด ไปจนถึงอาหารญี่ปุ่นอย่างซูชิ ซาชิมิ ราเม็ง พวกเราเดินไปซื้อโน่นซื้อนี่กินไปอย่างละคำสองคำ รู้สึกตัวอีกทีก็อิ่มพุงแทบแตกแล้วครับ

 ถือว่าประทับใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านทำเลที่ตั้งของถนนคนเดินที่เลียบไปตามแนวกำแพงเมืองเก่า ถ้าลงทุนทำร้านรวงเป็นซุ้มไม้ฉลุลายสไตล์ล้านนาแทนที่ร้านค้าที่เป็นเต็นท์ผ้าใบโครงเหล็ก กับรณรงค์ให้พ่อค้าแม่ค้าช่วยกันแต่งตัวด้วยชุดพื้นเมืองกันอย่างพร้อมเพรียงแทนที่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ฟรีสไตล์อย่างที่เห็นอยู่ จะเกิดเป็นตลาดนัดบรรยากาศโบราณเหมือนกับย้อนยุคไปเมื่อหลายศตวรรษก่อนได้เลย เป็นจุดขายที่ยากจะมีใครเลียนแบบเชียวละครับ  (ยังไม่ทันเข้านอนเลย ฝันเสียแล้ว)

ตลาดนัดถนนคนเดินเมืองลำพูน

เช้าวันรุ่งขึ้นนั่นแหละพวกเราถึงได้เริ่มต้นที่ยวตามรอยตำนานกัน สถานที่สำคัญร่วมสมัยกับนครหริภุญไชยที่ยังหลงเหลืออยู่ให้เห็นในลำพูนแม้จะมีไม่กี่แห่ง ทว่าแต่ละแห่งล้วนแล้วแต่น่าสนใจด้วยความงดงามของศิลปกรรมโบราณแบบหริภุญไชย  เริ่มจากวัดจามเทวี ที่เพียงเดินเข้าประตูวัดก็จะได้จะพบกับ รัตนเจดีย์ เจดีย์แปดเหลี่ยมทรงปราสาทยอดระฆังขนาดย่อม ก่ออิฐฉาบปูน ประดับตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น เรือนธาตุส่วนกลางแต่ละด้านประดิษฐานพระพุทธรูปยืนอยู่ภายในซุ้ม ตกแต่งส่วนมุมทั้งแปดของเรือนธาตุด้วยเสาอิง ถัดขึ้นไปเป็นชั้นซ้อนลดหลั่นกันต่อด้วยองค์ระฆัง น่าเสียดายที่ส่วนยอดหักหายไปไม่สมบูรณ์ แต่ยังนับเป็นเจดีย์แบบหริภุญไชยที่เก่าแก่งดงาม จนไม่อาจเดินผ่านเลยไปได้เฉย ๆ  

 ถัดเข้าไปภายในเป็นสุวรรณจังโกฏิเจดีย์ หรือ “เจดีย์กู่กุด” ที่ชาวบ้านเรียกกัน ตั้งตระหง่านอยู่ เป็นหมุดหมายแรกที่ร่วมสมัยใกล้ชิดเรื่องราวตำนานมากที่สุด ขนาดว่าไม่มาชมไม่ได้ครับ เพราะเป็นเจดีย์ที่พระนางจามเทวีโปรดฯ ให้ช่างที่ทรงนำมาด้วยจากเมืองละโว้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ ๑๒๙๒ ด้วยสถาปัตยกรรมเจดีย์สี่เหลี่ยมทรงปราสาทยอดมีเรือนธาตุซ้อนลดหลั่นกัน ๕ ชั้น แต่ละชั้นทำเป็นซุ้มทั้งสี่ด้าน ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืนปางประทานพรชั้นละ ๑๒ องค์ รวมทั้งสิ้น ๖๐ องค์ ส่วนยอดที่ทำด้วยทองคำหักหายไปเนิ่นนานแล้ว  ขนาดนี้ยังจัดว่าอลังการงานสร้างมากแม้นับจนถึงปัจจุบัน  เมื่อพระนางจามเทวีเสด็จสวรรคตพระอัฐิของพระนางยังได้ถูกนำมาบรรจุไว้ภายในเจดีย์แห่งนี้ด้วย  

ใจกลางเมืองลำพูนวัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร คือสถานที่ในตำนานอีกแห่ง เพราะสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวงที่ประทับของพระนางจามเทวี อันเป็นสถานที่ฑูตจากขุนหลวงวิลังคะนำขบวนสินสอดขันหมาก ๕๐๐ สาแหวกมาถวายเพื่อสู่ขอพระนางนั่นเอง เนื่องจากตามประวัติระบุว่าบริเวณวัดนี้เคยป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวงที่ประทับของกษํตริย์หริภุญไชยต่อเนื่องกันมาจนกระทั่งถึงรัชสมัยของพระเจ้าอาทิตยราช กษัตริย์องค์ที่ ๓๒ ก่อนที่ใน ปี พ.ศ. ๑๖๐๗ พระเจ้าอาทิตยราชจะทรงพบพระบรมสารีริกธาตุจากโกศที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินในพื้นที่พระราชวัง จึงโปรดฯ ให้สร้างเจดีย์พระธาตุหริภุญชัยขึ้นประดิษฐาน แล้วทรงอุทิศพื้นที่พระราชวังทั้งหมดให้เป็นพระอารามหลวง

เรื่องน่าสนใจอีกอย่างคือองค์เจดีย์พระธาตุหริภุญชัยในสมัยแรกนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบันครับ เนื่องจากในตำนานพระธาตุหริภุญชัยกล่าวไว้ถึงลักษณะเจดีย์ที่พระเจ้าอาทิตยราชทรงสร้างว่า “เป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมทรงปราสาท สูง ๑๒ ศอก มีซุ้มทวารเข้าออกทะลุกันได้ทั้งสี่ด้าน มีปราสาทศิลาแลงสี่เหลี่ยมอยู่มุมละองค์” ฟังดูหน้าตาน่าจะเป็นปราสาทยอดแต่ข้างในมีห้อง คล้าย ๆ โลหะปราสาท หรืออาจคล้ายกับสุวรรณเจดีย์ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งเป็นเจดีย์ของพระนางปทุมวดี อัครมเหสีของพระเจ้าอาทิตยราช ทรงสร้างขึ้นให้เป็นคู่กันกับพระสวามีทรงสร้างพระธาตุหริภุญชัย จึงน่าจะสร้างด้วยรูปแบบใกล้เคียงกัน ส่วนองค์พระธาตุหริภุญชัยอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั้น เมื่อพญามังรายตีเมืองหริภุญไชยได้ในปี พ.ศ ๑๘๒๔ แล้วรวมเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา ได้โปรดฯ ให้ช่างแปลงจากเจดี่ย์สี่เหลี่ยมทรงปราสาทแบบเดิม มาเป็นเจดีย์ทรงระฆังฐานกลมแบบล้านนา (รู้อย่างนี้แล้ว เวลาจินตนาการถึงพระธาตุหริภุญชัยในสมัยโบราณจะได้นึกภาพได้ถูกตามสมัยไงครับ)

กู่ช้าง ที่ฝังช้างภูก่ำงาเขียว

สาย ๆ หน่อยพวกเราจึงค่อยต่อมายังเจดีย์กู่ช้าง ก่อด้วยอิฐแดงตัดกับแนวไม้เขียวรอบข้างเด่นอยู่แต่ไกล  มองไปเห็นนางรำวัยรุ่นในเครื่องแต่งกายแบบล้านนากลุ่มหนึ่งกำลังฟ้อนแก้บนอยู่เบื้องหน้า ดูกระชุ่มกระชวยมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใดเชียวครับ ดูสาว ๆ ฟ้อนรำอยู่พักใหญ่ค่อยนึกได้ หันมาสนใจกับตัวกู่ช้าง สถูประฆังกลมทรงกระบอกปลายมนคล้ายลอมฟาง ตั้งบนฐานสามชั้น รูปทรงชะลูดแปลกตากว่าเจดีย์ทั่วไป 

ว่ากันว่าที่ต้องสร้างเจดีย์เป็นรูปทรงนี้เนื่องจากภายในบรรจุกระดูกของ“ภูก่ำงาเขียว” คชเศวตช้างศึกคู่บารมีพระนางจามเทวี ที่พระโอรสแฝดของพระนางจามเทวีทรงขับขี่เข้าประจัญบานกองทัพแปดหมื่นชาวลัวะของขุนหลวงวิลังคะจนแตกพ่าย  เนื่องเพราะเป็นช้างที่มีอาถรรพณ์แรงกล้า แม้เมื่อล้ม (ตาย) ลง ส่วนหัวและปลายงาชี้ไปในทิศใด จะก่อให้เกิดภัยพิบัติขึ้นในทิศนั้น ดินฟ้าวิปริตอาเพศ ผู้คนเจ็บป่วยล้มตาย ดังนั้นตอนฝังซากร่างของภูก่ำงาเขียว จึงต้องจัดวางให้ส่วนหัวและงาทั้งสองข้างชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วค่อยก่ออิฐถือปูนล้อมรอบอีกที เลยออกมาหน้าตาแบบนี้  

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย

ล่วงเข้าเวลาเพลแสงแดดเริ่มจัดจ้า พวกเราจึงมองหาหนทางหลบเลี่ยงเข้าหาร่มเงาและพึ่งพาความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญชัย เป็นทางเลือกที่ดี ได้ข่าวมาว่าเพิ่งจะมีการปรับปรุงใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้ด้วย เข้าไปก็ไม่ผิดหวังครับ โดยเฉพาะห้องจัดแสดงหลักในอาคารชั้นบน โบราณวัตถุที่ส่วนใหญ่เป็นศิลปกรรมสมัยหริภุญไชยแต่ละชิ้นงดงามตระการตาไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เสริมด้วยการจัดวาง สาดส่องแสงไฟให้เกิดแสงเงา เติมด้วยมัลติมีเดียสีสันและเสียง ยิ่งอลังการละลานตาล้ำเลอค่าขึ้นไปอีก เดินชมกันเพลินตาเพลินใจ แทบไม่อยากออกมาเลย (แอร์เย็นดีด้วยนั่นแหละเหตุผลสำคัญ)

แต่ไม่ออกก็คงไม่ได้ เพราะบ่ายยังมีสำคัญภารกิจสำคัญอีกอย่างสำหรับการรอยตำนานของพวกเราครั้งนี้ ก็คือตามหากู่พระลบ เจดีย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์พุ่งเสน้าครั้งแรกของขุนหลวงวิลังคะ มีตำนานเล่าต่อเนื่องจากเรื่องหลักไว้ว่าเมื่อครั้งขุนหลวงวิลังคะทรงพุ่งเสน้าครั้งแรกมาตกบริเวณนอกกำแพงเมืองฝั่งตะวันตกจนกลายเป็นหนองน้ำ ด้วยพลังของบรรดาภูติผีที่อัดแน่นอยู่ภายในเสน้าทำให้อาณาบริเวณแถบนี้ตกอยู่ในอาถรรพณ์ภูติผี พระฤาษีสุเทวะจึงแนะนำให้พระนางจามเทวีสร้างเจดีย์บรรจุพระเครื่องเพื่อลบล้างพลังของภูติผีที่เป็นอัปมงคลแก่เมือง ไว้ในบริเวณหนองเสน้า เรียกว่า “กู่พระลบ” พระเครื่องที่บรรจุไว้ภายในจึงเรียกกันว่า “พระลบ” หากู่พระลบเจอก็เท่ากับพบหนองเสน้า เพราะสร้างไว้ใกล้กัน

ศาลา "พระลบ" จำลอง บริเวณเคยเป็นที่ตั้งกู่พระลบ

รถพวกเราซอกแซกมาตามซอยเพราะจากการค้นหาข้อมูลพบว่าอยู่ในซอยชื่อวีรทัศน์  เลี้ยวซ้ายตรงคาเฟ่เล็ก ๆ แล่นเลาะมาแนวรั้วบ้านผู้คนเข้าไปจนพบกับลานดินขนาดย่อมแห่งหนึ่งถูกเว้นไว้เป็นช่อง เห็นป้ายข้อความตั้งไว้ว่า “กู่พระรบ”  พากันลงไปดู พบว่ามีศาลาหลังเล็กสีขาวตั้งอยู่ ภายในประดิษฐานพระเครื่องจำลอง “พระลบ” ขยายใหญ่กว่าของจริงที่เป็นองค์เล็กหลายสิบเท่า เดินดูรอบ ๆ แล้วแทบไม่เห็นชิ้นส่วนใดของเจดีย์แม้แต่เศษอิฐ ว่ากันว่าสมัยก่อนมีการลักลอบขุดค้นเจดีย์เอาพระลบไปขาย ขุดหากันครั้งแล้วครั้งเล่าชนิดซากอิฐของเจดีย์ยังป่นเป็นผุยผง จีงไม่แปลกที่แทบไม่เหลือร่องรอย ยังดีอุตส่าห์สร้างเป็นศาลาเป็นที่หมายตาเอาไว้หน่อย ให้พวกเราได้มาเห็นกู่พระลบในตำนาน ส่วนหนองเสน้าก็คงจะอยู่ในรั้วบ้านใครสักหลังแถว ๆ นี้ อย่างไม่ต้องสงสัยครับ

วัดพระยืน หนึ่งในวัดสำคัญสี่มุมเมืองหริภุญไชย

มาแถวนี้แล้วเลยถือโอกาสแวะเข้าไปสักการะ”พระรอดหลวง” หน้าพระประธานในวิหารวัดมหาวัน อันเป็นต้นแบบของ “พระรอด” ลำพูน หนึ่งในพระเครื่องเบญจภาคีที่โด่งดัง เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเดินทางเสียหน่อย ซึ่งตำนานบันทึกไว้ว่าหลังศึกขุนหลวงวิลังคะ พระนางจามเทวีได้ทรงสร้างวัดประจำเมืองขึ้นสี่ทิศรอบพระนครเพื่อเป็น “พุทธปราการ” ป้องกันภูติผีปีศาจและพลังชั่วร้ายให้กับเมือง ได้แก่ วัดมหาวนาราม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ก็คือวัดมหาวันที่เรามา วัดอาพัทธาราม ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ปัจจุบันคือวัดพระคงฤาษี มีตำนานเล่าไว้ว่าตอนสร้างเมืองหริภุญไชย พระฤาษีวาสุเทพใช้ไม้เท้าวาดแผนผังเมืองลำพูนบนลานดินบริเวณวัดนี้ พระนางจามเทวีจึงโปรดให้สร้างพระเจดีย์รูปทรงสี่เหลี่ยม (น่าจะแบบเดียวกับที่วัดจามเทวี)  ขึ้น ณ ลานดังกล่าว แกะสลักเป็นรูปพระฤาษีทั้งสี่ตนที่ร่วมกันสร้างไว้ในซุ้มเจดีย์  ต่อมาเจดีย์ได้พังทลายลงและพบพระเครื่องที่เรียกว่า “พระคง” อีกหนึ่งพระเครื่องชื่อดังของลำพูน วัดมหารัตตารามหรือสังฆาราม ตั้งอยู่ทางทิศใต้ ปัจจุบันคือวัดประตูลี้ เป็นอีกวัดที่มีพระเครื่องชื่อดัง คือ “พระลือ” และ “พระเลี่ยง”

พระรอดหลวงในวิหารวัดมหาวัน

เป็นที่น่าสังเกตว่าวัดที่มีพระเครื่องดังทุกแห่งที่ว่ามาล้วนแล้วแต่ถูกขุดกรุจนไม่เหลือเจดีย์โบราณสมัยหริภุญไชยให้ดู มีแต่ของสร้างใหม่ทั้งวัด คงมีเพียงวัดอรัญญิการาม หรือวัดพระยืน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ไม่ปรากฏว่าพบกรุพระเครื่อง ยังเหลือวิหารกับพระประธานเดิมที่สร้างสมัยพระนางจามเทวี แต่ได้รับการบูรณะในปี ๒๕๓๗  บนผนังวิหารด้านหลังมีภาพวาดพระนางจามเทวีขนาดใหญ่ แม้ไม่ใช่ของโบราณ แต่ก็สวยงามและเข้ากับเรื่องราวในตำนานที่พวกเรามาตามรอยกัน  ถือว่าปิดท้ายในส่วนของหริภุญไชยได้อย่างลงตัวครับ

บรรยากาศภายในวัดสะหลีพันตน

เลาะระมิงคนครเวียงเจ็ดลิน ถิ่นลัวะวิลังคราช

            ยังเช้าอยู่เมื่อรถของพวกเราแล่นลัดเลาะไปตามถนนเล็ก ๆ ขนาดกว้างพอดีรถหนึ่งคัน ลดเลี้ยวไปในกลางท้องทุ่งนากว้างใหญ่ที่เพิ่งจะผ่านการเก็บเกี่ยวไปไม่นาน ในเขตอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่  ก่อนมาหยุดลงตรงบริเวณข้างวัดสะหลีพันตนที่มองไกล ๆ ดูเหมือนเป็นเกาะต้นไม้เขียวครึ้มอยู่กลางทะเลทุ่งนา เข้ามาใกล้ถึงเห็นว่าใต้แนวไม้สูงแน่นทึบจนแสงลอดผ่านได้เพียงรำไรระโยงระยางด้วยกิ่งไม้รากไม้คล้ายป่าดงดิบ ล้อมรอบด้วยแนวกำแพงวัดก่อด้วยอิฐเก่าเขียวด้วยตะไคร่ บางส่วนพังทลายก้อนอิฐลงมากองระเกะระกะ

กำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ กันอยู่ ก็มีเด็กชายตัวน้อยอายุไม่น่าเกิน ๑๐ ขวบคนหนึ่งผมเกลี้ยงเกลาเหมือนเพิ่งสึกจากเณร เข้ามาถามไถ่ว่ามาทำอะไรกัน พอรู้ว่าพวกเรามาเที่ยวตามหาร่องรอยของขุนหลวงวิลังคะ ก็กวักมือพาเดินตรงดิ่งผ่ากลางวัดไปด้านหน้าประตูวัดทางทิศตะวันออก ให้ชมศาลประดิษฐานรูปปั้นขุนหลวงวิลังคะขนาดเท่าคนจริงที่เพิ่งสร้างใหม่ตั้งอยู่ริมกำแพงประตูรั้ว กับศาลเดิมขนาดเล็กทำจากไม้ ถูกปลวกกินเสียหายกองอยู่อีกด้าน 

จากนั้นยังพาพวกเราไปตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศความเขียวครึ้มผสานกับความคร่ำคร่าจนรอบวัด ชี้ชวนชมกองอิฐหักที่อาจเป็นฐานอุโบสถเก่าหรือเจดีย์ ร่องรอยบ่อน้ำโบราณ ตลอดทางเด็กน้อยบรรยายเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับวัดให้ฟังอย่างคล่องแคล่วเสียงแจ๋ว ๆ ตลอดเวลา จนพวกเราทึ่งว่าไปสรรหาเรื่องราวมาจากไหน ดูแล้วถ้าเอาดีทางมัคคุเทศก์น่าจะอนาคตไกล ใครมาเยือนลองถามหา “น้องขุน” ให้พาเดินนำชมดูครับ รับรองไม่เงียบเหงา

อีกมุมหนึ่งของวัดสะหลีพันตน

“เมื่อพันสามร้อยปีตรงวัดนี้เคยเป็นคุ้มเจ้า ที่อยู่ของขุนหลวงวิลังคะ ชาวบ้านเรียกกันว่า “คุ้มเจ้าลัวะ” หลังท่านสิ้นไปแล้วก็ถูกทิ้งร้างไม่มีใครอยู่ กลายเป็นที่รกร้าง เพราะชาวบ้านถือว่าวังเก่าของเจ้าของนาย ชาวบ้านไม่กล้าเข้าไป อยู่ไม่ได้มันเรียกว่า “ตกขึด” หลายร้อยปีต่อมามีพระธุดงค์เข้ามาปักกลดอยุ่ในบริเวณคุ้มเจ้าเป็นพันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่อมาจึงสร้างเป็นวัดขึ้น ทางเหนือเราเรียกพระเป็นต๋น  พันรูปก็เรียกพันต๋น ชาวบ้านมาทำบุญเรียกกันว่า “วัดพันต๋น” เลยไปตรงนี้อีกหน่อย กิโลฯ กว่า มีแม่น้ำวาง หลังจากนั้นน้ำวางก็หลากมาท่วม ชาวบ้านมาไม่ได้ ทางบ้านพันตนไม่มีวัด ชาวบ้านเลยสร้างวัดทางฝั่งโน้นขึ้นแทน ตรงนี้เลยกลับเป็นวัดร้างอีก ภาษาเมืองเรียก “วัดฮ่างพันต๋น” ร้างนานเป็นร้อยปีเลย ว่ากันว่าผีดุ มีงูเหลือมเท่าต้นซุงอยู่ ต่อมามีพระธุดงค์จากอีสานเป็นสายวิปัสสนาชื่อพระอาจารย์พรเทพ ท่านมาอยู่เกือบ ๒๐ พรรษา มาพัฒนาก่อนที่ท่านจะมรณภาพไป นิมนต์พระมาอยู่ต่อหลายองค์แต่อยู่ไม่ได้ จนพ่อหลวงบ้านพันตน ต้องไปนิมนต์พระอาจารย์วสันต์ ซึ่งเป็นคนบ้านเราที่จำพรรษาอยู่ฝั่งโน้นมาอยู่จนทุกวันนี้ ” แม่ครูจุยจี แก้วพวงทอง อดีตข้าราชการครูเกษียณที่มาปฏิบัติธรรมสวดมนต์ประจำที่วัดเล่าถึงความเป็นมา

ส่วนตำนานที่ผมได้ยินมาเล่าว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดที่พระนางจามเทวีได้ขอให้ขุนหลวงวิลังคะสร้างขึ้น เพื่อให้เลิกนับถือผี แล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนาแทน จึงมีอีกชื่อเรียกว่า “วัดพระเจ้าลัวะ” ตกลงเลยไม่รู้ว่ายังไงกันแน่ คงจะต้องรอให้ทางกรมศิลปากรมาทำการขุดสำรวจศึกษาข้อมูลเสียก่อน ถึงจะบอกได้ถึงยุคสมัยที่แท้จริง  ถามจากหลวงพ่อวสันต์เจ้าอาวาสที่ออกมาทักทายให้ศีลให้พรก่อนคณะของเราจะอำลา ท่านตอบว่า “เมื่อก่อนวัดนี้เป็นวัดร้างตกสำรวจ กรมศิลปากรยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน เลยยังไม่ได้มีการมาขุดค้นเก็บข้อมูลหรือบูรณะอะไร ตอนนี้เราก็พยายามอนุรักษ์ เก็บรักษาของเก่าดั้งเดิมเอาไว้ให้ได้มากที่สุด พวกต้นไม้อะไรนี่ก็เก็บเอาไว้ไม่ตัด ไม่ไปก่อสร้างอะไรเพิ่ม...” ฟังดูแล้วท่าคงต้องรออีกนานเหมือนกันครับ กว่าจะมาขึ้นทะเบียน กว่าจะมาขุด กว่าจะศึกษา แต่ไม่เป็นไร ผมรอได้ครับ ไม่รีบ เสร็จเมื่อไหร่ค่อยมาเยี่ยมเยือนกันอีกที (ถ้ายังไม่เกษียณอายุไปเสียก่อนนะ)


ประติมากรรมขุนหลวงวิลังคะ หน้าวัดหัวริน

   ต่อจากนี้ไปบนรายทางพวกเรารู้สึกได้อารมณ์คล้ายกับว่าเป็นทริปชมหลากหลายประติมากรรมขุนหลวงวิลังคะยังไงยังงั้นครับ เพราะผ่านทางไปในหลากหลายชุมชนที่มีเชื้อสายชาวลัวะสืบต่อกันมา จึงมีรูปปั้นขุนหลวงวิลังคะในฐานะวีรบุรุษของชนเผ่าแตกต่างกันออกไป ในอำเภอสันป่าตอง ที่บ้านหัวริน  เราได้เห็นรูปปั้นขุนหลวงวิลังคะถึงสององค์สองแบบอยู่ที่แยกหน้าวัดหัวริน องค์หนึ่งขนาดใหญ่ทรงนั่งอยู่ในด้วยท่วงท่าสบาย ๆ  เหมือนอยู่บ้าน ในศาลาใต้ต้นโพธิ์ใหญ่มาก น่าจะอายุนับร้อยปีขึ้นไปแผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่น อีกองค์ขนาดเล็กอยู่ริมกำแพงวัดในชุดเกราะแบบในภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร พระหัตถ์ทรงจับด้ามพระแสงดาบเตรียมชักจากฝัก (ไม่ยักเป็นเสน้าแฮะ) ในท่วงท่าพร้อมออกศึก 

ขุนหลวงวิลังคะดีดซึง วัดเมืองก๊ะ

มณฑปขุนหลวงวิลังคะสีทองอร่าม

ในขณะที่อำเภอแม่ริม ที่บ้านเมืองก๊ะ มีเรื่องเล่าว่าหลังจากพ่อขุนหลวงวิลังคะสูญเสียวิชาอาคมและพ่ายแพ้ในการศึกกับหริภุญไชย จึงทรงหนีเข้าป่า ไม่อยากพบหน้าใครอีก แต่ยังมีบริวารชาวลัวะบางส่วนติดสอยห้อยตามมาตั้งถิ่นฐานสร้างเป็นเมืองเล็กๆ เรียกว่า “เมืองก๊ะ” มาจากชื่อของขุนหลวงในสำเนียงแบบเหนือที่ออกเสียงว่า “ขุนหลวงบะลังก๊ะ” ที่หน้าวัดเมืองก๊ะ มีประติมากรรมขุนหลวงวิลังคะถึงสามองค์ด้วยกัน องค์หนึ่งพระวรกายกำยำทาสีดำสนิทตัดด้วยสีทองอยู่ในท่วงท่ากำลังทรงพุ่ง “เสน้า” อยู่ภายในโถงใต้ส่วนฐานของเจดีย์สีทองอร่าม  อีกองค์มีขนาดและลักษณะเดียวกันแค่ฝีมือช่างดูพื้นบ้านกว่า อยู่ในศาลาด้านข้าง แต่ผมชอบที่สุดคือองค์ที่สามอยู่ใต้ต้นยางสูงใหญ่มหึมาเสียดฟ้าในท่วงท่ากำลังทรงไขว่ห้างดีดซึงอย่างสบายอารมณ์ แม้ฝีมือแบบช่างพื้นบ้าน แต่ดูน่ารักน่าเอ็นดูยังก็บอกไม่ถูกครับ

ปู่แสะ ย่าแสะ ในศาล ระหว่างทางขึ้นวัดพระธาตุดอยคำ

เข้ามาถึงอำเภอเมืองเชียงใหม่ พวกเราตรงดิ่งไปยังพระธาตุดอยคำ ตำนานเล่าว่าภูเขาบริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของยักษ์กินคนสามตนพ่อแม่ลูก จับคนในเมืองระมิงคนคร (เวียงเจ็ดลิน )ซึ่งเป็นเมืองของชาวลัวะที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำปิงกับดอยอ้อยช้าง (ดอยสุเทพ) กินทุกวัน พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาจึงห้ามปรามและแสดงธรรมจนยักษ์ทั้งสามเลื่อมใสสมาทานศีลห้า แต่ขออนุญาตกินมนุษย์ปีละครั้ง แต่ถ้าไม่ได้ก็ขอเป็นสัตว์แทน เจ้าเมืองระมิงคนครจึงนำควายมาเซ่นปีละตัว โดยมีเงื่อนไขว่ายักษ์ทั้งสามต้องปกป้องพระพุทธศาสนาไปจนครบ ๕,๐๐๐ปีและคุ้มครองชาวเมืองให้ปลอดภัย ยักษ์สองตนผัวเมียได้รับมอบหมายจากพระพุทธองค์ให้ดูแลดอยคำและดอยอ้อยช้างจนสิ้นอายุขัย กลายเป็นต้นตระกูลผีของเมืองเชียงใหม่ เรียกกันว่า “ปู่แสะ ย่าแสะ”  ในขณะที่ลูกยักษ์ได้บวชเป็นพระ ก่อนจะลาสิกขาออกมาบำเพ็ญตบะเป็นฤๅษีนามว่าพระฤๅษีสุเทวะ (ซึ่งก็คือหนึ่งในฤๅษีผู้สร้างเมืองหริภุญไชยนั่นเอง)      

 พระเกศาธาตุที่พระพุทธเจ้าได้ประทานแก่ปู่แสะและย่าแสะได้นำขึ้นมาฝังและก่อสถูปครอบไว้บนดอยแห่งนี้ และต่อมาในปี พ.ศ. ๑๒๓๐เจ้าชายมหายศและเจ้าชายอนันตยศ สองพระโอรสฝาแฝดของพระนางจามเทวีได้ขึ้นมาก่อเจดีย์ครอบพระสถูปเกศานั้นไว้อีกชั้นให้ชื่อว่าวัดสุวรรณบรรพต แต่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดดอยคำ" ซึ่งปัจจุบันตั้งแต่เช้ายันเย็นนักท่องเที่ยวมากันไม่ขาดสายเพื่อมาขอพระหลวงพ่อทันใจ พวกเรานั้นสนใจบริเวณองค์พระธาตุมากกว่า เพราะเป็นที่ตั้งของเหล่าประติมากรรมบุคคลในตำนานที่เราตามรอยกันไว้อย่างครบครันในอาศรมหรือศาลาแกลบหลังเล็กเรียงรายอยู่โดยรอบ มีทั้งปู่แสะย่าแสะ พระฤาษีสุเทวะ ขุนหลวงวิลังคะ พระนางจามเทวี  บริเวณระเบียงคดยังมีจิตรกรรมบอกเล่าเรื่องราวการส่งทอดพระเกศาธาตุให้ชมด้วย รอจนคนซาแล้วจึงค่อยไปขอพรพระเจ้าทันใจกับเขาเสียหน่อย (แอบมีสายมูนิดหนึ่ง)


มุ่งหน้าไปขึ้นดอยสุเทพผ่านเวียงเจ็ดลินที่ตั้งอยู่เชิงดอย ในตำนานกล่าวถึงว่าเป็นเมืองของขุนหลวงวิลังคะเป็นเมืองของชาวลัวะมาเนิ่นนานมาก ไม่ใช่แค่พันปีแต่ถึงหมื่นปีทีเดียว เพิ่งขุดพบหลักฐานเป็นกำแพงเมืองโบราณอายุกว่าหมื่นปี เมื่อปี ๒๕๕๕ พร้อมแผ่นจารึกตัวเลขของชาวลัวะในลักษณะอักษรรูปลิ่มบนดินเหนียวจากเจดีย์ร้างบริเวณห้วยน้ำรินเชิงดอยสุเทพที่ตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์แล้วมีอายุประมาณ ๘,๐๐๐ - ๑๕,๐๐๐ ปี  อยู่ในระหว่างส่งไปศึกษาวิเคราะห์  ส่วนแถวเวียงเจ็ดลินในตอนนี้ไม่มีร่องรอยของชาวลัวะอื่นใดให้ชม นอกจากประติมากรรมขุนหลวงวิลังคะทรงพุ่งเสน้าภายในวัดโชติกุนสุวรรณารามหรือวัดหมูบุ่น ที่อยู่ในซอยฝั่งตรงข้ามถัดไปไม่ไกล ซึ่งก็เป็นของสมัยปัจจุบัน ไม่ใช่ของโบราณ

ผ่านวัดพระธาตุดอยสุเทพขึ้นไปตามทางลดเลี้ยวผ่านริ้วหมอกขาวจนถึงบริเวณก่อนถึงยอดดอยปุยประมาณ ๒ กิโลเมตร พวกเราต้องลงจากรถเดินในทางดินผ่านแนวป่าสนที่ชุ่มชื้นด้วยไอหมอกไปยังสันกู่ ซากโบราณสถานที่วางตัวอยู่ริมผาในแวดล้อมของแมกไม้ บรรยากาศดูเร้นลับเหมือนอยู่ในมิติกาลเวลาแห่งอดีต รูปทรงสถาปัตยกรรมค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นฐานเจดีย์สี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกันหลายชั้น (แบบสุวรรณจังโกฏเจดีย์) กับแท่นบูชาสี่ทิศ ตามรูปแบบของสถาปัตยกรรมสมัยหริภุญไชย พื้นผิวปกคลุมด้วยเฟินมอสไลเคน การขุดค้นทางโบราณคดีของกรมศิลปากรขพบพระพิมพ์หริภุญไชย มีอายุตั้งแต่ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘  และ ซึ่งนักโบราณคดีสันนิษฐานกันว่าหลังจากชนะศึกขุนหลวงวิลังคะแล้ว ทางนครหริภุญไชยได้นำพุทธศาสนามาเผยแผ่ในดินแดนของชาวลัวะ  พร้อมทั้งสร้างเจดีย์แบบหริภุญไชยไว้ให้หันมาบูชาบนยอดเขาทดแทนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในลัทธิบูชาผีแต่เดิม

เจดีย์พระธาตุกิตติ หรือ "เจดีย์ขี้ติ" ในตำนาน

 กลับเข้ามาภายในกำแพงเมืองเชียงใหม่เอาตอนเย็น ๆ  เป็นอีกครั้งที่รถของพวกเราต้องมาวนไปเวียนมาอยู่ในซอยกันอยู่พักใหญ่ เพราะเห็นแค่ยอดของจุดหมายคือเจดีย์พระธาตุกิตติ หรือ “เจดีย์ขี้ติ” ในตำนานที่พวกเรามาตามหากัน เด่นสง่าอยู่ไกล ๆ  แต่หาทางเข้าไม่เจอ สุดท้ายจึงพบว่าอยู่ภายในบริเวณของโรงเรียนอนุบาลเชียงใหม่ ไม่มีทางเข้าทางอื่นได้ เลยต้องเข้าไปติดต่อที่ห้องธุรการโรงเรียนขออนุญาตเข้าไปชมใกล้ ๆ ด้านใน เห็นเต็มตาก็ถึงกับตะลึง ตึง ตึง ครับ เพราะเหมือนกับพระธาตุหริภุญชัยที่ลำพูนเปี๊ยบ ยังกับอัญเชิญยกมาตั้งไว้เลย แต่สังเกตดี ๆ จะเห็นว่ายอดจะเอนเอียงไปหน่อย ๆเหมือนในตำนานอีกด้วย

 แต่ว่ากันตามความจริงแล้วในสมัยพระนางจามเทวียังไม่มีพระธาตุหริภุญชัยครับ อย่างที่เล่าไปแล้วว่าพระธาตุหริภุญชัยมาสร้างสมัยพระเจ้าอาทิตยราช กษัตริย์องค์ที่ ๓๒ หลังจากรัชสมัยพระนางจามเทวีไกลโขอยู่ แถมพระธาตุหริภุญชัยองค์แรกสร้างก็เป็นเจดีย์เหลี่ยมทรงปราสาทยอดอีกด้วย ไม่ใช่เจดีย์กลมแบบนี้ ข้อมูลจากกรมศิลปากรครั้งมาขุดแต่งเจดีย์พระธาตุกิตติบันทึกไว้ว่าสร้างสมัยล้านนา ตำนานเจดีย์ขี้ติจึงน่าจะแต่งขึ้นสมัยหลังเพื่ออธิบายว่าทำไมถึงมีเจดีย์เหมือนกับพระธาตุหริภุญชัยมาตั้งอยู่ในเมืองเชียงใหม่ได้ แต่ผมเองยอมรับเลยครับว่าความรู้สึกแรกเห็นนั้นมัน “อะเมซิ่ง” มาก จนแทบอยากเชื่อว่าเป็น “เจดีย์ขี้ติ” ที่ขุนหลวงวิลังคะทรงสร้างอย่างในตำนานจริง ๆ

ม่อนแจ่มกับรีสอร์ตสวยเรียงราย

ปลายทางรักนิรันดร์เหนือขุนเขา

            รุ่งเช้าของวันใหม่รถของพวกเราฝ่าอากาศเย็นและหมอกขาวขึ้นสู่ม่อนแจ่มยอดเขาอันเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในอำเภอแม่ริม แต่จุดหมายที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ “ดอยคว่ำหล้อง” ในตำนาน หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า “ม่อนล่อง”

                ตอนลงจากรถกันที่ม่อนแจ่มนั้นอากาศยังดูแจ่มใส มองออกไปทางจุดชมวิวเห็นรีสอร์ตหลังสวยเล็ก ๆ เรียงรายเป็นแถวเป็นแนวอยู่บนแนวเขาฟากตรงข้ามในแสงแดดสีทอง ค่าเหมารถสองแถวไปกลับยอดยังม่อนล่องห้าร้อยบาทนั้นฟังดูเหมือนแพงในตอนแรก แต่เมื่อรถแล่นนำพาพวกเรากระเด้งกระดอนไปตามถนนดินขึ้นเขาที่คดเคี้ยว ขรุขระ เต็มไปด้วยหลุมร่องลึกได้พักเดียว ความรู้สึกว่าคุ้มค่าก็เข้ามาแทนที่ ทางวิบากคล้ายยืดระยะทางให้ไกลออกไป แค่สองกิโลฯ กว่า ๆ  แต่เหมือนกับสักยี่สิบกิโลฯ ก็ไม่ปาน ถึงที่หมายได้ถึงกับถอนหายใจโล่งอกกันเลยละครับ

ปัญหาคือม่านหมอกขาวจนห่มคลุมทั่วยอดดอยม่อนล่องในขณะนี้ จนมองทิวทัศน์ไม่เห็นอะไร นอกจากเงาไม้ตะคุ่ม ๆ   ลมก็แรงเสียจนพวกเราไม่กล้าที่จะไปยืนใกล้กับหน้าผา กลัวว่าลมพัดปลิวตกลงไป มีเพียงประติมากรรมขุนหลวงวิลังคะสีทองอร่ามในท่วงท่าทรงพุ่งเสน้าที่ยืนหยัดต้านทานกระแสลมและสายหมอกหลากไหลอย่างไม่หวาดหวั่น  

 แต่ท้ายที่สุดความอดทนของพวกเราก็เป็นฝ่ายชนะ หมอกขาวที่ห่มคลุม ถูกลมพัดจนสลายหายไป ค่อย ๆ เผยให้เห็นทิวเทือกเขาลดหลั่นกันเป็นชั้น ไกลออกไปทีละน้อย  จนสุดสายตา ณ นครหริภุญไชยแห่งพระนางจามเทวี หนึ่งเดียวในดวงใจของขุนหลวงวิลังคะ ที่ดวงพระวิญญาณของพระองค์ได้ทรงเฝ้ามองมาเนิ่นนานกว่าพันปีและตลอดไปตราบนิรันดร์

จุดชมทิวทัศน์ม่อนล่อง มองไปเห็นนครหริภุญไชยอยู่ไกล ๆ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น