เจดีย์รายในบรรยากาศรกร้างของวัดหน้าพระเมรุ |
ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ ๔๕ ฉบับที่ ๑๐ ฉบับเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๘
ดูเหมือนผู้คนจะหลั่งไหลไปเที่ยวอยุธยากันมากครับช่วงนี้
ข่าวใหญ่เรื่องการพบพระมาลาทองคำที่เชื่อกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของสมบัติจากกรุวัดราชบูรณะในต่างประเทศนั่นแหละ
ต้นเหตุสำคัญ ทำเอานักท่องเที่ยวแห่ไปชมห้องแสดงเครื่องทองใน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา
และกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะกันชนิดหัวบันไดไม่แห้ง
เรื่องสมบัติพัสถานนี่ดูคนไทยจะชอบกันมาก ไม่ต้องดูอะไรหรอกครับ สังเกตจากละครทางโทรทัศน์ก็ได้
เรื่องที่ดัง ๆ สร้างแล้วสร้างอีกส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติที่พระเอกหรือนางเอกต้องแย่งสมบัติจากตัวร้ายซึ่งโกงเอามรดกไปแทบทั้งนั้น
พอมาเป็นเรื่องสมบัติของชาติอย่างนี้ก็เลยยิ่งน่าตื่นเต้นเข้าไปใหญ่
จากตอนแรกที่ลุ้นแค่ว่าจะหาทางเอาคืนกลับมาได้หรือไม่ได้อย่างไร ไป ๆ
มา ๆ ผู้สันทัดกรณีก็เกิดสงสัยกันขึ้นอีก
สันนิษฐานกันไปถึงขนาดว่าพระมาลาที่เห็นอาจจะไม่ใช่ของจริงจากกรุวัดราชบูรณะ
แต่เป็นของปลอมที่ร้านของเก่าทำขึ้นมาหลอกขายฝรั่ง แล้วฝรั่งเกิดรู้ขึ้นมาทีหลัง
เลยเอามาหลอกขายคืนให้คนไทยอีกต่อหนึ่ง (สลับซับซ้อนยังกับนิยาย ไม่รู้คิดได้ไงเนี่ย)
งานนี้ท้ายที่สุดผลจะออกหัวหรือก้อยยังไงคงต้องติดตามกันต่อไปครับ
เห็นบรรดาประชาชีเขาเห่ออยุธยากันให้คึกคักออกอย่างนี้แล้ว
ผมก็อดรนทนไม่ได้ ต้องหาโอกาสมาเยี่ยมเยือน “กรุงเก่า” กับเขาบ้าง
หลังจากภาระการงานมันรัดตัวจนแทบกระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้
ทำให้ห่างเหินไปนาน ทั้งที่สมัยยังเป็นนิสิตหน้าใสเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น
วันหยุดทีไรผมกับเพื่อนก็จะชวนกันสะพายกล้อง
กางแผนที่โบราณตะลอนกันอยู่ท่ามกลางซากอิฐหักกากปูนเมืองอยุธยา บุกป่าหญ้า
ฝ่าดงหมามุ่ย เที่ยวชมวัดวาอารามเก่าร้างพังเคที่เกลื่อนกล่นอยู่ทั้งในและนอกเกาะเมือง ราวกับว่ากำลังตามล่ามหาสมบัติจากลายแทงโบราณ
สนุกอย่าบอกใคร
โดยเฉพาะเวลาที่ได้ไปพบไปเจอกับโบราณสถานแปลก ๆ
ที่ไม่เคยเห็นจากภาพถ่ายในหนังสือเล่มไหนมาก่อนด้วยแล้วละก็
เป็นความรู้สึกยากจะบรรยายจริง ๆ ครับ บอกได้แค่เพียงว่าตื่นเต้นระทึกใจไม่แพ้อินเดียน่า
โจนส์ ในภาพยนตร์ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าเชียวละ
ถึงตอนนี้
ได้ยินมาว่าวัดวาอารามอันจมอยู่ในป่าหญ้าอันรกชัฏที่ผมเคยไปหลายต่อหลายแห่งนั้นน่ะ
กรมศิลปากรได้เข้ามาขุดแต่งบูรณะแล้ว
พร้อมอวดโฉมความอลังการต่อสายตาชาวโลกในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของเมืองมรดกโลกพระนครศรีอยุธยา
ก็คงถึงเวลาที่ผมจะต้องหยิบแผนที่ลายแทงใบเก่าที่เก็บซุกอยู่ในซอกตู้มานาน ออกมาปัดฝุ่นรำลึกความหลังกันอีกสักครั้ง
สัญจรสู่กรุงเก่าเล่าอดีต
แล้วผมก็มุ่งหน้าสู่ “กรุงเก่า”
ในเช้าที่อากาศสดใสวันหนึ่ง
ถนนหนทางที่กว้างใหญ่ทำให้รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้การเดินทางช่างรวดเร็วง่ายดาย
และสะดวกสบายเสียจริง
พาหนะคันเก่งควบปุเลงพักเดียวก็แลเห็นเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคลโดดเด่นเป็นสง่าตัดกับฟ้าสีครามเข้มอยู่ท่ามกลางบ้านเรือนทางฝั่งซ้ายมือ
เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงครั้งผมมาเยือนเมืองหลวงเก่าครั้งแรกในชีวิตเมื่อเกือบ
ๆ ๓๐ ปีก่อนครับ
ตอนนั้นผมเพิ่งเรียนอยู่ชั้นป. ๒
ติดสอยห้อยตามมากับคุณพ่อซึ่งมาทำงานสำรวจแหล่งท่องเที่ยวในอยุธยา
ในสายตาของเด็กอย่างผมในตอนนั้นความตื่นเต้นก็คือได้นั่งรถโฟล์คตู้ของ อ.ส.ท. แล่นไปตามถนนสองเลนที่ตัดผ่านท้องทุ่งกว้างใหญ่เขียวขจีอยู่สองข้างทาง
บางช่วงจะเห็นควายตัวดำมะเมื่อมยืนเขาโง้ง
(ผิดกับสมัยนี้ที่ริมถนนเห็นมีแต่มีปั๊มน้ำมันเรียงกันอยู่เป็นตับ
แถมแวะเข้าไปเติมทีไรก็ต้องตกใจกับราคาน้ำมันที่แพงขึ้นไปทุกที) รู้ว่าถึงอยุธยาก็ตอนคุณพ่อชี้ให้ดูเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคลเสียดฟ้าอยู่ลิบ
ๆ กลางสีเขียวของทุ่งนานั่นแหละ
จำได้แม่นเลยครับถึงความตื่นเต้นเมื่อแรกได้เห็นขนาดอันมหึมาจนต้องแหงนคอตั้งบ่าของเจดีย์วัดใหญ่ฯ
ในระยะใกล้
ยิ่งเมื่อนั่งรถตระเวนรอบเมืองก็ได้พบเห็นเจดีย์เก่าคร่ำคร่าน้อยใหญ่รูปทรงแปลก ๆ
ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในเขตกรุงเก่า บ้างก็อยู่ข้างร้านขายวัสดุก่อสร้าง
บ้างก็อยู่ในโรงพยาบาล แม้กระทั่งในโรงเรียน
โผล่อยู่ในบ้านเรือนริมถนนก็ยังมี
ทำเอาผมเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความตื่นตาตื่นใจตลอดเวลาที่ท่องไปในกรุงเก่า
กลับถึงบ้านคราวนั้นผมก็เลยเกิดอาการ “เจดีย์ฟีเวอร์” ครับ ขนาดเล่นดินน้ำมันก็ยังปั้นเป็นรูปเจดีย์ เวลาคุณพ่อเผลอ
ผมก็จะแอบค้นตู้หนังสือโดยเฉพาะที่มีภาพเจดีย์ออกมาดู ยิ่งภาพเจดีย์เก่า ๆ ร้าง ๆ
ปรักหักพังเอียงกะเท่เร่ ยิ่งชอบเป็นพิเศษ
เห็นแล้วมันได้อารมณ์ลึกลับน่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก
ในบรรดาหนังสือทั้งหลายในตู้ของคุณพ่อที่ส่วนใหญ่หนักไปทางประเภทประวัติศาสตร์
โบราณคดี ที่ถูกใจผมเป็นพิเศษก็เห็นจะเป็นหนังสือของ น. ณ ปากน้ำ
ด้วยความที่มีภาพเจดีย์เยอะกว่าใครเพื่อน
แถมแต่ละภาพเป็นเจดีย์ในบรรยากาศอันรกร้างเข้มขลังแทบทั้งนั้น
ตอนเด็ก ๆ ก็อาศัยดูแต่ภาพไม่ค่อยรู้อะไร โตขึ้นมากหน่อยพออ่านได้รู้เรื่องรู้ราวก็ยิ่งชอบ
โดยเฉพาะหนังสือห้าเดือนกลางซากอิฐปูนที่อยุธยา
บันทึกเรื่องราวการสำรวจโบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเอาไว้อย่างละเอียดยิบ
ผมเองอ่านไปก็จินตนาการตามไป
รู้สึกได้ถึงบรรยากาศของการผจญภัยในดินแดนแห่งศิลปกรรมโบราณ ฝันว่าสักวันคงจะได้ไปชมวัดวาอารามที่รู้จักจากหนังสือให้ครบทุกที่
ฝันของผมเป็นจริงขึ้นมาก็ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย
เมื่อคุณพ่อให้รถเก๋งเอาไว้ใช้คันหนึ่ง
สนุกละครับทีนี้ ถึงวันหยุดเมื่อไหร่ผมก็ชวนเพื่อนที่สนใจในของโบร่ำโบราณเหมือนกัน
ขับรถไปผจญภัยกลางอิฐหักกากปูนของกรุงเก่า โดยมีหนังสือเล่มโปรดเป็นลายแทงนำทางไปสู่ขุมทรัพย์
ซึ่งก็คือวัดวาอารามเก่า ๆ งาม ๆ ทั้งหลายในอยุธยา
โดยเฉพาะแห่งที่ยังจมอยู่ในความรกชัฏของป่าหญ้า
สัญจรเส้นทางสายอโยธยา
เผลอใจลอยนึกถึงความหลังแผลบเดียว พาหนะคันเก่งก็มาถึงวงเวียนเจดีย์วัดสามปลื้ม บนทางเข้าสู่เกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาแล้ว ผมหมุนพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายตรงไปหน้าวัดใหญ่ชัยมงคล หาอะไรรองท้องเสียหน่อยก่อน เพราะย่านนี้เป็นแหล่งชุมนุมอาหารอร่อย มีให้เลือกหลายร้าน อิ่มหมีพีมันแล้วก็ไปไหว้พระเดินชมในบริเวณวัดใหญ่ ฯ รอจนข้าวเรียงเม็ดได้ที่ค่อยขับรถต่อไปนมัสการพระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงเป็นสิริมงคลกับการเดินทาง
ยืนพินิจพิจารณาหลวงพ่อองค์มหึมาในวิหาร
นึกไปถึงข้อความในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ที่บันทึกไว้ว่า “ จุลศักราช ๖๘๖ ชวดศก
แรกสถาปนาพระเจ้าพุทธพแนงเชิง..”
ซึ่งตรงกับปีพ.ศ.๑๘๖๗ แล้ว
ก็แทบไม่อยากเชื่อครับว่า หลวงพ่อโตนั่งอยู่ ณ
ที่นี้มาตั้งแต่ก่อนพระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยาถึง ๒๖ ปี
นับถึงปีนี้ท่านก็มีอายุปาเข้าไป ๖๘๑ ปีแล้ว
นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีจำนวนไม่น้อยครับที่เชื่อว่าบริเวณฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ก็คือฝั่งนอกเกาะเมืองอยุธยานี่แหละ เคยเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณชื่ออโยธยาศรีรามเทพนคร
ที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งด้วยวัฒนธรรมเฉพาะตัวอันเกิดจากการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมทวารวดีกับวัฒนธรรมขอม
และได้ร้างผู้คนไปเพราะเหตุจากโรคระบาด หลงเหลือไว้เพียงร่องรอยศิลปกรรมที่เรียกว่าแบบ”อู่ทอง”
หลายปีหลังจากนั้นครับ พระเจ้าอู่ทองถึงได้เสด็จมาสถาปนาเมืองใหม่ในปี พ.ศ.๑๘๙๓
บนอีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ในชื่อว่ากรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา หรือที่เรียกกันสั้น
ๆ ว่ากรุงศรีอยุธยา เจริญรุ่งเรืองเป็นราชธานีที่ยิ่งใหญ่สืบต่อมาอีกถึง ๔๑๗
ปี โดยมีกษัตริย์ ๓๓ พระองค์จาก ๕ ราชวงศ์ปกครอง ก่อนจะเสียกรุงให้กับพม่า
บ้านเมืองถูกเผาทำลายจนยับเยิน
พงศาวดารบันทึกไว้ว่าครั้งนั้นหลวงพ่อโตมีน้ำพระเนตรไหลออกมาเป็นทาง
เสียดายที่หลวงพ่อโตท่านพูดไม่ได้
ไม่งั้นท่านคงมีเรื่องราวที่จะบอกเล่าให้กับคนรุ่นหลังอย่างเราฟังเยอะแยะ
แต่ร่องรอยของวัดวาอารามเก่า ๆ
ที่เรียงรายอยู่ตามแนวของแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกก็เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่ช่วยยืนยันได้เหมือนกันครับ
แม้อาจจะฟันธงลงไปไม่ได้ว่าเป็นเมืองโบราณก่อนกรุงศรีอยุธยาจริงหรือไม่
เพราะมีการซ่อมแซมปรับปรุงกันมาหลายสมัย ทว่าเรื่องบรรยากาศถือว่าใช้ได้เลย
วังเวงได้ที่ จำได้ว่าการ์ตูนนิยายภาพเรื่องนางตานีของคุณทวี วิษณุกร
ที่ผมเคยอ่านตอนเด็ก ๆ ยังเลือกใช้วัดเก่า ๆ
แถบนั้นหลายวัดเป็นฉากในเรื่อง ก็คงเพราะบรรยากาศนี่แหละ
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นครับ ไปดูกันเลยดีกว่า โดดขึ้นพาหนะคันเก่า
ขับเอื่อย ๆ อ้อมวงเวียนเจดีย์วัดสามปลื้มตรงขึ้นไปตามถนนทางทิศเหนือ
ถนนสายนี้จะเลียบไปตามวัดเก่าที่เรียงรายกันอยู่ พักเดียวก็เห็นวัดสมณโกฏฐาราม
อยู่ทางซ้ายมือ ตามประวัติว่าเป็นวัดเก่าแก่มีมาแต่โบราณ เจ้าพระยาโกษา(เหล็ก)กับเจ้าพระยาโกษา
(ปาน) ได้มาบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เคยดูภาพถ่ายเก่าในหนังสือเห็นวัดนี้มีพระปรางค์องค์ใหญ่
แต่คงพังทลายไปนมนานกาเล ขนาดตอนผมมาเมื่อสิบกว่าปีก่อนยังเห็นเหลือแค่เนินดินสูง
พระที่จำพรรษาอยู่เอาพระพุทธรูปขึ้นไปประดิษฐานเอาไว้ แล้วทำบันไดราวเหล็กให้คนเดินขึ้นไปนมัสการ มาคราวนี้ในบริเวณวัดขุดแต่งเรียบร้อย
ไม่ว่าจะเป็นตัววิหารหรือเจดีย์ประธานทรงระฆังที่เคยถูกพวกหาสมบัติขุดจนพรุน
ซากพระปรางค์ที่เคยเป็นแค่เนินดินก็แต่งเสียเนี้ยบเชียวครับ แต่ก็ได้แค่ส่วนฐาน
เสียดายถ้าไม่พังทลายไปคงจะเป็นอีกสถาปัตยกรรมที่เป็นสีสันบนเส้นทาง
ออกรถต่อไปยังวัดกุฎีดาว วัดขนาดใหญ่ที่เชื่อกันว่าน่าจะเก่าแก่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนอยุธยา
แล้วมาปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ช่วงอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
เมื่อหลายปีก่อนวัดนี้บรรยากาศขลังดีอย่าบอกใคร เป็นวัดที่ผมชอบมาก
เพราะมีต้นไม้ใหญ่แทรกรากแผ่กิ่งก้านสาขาอยู่บนซากเจดีย์ประธาน
ซึ่งองค์ระฆังขนาดยักษ์พังทลายลงมา
เห็นยอดเจดีย์กลิ้งโค่โร่อยู่กับพื้นเป็นที่ตื่นตา
มาวันนี้ต้นไม้ถูกตัดทิ้งไป เจดีย์ โบสถ์
วิหาร ถูกขุดแต่งบูรณะใหม่ เห็นความยิ่งใหญ่ได้ชัดขึ้น แต่ถ้าถามผมละก็
แบบเก่าดูจะเปิดโอกาสให้จินตนาการได้อารมณ์สุนทรีย์ดีกว่าล
วัดจักรวรรดิ์ |
ห่างแค่ถนนสายเล็ก ๆ กั้น เป็นวัดจักรวรรดิ์ เจดีย์ประธานทรงระฆังที่เคยยอดหักเอียงกะเท่เร่
ปกคลุมด้วยหญ้า บัดนี้บูรณะเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน
แต่วิวด้านหลังที่เคยงดงามด้วยทิวต้นตาลชะลูดเรียงรายไม่เหมือนเก่าเสียแล้ว
เพราะมีที่ทำการอบต. มาสร้างอยู่ เสียมุมมองไปเยอะ
แถมโดยรอบยังล้อมลวดหนาม ปลูกต้นไม้ทำเป็นรั้วเสียแน่นหนา
ความจริงเปิดโล่งเอาไว้ก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหน สมบัติก็คงไม่มีให้ขุดแล้ว
จะกั้นไปทำไม แปลกจริง ๆ
ที่ไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ก็คือ วัดอโยธยา ยังโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยองค์เจดีย์ประดับปูนปั้นรูปกลีบบัวตั้งบนฐานทักษิณสูงแห่งเดียวในอยุธยาครับ
บรรยากาศขลังยังอยู่ครบ เห็นแล้วก็ดีใจ เช่นเดียวกับวัดโบสถ์ราชเตชะที่อยู่ถัดไป
พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ประดิษฐานในโบสถ์สร้างใหม่ไม่มีหลังคายังอยู่ดีเหมือนเดิม
ในพงไม้ลึกเข้าไปแลเห็นเจดีย์แปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่หักเป็นท่อน ๆ กลิ้งอยู่
แปลกตรงที่ไม่เห็นองค์เจดีย์ว่าอยู่ที่ไหน มีแต่ยอดจนถึงคอระฆังเท่านั้น
เป็นปริศนาท้าทายจินตนาการผู้มาเยือนให้ค้นหา
แล่นไปสุดทางสายอโยธยาที่วัดดุสิตาราม
วัดนี้มีเจดีย์โบราณสูงใหญ่แปดเหลี่ยม ด้านตะวันตกยังมีโบสถ์และวิหารอันคร่ำคร่า
ผสานบรรยากาศในยามร้อนแล้งแบบนี้ เหมือนกับย้อนเวลากลับไปอยู่ในสมัยโบราณครับ
โบสถ์ วิหารเก่า ๆ เดี๋ยวนี้ชักจะหาดูได้ยากแล้วในอยุธยา
ไม่รู้เหมือนกันว่าอนาคตยังจะมีให้เห็นอยู่ไหม เพราะตอนนี้ถนนที่เคยมาสุดแค่หน้าวัดก็ถูกเชื่อมต่อออกไป
ความเจริญมาเมื่อไหร่ความเปลี่ยนแปลงก็มักจะตามมาติด ๆ
ย้อนกลับออกมาทางเดิม เลี้ยวซ้ายที่ซอยฝั่งตรงข้ามกับวัดกุฎีดาว
แล่นตามถนนทอดยาวตรงไปสู่ วัดมเหยงคณ์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกบูรณะใหญ่หลายครั้ง
ตั้งแต่ช่วงอยุธยาตอนต้นในรัชสมัยเจ้าสามพระยา (บางตำราว่าสร้างในสมัยนี้) และสมัยอยุธยาตอนปลายในรัชสมัยของพระเจ้าท้ายสระ
ทำให้ในบริเวณมีโบราณสถานเต็มไปหมด แต่ที่เด่น ๆ
ก็คือเจดีย์ประธานทรงระฆังบนฐานทักษิณ
ประดับประดาด้วยช้างปูนปั้นรอบทุกด้านอย่างที่เรียกกันว่าเจดีย์ช้างล้อม ซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นในอยุธยา
ลัดเลาะไปทางทิศเหนือของวัด
อีกฟากหนึ่งของคลองเล็ก ๆ ซึ่งขวางกั้นอยู่ เจดีย์วัดสีกาสมุด ถูกบูรณะจนเต็มองค์
ผมเคยมาปีนมุดกรุที่คนร้ายขุดเอาไว้เข้าไปดูข้างใน มาคราวนี้เข้าไม่ได้แล้ว
ส่วนทางทิศใต้เป็นที่ตั้งของวัดช้าง เมื่อก่อนป่าหญ้าขึ้นรกปกคลุมไปทั่วสูงทั่วหัวท่วมหูเลยละครับ
บุกบั่นเข้าไปดูลำบากเหลือหลาย แต่เดี๋ยวนี้ถากถางจนโล่งเลี่ยนเตียนไป
ทำให้มองเห็นเจดีย์ทรงระฆังบนฐานทักษิณใหญ่ได้ชัดเจน
เดิมคงเป็นเจดีย์ช้างล้อมเหมือนกับวัดมเหยงคณ์ เพราะเก็บได้ชิ้นส่วนปูนปั้นรูปช้าง
รูปสิงห์ก็มี มารวมไว้หลังฐานวิหารเป็นร้อย ๆ ชิ้น
ตอนเย็น ๆ
ชาวบ้านแถบใกล้เคียงมาใช้ลานกว้างรอบวัดเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ลูกเด็กเล็กแดงพากันมาเล่นว่าว
ขี่จักรยานกันเป็นที่สนุกสนาน นาน ๆ ก็มีช้างจากหมู่บ้านช้างที่อยู่ติดกันนำนักท่องเที่ยวมาเดินเที่ยวรอบวัด
เป็นบรรยากาศของโบราณสถานที่เปี่ยมชีวิตชีวาน่าชื่นใจ ไม่เหมือนอีกหลายแห่งที่กั้นรั้วล้อมคอกเอาไว้
ชาวบ้านเข้าไปแตะต้องไม่ได้เลย
ความจริงควรเปิดให้คนในท้องถิ่นเข้าไปมีส่วนร่วมครับ เหมือนที่ผมเคยไปเห็นมาในกัมพูชา
ของเขานี่คนเขมรไปเที่ยวปราสาทหินที่ไหนก็เข้าได้ฟรีตลอด ไม่เสียสตางค์
เป็นการจูงใจให้คนอยากเที่ยวในประเทศ แหล่งท่องเที่ยวก็ครึกครื้นไม่เงียบเหงา
แต่ของเรานี่บอกให้ไทยเที่ยวไทย แต่เข้าที่ไหนเก็บสตางค์ตลอด
ทีละสิบยี่สิบหลายครั้งเข้ามันก็เยอะนาครับ
ปกติคนไทยก็ไม่ชอบเที่ยวโบราณสถานกันอยู่แล้ว ยิ่งต้องเสียเงินเลยพานไม่เที่ยวเสียเลย
ปล่อยให้คนไทยเข้าฟรี หันไปเก็บฝรั่งเยอะ ๆ จะดีกว่า อย่าไปเกรงใจฝรั่งนักเลย
เวลาเราไปเที่ยวบ้านเมืองเขาไม่เห็นคิดว่าจะลดให้คนไทยเราสักบาท
ตบท้ายเส้นทางสายอโยธยาด้วยการแวะไปชม วัดนางคำ ซึ่งผมเคยประทับใจกับภาพองค์เจดีย์ทรงระฆังที่ถูกรากไม้เลื้อยปกคลุมกับกรุในองค์ระฆังเจดีย์ที่เป็นโพรงกลวง เมื่อก่อนจะเข้าไปวัดนี้ต้องขับรถข้ามสะพานไม้เก่า ๆ น่าหวาดเสียว เดี๋ยวนี้สบายเพราะทำเป็นสะพานคอนกรีตอย่างดี แต่เจดีย์บูรณะก่ออิฐทึบหมดเสียแล้ว รากไม้ที่เคยปกคลุมอยู่บนองค์ระฆังก็แซะออกจนเกลี้ยงเกลา มองดูเผิน ๆ ก็สวยงามเรียบร้อยดี แต่ของอย่างนี้บางทีรก ๆ มันก็ได้บรรยากาศกว่านะผมว่า
ข้ามสะพานไปชมวัดวาอารามทางฝั่งเกาะเมืองกันบ้างดีกว่า
ลัดเลาะชมวัดรอบเกาะอยุธยา
อุ่นเครื่องเสียหน่อยก่อนด้วยการแวะศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา นิทรรศการถาวรเกี่ยวกับอยุธยาจัดแสดงเอาไว้น่าสนใจ
ด้วยสื่อมัลติมีเดียและแบบจำลองของวัดสำคัญ
ดูแล้วก็จะเข้าใจภาพรวมของอยุธยาขึ้นมาราง ๆ เป็นแนวทางในการเที่ยวต่อ
เรียกว่าสร้างอารมณ์ เสริมบรรยากาศก็คงจะได้
มาทีไรผมก็ต้องมาดูทุกที เสียอยู่หน่อยครับ ตรงที่ตัวนิทรรศการไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลง
เคยมาเมื่อตอนเปิดใหม่ ๆ เป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นยังงั้น
แต่เห็นกำลังมีการก่อสร้างอาคารสถาบันอยุธยาคดีของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาอยู่ใกล้
ๆ ด้วย
ก็ได้แต่หวังว่าสร้างเสร็จเมื่อไหร่คงมีข้อมูลใหม่ ๆ
เกี่ยวกับอยุธยามาปรับปรุงนิทรรศการให้นักท่องเที่ยวคอโบราณได้ฮือฮากัน
ศาลากลางจังหวัดเดิม |
ออกจากศูนย์ ฯ ผ่านไปทางหน้าศาลากลางจังหวัดเก่า สถาปัตยกรรมในยุคจอมพลป. พิบูลสงครามกับประติมากรรมพระราชานุสาวรีย์วีรกษัตริย์เหนืออาคาร ยังเด่นสง่าอยู่กึ่งกลางสามแยกเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ข้างในเขาใช้เป็นศูนย์ท่องเที่ยวอยุธยาไปแล้วครับ เกร่เข้าไปดูก็เข้าท่าดีเหมือนกัน ชั้นล่างเป็นเคาน์เตอร์ให้บริการข่าวสารการท่องเที่ยวของ ททท. บนชั้น ๒ มีนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับอยุธยาให้ชม ผมลองไปเดินเมียงมองดูแล้วก็รู้สึกว่าคล้าย ๆ กับที่ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์ เพียงแต่เล็กกว่าเท่านั้น ส่วนชั้น ๓ เป็นสถานที่สำหรับจัดแสดงนิทรรศการงานศิลปะ บรรยากาศโดยรวมยังดูเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาชมกันเท่าไหร่
ผิดกับทางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ที่ข้ามถนนไปไม่ใกล้ไม่ไกล นักท่องเที่ยวแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน ส่วนใหญ่ก็มาเพราะข่าวการพบพระมาลาทองคำนั่นแหละครับ ผมลองไปผลุบ ๆ โผล่ ๆ โต้คลื่นมหาชน โอ้โห ห้องจัดแสดงเครื่องทองงี้แทบจะไม่มีที่ยืน ทั้งที่ตอนยังไม่มีข่าว ผมมาทีไรไม่เห็นมีใครสักคน เห็นแล้วเลยท้อใจ ขอไปเที่ยวดูที่อื่นก่อนดีกว่า
ออกจากพิพิธภัณฑ์ ฯ แล้วผมก็เลยเลี้ยวซ้ายเข้าซอยข้าง ๆ ไปโผล่ออกที่ริมบึงพระราม อันเป็นจุดที่พระเจ้าอู่ทองทรงใช้เป็นที่หมายในการเลือกทำเลสร้างกรุงศรีอยุธยา ว่ากันว่าตอนแรกนั้นเป็นหนองน้ำเล็ก ๆ ไม่ใหญ่นัก มีชื่อเรียกว่าหนองโสน เมื่อพระเจ้าอู่ทองโปรดให้สร้างเมืองก็มีการขุดเอาดินจากหนองไปถมที่สร้างพระราชวังและวัดวาอารามโดยรอบ หนองน้ำก็เลยมีขนาดใหญ่ขึ้นกลายเป็นบึงที่มีเกาะเล็กเกาะน้อยอยู่ภายใน เดิมบึงนี้ทางตอนเหนือเรียกว่า”บึงชีขัน” และบึงทางใต้เรียกว่า”บึงหน้าวัดพระราม” หลัง ๆ มาคงขี้เกียจหนักเข้าเลยเรียกกันสั้น ๆ ติดปากว่า”บึงพระราม” รวมกันไปเลย
วัดสังขปัดกับบรรยากาศร่มรื่นในบึงพระราม |
ในพื้นที่สวนสาธารณะบึงพระรามวันนี้ นอกจากจะมีร้านค้าอาหารอีสาน ประเภทส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ที่จัดระเบียบอย่างเรียบร้อยคอยให้บริการนักท่องเที่ยวผู้หิวโหยแล้ว ยังมีวัดเก่า ๆ กระจัดกระจายอยู่
วัดสังขปัด เป็นเจดีย์แปดเหลี่ยมมีซุ้มพระยืนประดับรอบทั้งแปดด้าน วัดโพงเป็นเจดีย์เหลี่ยมมีซุ้ม ๔ ทิศ วัดไตรตรึงษ์ เจดีย์มีเหลืออยู่แค่ฐาน วัดหลังคาขาวเหลือเจดีย์แปดเหลี่ยมกับฐานวิหาร วัดหลังคาดำเหลือโบราณสถานอยู่มากที่สุด คือมีเจดีย์ ๒ องค์กับวิหาร ๑ หลัง วัดเหล่านี้ไม่มีประวัติเรื่องราวความเป็นมา เหมาะจะเดินชมเล่น ๆ เป็นอาหารตาหลังอิ่มจากอาหารมื้อกลางวัน
จะว่าไปบึงพระรามก็เป็นจุดศูนย์กลางของวัดวาอารามสำคัญหลายแห่ง
ผมเลยเปลี่ยนจากขับรถมาเป็นเดินเที่ยวบ้างก็เข้าท่าเหมือนกัน (จะได้ลดพุง)
ทิศตะวันตกของบึงเป็น วัดพระราม สมเด็จพระราเมศวรสร้างขึ้นตรงที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าอู่ทอง
พระราชบิดา หลังจากสถาปนากรุงศรีอยุธยาได้
๑๙ ปี
จุดเด่นอยู่ที่ปรางค์ประธานแบบอยุธยา
ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่รับเอารูปแบบปราสาทแบบขอมที่ส่วนใหญ่ทำด้วยหินและทรงเตี้ยป้อม
นำมาปรับเปลี่ยนเป็นใช้อิฐก่อสร้าง รวมทั้งแปลงรูปทรงเป็นปรางค์ชะลูดเข้ากับความนิยมแบบไทย วัดที่สร้างในช่วงอยุธยาตอนต้นจะ”ฮิต” สร้างกันมาก
วิหารพระมงคลบพิตรในอดีตที่เป็นแรงบันดาลใจ |
วิหารพระมงคลบพิตรในปัจจุบัน |
เดินดุ่ม ๆ ไปจนถึงวิหารพระมงคลบพิตร รู้สึกว่าพอปิดถนนเปลี่ยนทางเดินรถไม่ให้ผ่านหน้าวัดพระศรีสรรเพชญ์ ดูจะเงียบเหงาลงไปเยอะ ไม่ครึกครื้นด้วยนักท่องเที่ยวเหมือนก่อน
นมัสการหลวงพ่อมงคลบพิตรซึ่งสีทองอร่ามอยู่ในวิหารแล้วก็หวนคิดไปถึงสมัยเด็กครับ หลังจากมาเที่ยวอยุธยาครั้งแรกแล้ว กลับไปผมก็ติดใจหาดูแต่ภาพวัดวาอารามเก่า ๆ วันหนึ่งไปเปิดหนังสือ Holiday Time in Thailand เข้า เห็นภาพของหลวงพระมงคลบพิตรสมัยยังไม่บูรณะ ตระหง่านอยู่กลางแจ้งท่ามกลางซากปรักหักพังของวิหาร เห็นปุ๊บรู้สึกได้เลยถึงความยิ่งใหญ่อลังการของโบราณสถานแห่งนี้ แต่ตอนนั้นไม่ทันรู้ว่าคือวัดไหน รู้แค่เพียงว่าอยู่ที่กรุงเก่า ผมก็ได้แต่หมายมั่นปั้นมือว่าสักวันจะไปสัมผัสด้วยสายตาของตัวเองสักครั้งให้ได้
หลายปีต่อมาเมื่อผมมีโอกาสได้มาเที่ยวอยุธยา ก็พยายามตามหาวัดที่หมายตาเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ มารู้ทีหลังครับว่าภาพที่เห็นนั้นถ่ายโดยคุณปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ นักเขียนระดับตำนานของอนุสาร อ.ส.ท.เรานี่เอง แต่ที่สำคัญโบราณสถานที่เห็นนั้นคือวิหารมงคลบพิตรก่อนการบูรณะในพ.ศ. ๒๕๐๐ สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก่อนผมเกิดเสียอีก เป็นอันว่าหมดโอกาสที่จะสัมผัสความยิ่งใหญ่อลังการของวิหารมงคลบพิตรในอดีตด้วยสายตาของตัวเองได้อีกต่อไป นอกจากดูจากภาพถ่ายเท่านั้น
นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเริ่มถ่ายภาพวัดวาอารามในบรรยากาศเก่า ๆ ขลัง ๆ เก็บเอาไว้ทุกครั้งที่มีโอกาส
เกร่เข้าไปเดินชมวัดพระศรีสรรเพชญ์ซึ่งสร้างขึ้นตรงพระราชวังเดิมของพระเจ้าอู่ทอง ในสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ วัดนี้เป็นวัดในพระราชวังที่ไม่มีพระจำพรรษาแบบเดียวกับวัดพระแก้วที่กรุงเทพ ฯ มีเจดีย์ ๓ องค์ที่เรียงกันอยู่เป็นประธานของวัด และในวิหารมีพระพุทธรูปยืนทองคำขนาดใหญ่สูง ๘ วา นามว่า “พระศรีสรรเพชญดาญาน” ซึ่งถูกพม่าสุมไฟลอกเอาทองไปเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ในพ.ศ. ๒๓๑๐ เหลือเพียงแกนสำริด รัชกาลที่ ๑ โปรดให้นำไปบรรจุไว้ในเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาน ในวัดโพธิ์ที่กรุงเทพ ฯ
กลางซากวิหารที่เหลือแต่เสาโย้เย้ ผมยืนนิ่งวาดจินตนาการถึงภาพองค์พระศรีสรรเพชญ์ตระหง่านในวิหารอันใหญ่โตที่ตกแต่งประดับประดาอย่างโอ่อ่า คงจะงดงามตระการตาไม่น้อย เสียดายไม่มีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา
กลับออกมาสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าอู่ทองก่อนจะเดินเลียบถนนไปเรื่อย ๆ แวะชมเจดีย์สิงห์ล้อม ไหว้พระนอนในวิหาร (แถมด้วยการเสี่ยงเซียมซีคอมพิวเตอร์) ที่วัดธรรมมิกราช ก่อนจะเดินกลับออกมาผ่านวัดชุมแสง แลเห็นเจดีย์และพระประธานชำรุดในซากวิหารที่ขุดแต่งใหม่ ยังดูเอี่ยมอ่องอยู่ทางซ้าย เดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึง วัดราชบูรณะ ซึ่งกำลังโด่งดัง
ตามประวัติว่าเจ้าสามพระยาโปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระศพของพระเชษฐาทั้งสอง คือเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยา ที่ชนช้างแย่งราชสมบัติกันจนสิ้นพระชนม์ ทั้งคู่ แล้วยังโปรดให้สร้างเจดีย์เล็ก ๆ บริเวณที่ทั้งสองพระองค์ชนช้างกันเป็นอนุสรณ์ เรียกว่าเจดีย์เจ้าอ้ายเจ้ายี่ อยู่ตรงวงเวียนกลางสี่แยกพอดีครับ มองเผิน ๆ แทบไม่เห็นเหมือนกัน ทั้งที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แท้ ๆ
ส่วนทางขวามืออีกฟากถนนเป็นวัด วัดมหาธาตุ หนึ่งในวัดยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวต้องมาดู จุดเด่นที่ใครต่อใครทั้งฝรั่ง ไทย จีน ญี่ปุ่น นิยมมาถ่ายภาพกันมากก็คือเศียรพระพุทธรูปหินทรายที่ถูกรากไม้โอบล้อมเอาไว้ แต่จะว่าไปแล้วภายในวัดมีสถาปัตยกรรมแปลกๆ ที่น่าสนใจกว่านั้นอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเจดีย์เหลี่ยมที่ประดับประดาปูนปั้นเป็นรูปวิมานและยอดปราสาท วิหารแกลบหลังน้อย ๆ ที่แทรกตัวอยู่ระหว่างโบสถ์กับวิหารหลังใหญ่ และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ต้องใช้เวลาค่อย ๆ ดู ค่อย ๆ ชมไป ถึงจะเห็นในรายละเอียด
จากหลักฐานที่เหลืออยู่เแสดงให้เห็นว่าวัดมหาธาตุเป็นวัดโบราณที่สร้างซ้อนทับกันมาหลายสมัย ยอดปรางค์ประธานหักพังจากการเสริมสร้างให้ปรางค์สูงขึ้นและใหญ่ขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ทำให้โครงสร้างรับน้ำหนักไม่ไหว จนในที่สุดก็หักพังลงมาเหลือแค่ที่เห็นในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๖ ยุครัตนโกสินทร์นี้เอง ที่วัดมหาธาตุนี่กรมศิลปากรขุดได้ของโบราณหลายชิ้นเมื่อพ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นสถูป ๗ ชั้น บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ถ้าไปดูที่ห้องแสดงเครื่องทองก็จะได้เห็นละครับ
ติดกับวัดมหาธาตุเป็นวัดนก วัดเล็ก ๆ ที่มีหลักฐานว่าเป็นย่านตลาดเช้าและเย็นของกรุงศรีอยุธยา เป็นอันว่าผมวกกลับมาครบรอบที่บึงพระรามพอดี แล้วก็เหนื่อยพอดีเหมือนกัน แต่ก็เที่ยววัดสำคัญได้ครบ ที่เหลือก็เป็นวัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ใช้วิธีขับรถชมเอาก็ได้ (เดินต่อไม่ไหวแล้ว)
พระนอนวัดโลกยสุธาราม |
คราวนี้ผมเลือกใช้สูตรของบริษัททัวร์ครับ เลือกวัดโลกยสุธาเป็นจุดหมายต่อไป เพราะว่าเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศมักจะระบุว่าต้องไปให้ได้ ความจริงวัดนี้ไม่ได้มีความสำคัญอะไรนอกจากมีพระนอนองค์ใหญ่ จำได้ง่าย วัดวรเชษฐารามซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันสิครับ สำคัญกว่าเป็นไหน ๆ เพราะเป็นวัดที่สมเด็จพระเอกาทศรถสร้างถวายเป็นพระราชกุศลให้กับพระเชษฐา คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยังเหลือหลักฐานคือเจดีย์ใหญ่กับโบสถ์และวิหาร กับพระประธานปูนปั้นปางมารวิชัย
จอดรถเดินไปวัดวรโพธิ์ เพราะเหลือบไปเห็นฐานย่อมุมไม้สามสิบหกของปรางค์ประธานที่ยอดพังทลายหายไป มองไกล ๆ คล้ายปิรามิดของชาวมายา แต่ชาวบ้านแถวนี้เรียกกันว่ามณฑปเพราะเคยเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท
มีที่แปลกตาอีกอย่างก็คือเจดีย์ทรงป้อม
ๆ คล้ายแบบพม่าขนาดย่อมหลังวิหารใหญ่
ขับรถเข้าซอยลัดเลาะออกสู่ถนนอู่ทอง เลียบแม่น้ำทางทิศใต้ ผ่านเจดีย์ศรีสุริโยทัยสีทองอร่ามและพระตำหนัก
ทางซ้ายมือแลเห็นซากวัดเก่าที่ขุดแต่งใหม่แล้วเรียงรายกันอยู่คือวัดมหาสมัน
วัดโพธิ์เผือก และวัดวังไชย
เลี้ยวเข้าสู่สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ที่กำลังอยุ่ในระหว่างตกแต่งปรับภูมิทัศน์
ภายในสวนมีวัดโบราณหลายวัดซึ่งไม่มีประวัติความเป็นมา
ความน่าสนใจจึงอยู่ที่สถาปัตยกรรมในบริเวณของวัดสังขแท้ วัดเจดีย์ใหญ่ วัดสังขทา วัดอุโบสถ และวัดเจ้าปราบ
ภายใต้บรรยากาศของสวนสาธารณะอันร่มรื่น
ให้เวลากับวัดในสวนพอสมควรแล้วก็ขึ้นรถไปต่อ แล่นออกทางถนนเลียบคลองท่อ ข้ามสะพาน แวะจอดชมลวดลายปูนปั้นอันวิจิตรพิสดารบนปรางค์องค์เล็กของวัดส้มอีกพักใหญ่ ก่อนจะแล่นเรื่อยตรงไปตามทางผ่านป้อมเพชร
ชมวัดเสร็จแล้วก็บึ่งรถตรงดิ่งมาที่ตลาดหัวรอ แวะชมเจดีย์เล็กซ้อนอยู่ในเจดีย์ใหญ่ที่วัดขุนแสน หน่อยหนึ่งก่อน แล้วค่อยมาขึ้นสะพานข้ามคลองคูเมืองที่ข้างวัดสุวรรณาวาส ออกไปนอกเกาะเมืองด้านทิศเหนือ
เลียบเส้นทางอุดรสัญจรวัดโบราณ
ข้ามสะพาน เลี้ยวตามถนนผ่านวัดวงษ์ฆ้องไปทางขวา
เส้นทางนับจากนี้แหละครับที่ผมเคยชอบนักหนา เพราะมีวัดวาอารามเก่า ๆ ที่หลบเร้นซ่อนอยู่ ต้องกางลายแทงตามหากันเป็นที่สนุกสนาน
เจดีย์แบบล้านนาที่วัดท่าแค |
สิงห์ล้อมฐานเจดีย์วัดแม่นางปลื้ม |
จุดแรกคือวัดแม่นางปลื้ม ยังมองดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ เจดีย์ประธานทรงระฆังองค์ใหญ่บนฐานทักษิณที่ล้อมรอบด้วยสิงห์ปูนปั้นท่วงทีองอาจยังคงตระหง่าน สิงห์บางตัวที่เคยหกคะเมนเค้เก้ก็ถูกจับตั้งขึ้นเข้าแถวเรียบร้อย แถมรอบข้างยังดูสะอาดสะอ้านเพราะว่าวัชพืชที่เคยขึ้นรกเรื้อถูกกำจัดรียบไม่มีเหลือหรอ
ชมดูจนพอใจแล้ว พาหนะคันเก่งก็ออกวิ่งปร๋อต่อ เลี้ยวซ้ายเข้าซอย ตรงดุ่ยไปเรื่อยไปตามถนน สักพักก็กลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ของวัดแคหรือวัดท่าแคก็ปรากฏแก่สายตา
เจดีย์ใหญ่ทรงพระธาตุแบบล้านนายังคงยืนเด่น เคียงคู่กับเจดีย์ทรงระฆังบนฐานสี่เหลี่ยมสูง เจดีย์รายที่ล้มพังทลายถูกก่อใหม่ โดยที่ยังหลงเหลือซากปล้องไฉนหักเป็นท่อน ๆ กองอยู่เบื้องหน้า จะว่าไปแล้ว บรรยากาศโดยรวมยังเป็นแหล่งโบราณสถานที่น่าสนใจ เสียอยู่อย่างเดียวก็ตรงที่ขาดเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่จะมาเพิ่มสีสันให้สถานที่เท่านั้นแหละครับ
รถมาหยุดนิ่งสนิทอีกครั้งก็ที่หน้าวัดพระงามในคลองสระบัว
ผมมายืนรำลึกความรู้สึกเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนบุกบั่นตามทางรกเรื้อด้วยป่าหญ้า เข้ามาพบกับซุ้มประตูโค้งซึ่งปกคลุมด้วยรากไม้ที่แผ่ขยายไปทั่ว โดยมีเจดีย์แปดหลี่ยมองค์ใหญ่ที่เก่าร้างยืนจมอยู่ในความรกชัฏเบื้องหลัง มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าผมได้ค้นพบกับอาณาจักรโบราณที่สาบสูญไปเนิ่นนาน
ความรู้สึกนี้เป็นเช่นเดียวกันเมื่อผมไปยัง วัดจงกรม ที่อยู่ถัดไป
เจดีย์แปดเหลี่ยมที่ครอบเจดีย์ระฆังองค์เล็กเอาไว้ข้างใน
ผนังวิหารและเจดีย์รายที่พังทลาย ให้ความรู้สึกถึงความยาวนานของกาลเวลา
วัดพระยาแมน เป็นวัดเดียวที่มีประวัติว่าเป็นวัดที่พระเพทราชาสร้างถวายพระอาจารย์ เนื่องจากเคยทำนายว่าพระองค์จะได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะโอ่อ่าอัครฐานด้วยโบสถ์ วิหาร และพระปรางค์ประธาน ๒ องค์ของวัด ที่แม้จะปรักหักพังแล้วก็ยังเห็นแววความงดงามอยู่
พาหนะคันเก่งออกจากย่านคลองวัดสระบัวผ่านวัดเจ้าย่าซึ่งมีโบราณสถานอยู่สองฟากฝั่งถนนออกมายังวัดหน้าพระเมรุ อันเป็นหนึ่งในวัดยอดนิยม เนื่องจากเป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ถูกพม่าเผาทำลาย เพราะพม่าตั้งค่ายอยู่ที่วัดนี้
หลังจากจอดรถเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปทรงเครื่องหล่อสำริดขนาดใหญ่ที่สุดในโบสถ์กับพระคันธารราฐหินสีเขียวในวิหารน้อยตามธรรมเนียมแล้ว ผมก็ตั้งใจจะไปถ่ายภาพบรรยากาศขลัง ๆ ของเจดีย์รายที่ปกคลุมด้วยรากไม้ข้างโบสถ์เสียหน่อย แต่ปรากฏว่าตอนนี้ทางวัดจัดสวนหย่อมใหม่ ปูสนามหญ้าปลูกดอกไม้เสียรอบ ดูไม่ค่อยเข้ากับเจดีย์เก่า ๆ เท่าไหร่ เลยเปลี่ยนใจไม่ถ่าย
ปรางค์ประธานและเจดีย์รายที่วัดเชิงท่า |
วัดหัสดาวาส |
เลยออกไปดูวัดหัสดาวาส กับวัดตะไกร ที่ตอนนี้บูรณะเรียบร้อย พร้อมจะเปิดตัวเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่เช่นเดียวกับวัดเชิงท่าซึ่งตามพงศาวดารบันทึกไว้ว่าเป็นวัดสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเมื่อครั้งเยาว์วัย ได้อาศัยพำนักและเรียนหนังสือ ตอนนี้กำลังมีการปรับปรุงภูมิทัศน์เป็นการใหญ่ ดูเหมือนจะสร้างสะพานข้ามมาหรือไงนี่แหละ มองเห็นได้แต่ไกลจากฝั่งเกาะเมืองเลยเชียวครับ เท่าที่เห็นก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวสนใจมาชมกันเยอะ โดยเฉพาะจุดเด่นก็คือพระปรางค์ใหญ่ที่สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น
วัดไชยวัฒนาราม |
ตะวันเริ่มคล้อยลอยต่ำ ผมแวะไปที่วัดไชยวัฒนาราม ซึ่งสร้างในสมัยพระเจ้าปราสาททอง เพื่อเป็นที่ระลึกในการตีได้เมืองพระนครของขอม เป็นการจำลองนครวัดมาในแบบของสถาปัตยกรรมไทย จำได้ว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวรู้จักเท่าไหร่ ผมมาเดินเที่ยวอยู่ในวัดเป็นวัน ๆ ยังไม่เจอใครสักคน เดี๋ยวนี้ผู้คนคึกคักแทบทุกวัน
ผิดกันกับวัดวรเชตุเทพบำรุง บนเส้นทางออกไปทางอำเภอเสนาซึ่งเป็นวัดที่มีโบราณสถานหลายแห่งน่าสนใจคล้าย ๆ กัน แต่กลับไม่มีคนไปเที่ยวกันเลย อาจเป็นเพราะวัดไชยวัฒนารามเคยใช้เป็นฉากละครโทรทัศน์เรื่องเรือนมยุรา
เจดีย์วัดกระช้ายยืนเดียวดายกลางทุ่ง ราวกับกำลังโบกมืออำลาผมที่กำลังขับรถมุ่งหน้ากลับกรุงเทพเมืองฟ้าอมร
ผมเคยบุกบั่นเดินเข้าไปเที่ยวดูเจดีย์ร้างแห่งนี้หลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่โชคไม่ดี เข้าไปเจอคนกลุ่มใหญ่กำลังลักลอบขุดหาสมบัติ ต้องแกล้งทำใจดีสู้เสือชวนคุยโน่นคุยนี่ กว่าจะหาโอกาสเดินหนีกลับออกมาได้
มานึกถึงตอนนี้ก็ตื่นเต้นดีเหมือนกัน เป็นหนึ่งในรสชาติที่ได้จาการตามรอยลายแทงหาดูหาชมสมบัติกรุงเก่าพระนครศรีอยุธยา ที่รู้สึกว่าห่างเหินไปนาน
เอ ไม่แน่เหมือนกันนะครับ บางทีวันหยุดสุดสัปดาที่จะถึงนี้ ผมอาจจะลองกางแผนที่ออกตามหาสมบัติมรดกโลกอีกสักครั้ง
เอกสารอ้างอิง
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ.อยุธยา ประวัติศาสตร์และการเมือง.กรุงเทพ ฯ :มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์,๒๕๔๒.
น. ณ ปากน้ำ ห้าเดือนกลางซากอิฐปูนที่อยุธยา.กรุงเทพ ฯ :เมืองโบราณ,๒๕๒๙.
ศรีศักร วัลลิโภดม.กรุงศรีอยุธยาของเรา.กรุงเทพ ฯ :มติชน,๒๕๔๑.
คู่มือนักเดินทาง
จากกรุงเทพ ฯ สามารถเดินทางไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้หลายเส้นทาง
รถยนต์ส่วนตัว
๑ จากกรุงเทพ ฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๑ (ถนนพหลโยธิน) ผ่านประตูน้ำพระอินทร์
เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๓๒
เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๐๙ เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
๒ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๐๔ (ถนนแจ้งวัฒนะ) หรือทางหลวงหมายเลข ๓๐๒ (ถนนงามวงศ์วาน) เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข๓๐๖ (ถนนติวานนท์) แล้วข้ามสะพานไปเข้าทางหลวงหมายเลข
๓๑๑๑ ที่จังหวัดปทุมธานี
ตรงไปเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข
๓๒๖๓ที่สี่แยกอำเภอเสนาเข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
๓ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๐๖ (ถนนติวานนท์) ถึงทางแยกสะพานปทุมธานี เลี้ยวเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๓๔๗
ไปแยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข ๓๒๖๓ ที่แยกวรเชษฐ์เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
รถโดยสารประจำทาง
บริษัท ขนส่ง จำกัด
มีบริการรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศออกจากสถานีขนส่งหมอชิตไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทุกวัน
รถปรับอากาศชั้น ๑ อัตราค่าโดยสาร ๕๒ บาท ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทรศัพท์ ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๕๒–๖๖
หรือที่เว็บไซต์ www.transport.co.th
รถไฟ
การรถไฟแห่งประเทศไทยมีบริการรถไฟสายเหนือและสายตะวันออกเฉียงเหนือผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ ๐ ๒๒๒๓ ๗๐๑๐,๐๒๒๒๓
๗๐๒๐ และ ๑๖๙๐ หรือที่เว็บไซต์ www.railway.co.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น