ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ ๔๔ ฉบับที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๖
เมฆฝนสีดำมืดแผ่เงาทะมึนเหนือผืนฟ้า พร้อมส่งเสียงคำรามดังลั่นครั่นครื้นมาแต่ไกล ขณะพาหนะคันไม่เล็กไม่ใหญ่ที่บรรทุกผมและเพื่อนร่วมทางกำลังควบปุเลง ๆ ไปตามทางหลวงหมายเลข ๑๒ เลียบเทือกเขาภูเวียงที่ทอดตัวยาวอยู่ทางขวามือไปเรื่อย ๆ
ภาพทิวเขายาวเหยียดถูกครอบคลุมด้วยมวลเมฆมืดหม่น ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะจุดหมายของผมในวันนี้ อยู่ที่หน้าผาสูงบนยอดภูเวียงโน่น ชะเง้อมองไปก็เห็นว่าอยู่ทั้งสูงทั้งไกลลิบลับเลยทีเดียว หนทางขึ้นก็น่าจะวิบากไม่ใช่เล่น ต้องตะเกียกตะกายเดินเท้าขึ้นเขาไปตามทางดินรกชัฏ ไม่มีบันไดให้เดินขึ้นสบาย ๆ เสียด้วย ถ้าฝนเทโครมลงมาละก็ ไม่อยากจะคิดสงสารตัวเอง เลยจริง ๆ ครับ
แน่นอนละ ถ้าไม่มีอะไรสำคัญ ผมก็คงไม่คิดจะบุกบั่นขึ้นไปให้เป็นการทรมานสังขารอันเริ่มจะสะอวบสะอ้วน (ไม่ค่อยจะสะโอดสะอง) เล่น ๆ เป็นแน่ แต่บังเอิญรู้มาว่าข้างบนนั้นมีพระพุทธไสยาสน์ศิลปะสมัยทวารวดี จำหลักไว้บนหน้าผา ขนาดความยาวขององค์พระถึง ๓ เมตร งานนี้ก็เลยต้องขอกัดฟันลุยกันหน่อย
โธ่ ไม่ใช่ว่ามีโอกาสกันบ่อย ๆ นี่ครับ ที่ผมจะมีโอกาสได้มาเที่ยวชมศิลปกรรมทวารวดีแบบเฉพาะกิจอย่างนี้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีบุญได้ดูได้ชมเป็นแค่ของแถมเสียมากกว่า ด้วยความที่ขอบเขตของวัฒนธรรมทวารวดีนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ว่ากันตั้งแต่ภาคกลาง ภาคอีสาน ไปจนภาคเหนือ แม้กระทั่งภาคใต้ก็ยังมี กระจัดกระจายอยู่มากมายหลายจังหวัด ชนิดที่ดูชมกันไม่หวาดไม่ไหว จนแล้วจนรอดผมก็เลยไม่เคยได้เที่ยวชมทวารวดีกันอย่างเป็นกิจลักษณะสักที ทั้งที่จะว่าไปแล้วศิลปกรรมทวารวดีนั้นน่ะ จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของศิลปกรรมที่ผมชื่นชอบมาตั้งแต่สมัยยังเด็กโน่นเลยเชียวละครับ
นับแต่จำความได้ สมัยเรียนชั้นประถมผมก็ชอบอ่านหนังสือจำพวกแหล่งอารยธรรมโบราณเสียแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าจะอ่านรู้เรื่องลึกซึ้งพิสดารอะไรหรอก ชอบดูภาพของเมืองโบราณที่มีรูปปั้นหน้าตาพิลึกกึกกือ อาคารรูปร่างแปลกประหลาด เป็นต้นว่านครเทโฮทิฮัวกันในเม็กซิโก เมืองติกาลของชาวมายาในกัวเตมาลา หรือปิรามิดของชาวอียิปต์โบราณ อะไรต่อมิอะไรประมาณนี้นั่นแหละเป็นหลัก เพราะดูแล้วได้บรรยากาศขรึมขลังคร่ำคร่าชอบกลดี ยังเคยนึกอยากให้เมืองไทยเรามีเมืองโบราณอายุเป็นพันปีแบบนี้กับเขาบ้าง จะได้ไปเที่ยวดูของจริงได้ ก็ที่เห็น ๆ ในหนังสือน่ะ แต่ละแห่งล้วนแต่ไกลลิบโลกทั้งนั้น
จนมาวันหนึ่งผมถึงเจอของดีเข้าให้ครับ เมื่อแอบไปซน รื้อค้นหนังสือในตู้ของคุณพ่อออกมาดู ส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสือประเภทประวัติศาสตร์ โบราณคดี นี่แหละ แล้วก็พบว่าในหนังสือหลายเล่มมีภาพของฐานเจดีย์มหึมา ที่สายตาของเด็กอย่างผมในตอนนั้นเห็นไปว่าหน้าตาคล้าย ๆ ปิรามิด รวมทั้งยังมีรูปปั้นหน้าตาแปลกประหลาดเต็มไปหมด คล้ายกับรูปปั้นของบรรดาอารยธรรมโบราณในทวีปอเมริกาใต้ที่ผมเคยผ่านตาจากในหนังสือ เห็นปุ๊บก็ถูกใจปั๊บเชียวละครับ รีบดูคำบรรยายภาพ ก็ปรากฏว่าเป็นของที่อยู่ในประเทศไทยล้วน ๆ อ่านรายละเอียดต่อไปก็ได้ความว่าภาพที่เห็นน่ะเป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุสมัยทวารวดี อายุอานามก็นับได้พันปีกับเขาเหมือนกัน
เป็นอันว่าตกหลุมรักแบบแรกพบเลยครับทีนี้ คำว่า “ทวารวดี” เข้าไปปักป้ายจองอยู่กลางหัวใจของผมนับแต่นั้นเป็นต้นมา แต่แรก ๆ ก็ชอบไปตามประสาเด็ก เจอเรื่องทวารวดีในหนังสือเล่มไหนก็อาศัยดูแต่ภาพ เอาบรรยากาศโบราณพอครึ้มอกครึ้มใจ ส่วนเนื้อหาจะเป็นอย่างไรไม่ค่อยจะกระดิกหรอก เพราะหนังสือเกี่ยวกับทวารวดีโดยมากใช้ภาษาวิชาการซับซ้อนเหลือหลาย อ่านเมื่อใดก็เป็นได้หลับเมื่อนั้น (อานุภาพร้ายแรงมาก )
จนเมื่อได้มาเลือกเรียนวิชาเอกประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแล้วนั่นแหละครับ ผมถึงได้เริ่มมารู้จักทวารวดีอย่างจริงจังขึ้นมาอีกหน่อย แล้วก็ต้องทึ่งเมื่อมารู้ว่ายุคสมัยซึ่งเรียกขานกันว่า “ทวารวดี” ที่ผมคลั่งใคล้นักหนา น่ะไม่ใช่ธรรมดา แต่ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญชนิด “หัวเลี้ยวหัวต่อ” เป็นจุดเริ่มต้นของยุคประวัติศาสตร์ไทยเลยทีเดียว
๑.
ชื่อ “ทวารวดี” ในภาษาสันสกฤตที่มาจากคำว่า “ทวารกะ” อันหมายถึงปากประตู
ก็ดูเหมือนจะบอกใบ้อยู่เป็นนัย ๆ อยู่แล้วว่าวัฒนธรรมทวารวดี
เกิดจากการที่เป็นเมืองท่าประตูการค้าขาย หรือจะให้ทันสมัยอย่างที่เขานิยมกันในตอนนี้
ก็ต้องเรียกว่าเป็น Gateway City ( ฟังแล้วโก้ดีไม่เบาเหมือนกัน)
จากชุมชนเกษตรกรรมแบบพื้นเมืองแต่เดิมที่นับถือผีสางนางไม้ พอมาเริ่มค้าขายกับชาวอินเดีย ก็ค่อย ๆ รับเอาอารยธรรม ความเชื่อทางศาสนา รวมทั้งการเมืองการปกครองเข้ามา กลายเป็นชุมชนเมืองที่มีกษัตริย์ มีแบบแผนการสร้างเมืองโดยมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ
แต่ที่เป็นก้าวสำคัญก็คือรับเอาตัวอักษรจากอินเดียมาใช้ในการบันทึกเรื่องราว
ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นยุคประวัติศาสตร์ของไทย
ความ “เจ๋ง” ของทวารวดี อยู่ตรงที่ถึงแม้จะรับเอาอารยธรรมอินเดียเข้ามา ก็ไม่ใช่หลับหูหลับตารับมาแบบลุ่น ๆ ครับ ทว่านำมาผสมผสานเข้ากับลักษณะดั้งเดิมของท้องถิ่น จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างตัวอักษร ก็ได้มีการดัดแปลจากอักษรปัลลวะของอินเดียมาเป็นตัวอักษรแบบท้องถิ่นที่เรียกว่าอักษรมอญโบราณ
แต่ที่เห็นกันได้ชัดเจนที่สุดก็คือด้านศิลปกรรม ที่สร้างสรรค์กระทั่งมีลักษณะเฉพาะจนสามารถเรียกว่า “ศิลปกรรมแบบทวารวดี” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำด้วยความภูมิใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าผู้คนพื้นเมืองบนผืนแผ่นดินไทยของเราเอง ก็ได้สั่งสมความรู้ ความชำนาญ ทางด้านศิลปะแบบท้องถิ่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เห็นได้จากศิลปะก่อนประวัติศาสตร์ อย่างพวกวัฒนธรรมบ้านเชียง บ้านเก่า พอได้แนวทางจากอารยธรรมอินเดีย ก็ผสมกลมกลืนกันออกมาเป็นศิลปกรรมแบบใหม่ที่สวยงามลงตัวได้ทันที
ไม่แปลกใจเลยครับ ที่ผมเห็นศิลปกรรมทวารวดีแล้วจะประทับใจตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น
ดูแต่ภาพถ่ายในหนังสือมาหลายปี พอมาได้เรียนเรื่องราวเกี่ยวกับทวารวดีเข้า ผมก็ชักจะเริ่มอยากเที่ยวชมศิลปกรรมทวารวดี ที่เป็น “ ของจริง” ขึ้นมาติดหมัด
แต่ถึงแม้ว่าวัฒนธรรมทวารวดีจะมีพื้นที่การแพร่กระจายกว้างขวางทั่วประเทศไทย มีโบราณสถาน โบราณวัตถุ อยู่มากมายนับร้อยนับพันจนถึงนับไม่ไหว ทว่าอยู่ดีๆ จะสุ่มสี่สุ่มห้าไปเที่ยวเลยก็คงจะไม่ได้ เพราะว่าเวลาที่ผ่านไปนับพันปี ก็เป็นธรรมดาละครับ ที่บรรดาโบราณสถาน โบราณวัตถุ จะต้องมีการเสื่อมสภาพ พังทลาย แตกหักเสียหายจากหลายสาเหตุปัจจัย ทั้งจากธรรมชาติ และจากผู้คนที่ไปทำลาย ขืนทะเล่อทะล่าไปเที่ยวแค่เพราะเห็นมีรายชื่อเป็นเมืองโบราณทวารวดี พอไปถึงที่เข้าจริง อาจจะมีแค่เนินดินเตี้ย ๆ กับอิฐเก่า ๆ ไม่กี่ก้อนให้ดูก็ได้ ใครจะไปรู้
ก่อนจะไปเที่ยวชมศิลปกรรมทวารวดีอย่างจริงๆ จัง
ๆ ผมก็เลยต้องมีการศึกษาหาข้อมูลเสียก่อนครับ เพื่อเป็นการ “ร่อน”
ให้เหลือแต่แหล่งวัฒนธรรมทวารวดีที่ถือว่าเป็น “ทีเด็ด” จริง ๆ จะได้ไม่ผิดหวัง
๒.
หลังจากหาข้อมูลจากตำรับตำราอยู่พักใหญ่ ผมก็พอจะแยกแยะเมืองโบราณทวารวดีออกได้เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ โดยเลือกเอาเฉพาะเมืองโบราณที่มีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจเท่านั้น ส่วนเมืองที่มีรายชื่อเป็นเมืองสมัยทวารวดีแต่ไม่มีศิลปกรรมอะไรให้เที่ยวชมไม่นับ ดังนั้นขอบอกไว้ก่อนว่านักเรียนนักศึกษาทั้งหลายอย่าได้ทะเล้นเอาการจัดกลุ่มของผมตรงนี้ไปอ้างอิงทำรายงานหรือตอบข้อสอบเชียว เพราะเป็นการจัดกลุ่มเฉพาะกิจที่เน้นเรื่องท่องเที่ยวอย่างเดียวเป็นหลัก วิชาการไม่เกี่ยว (เดี๋ยวสอบตกขึ้นมาจะหาว่าหล่อไม่เตือน)
กลุ่มแรกเป็นกลุ่มเมืองทวารวดีในลุ่มแม่น้ำท่าจีน-แม่กลอง
ครับ ดูในแผนที่จะเห็นว่าอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ในกลุ่มนี้เมืองที่เข้าท่ามีของน่าดูเยอะก็ได้แก่ เมืองนครชัยศรีที่นครปฐม เมืองคูบัวที่ราชบุรี
และเมืองอู่ทองที่สุพรรณบุรี แต่ละเมืองก็มี”ของดี”แตกต่างกันออกไป
เริ่มจากเมืองนครชัยศรี เมืองโบราณที่สมัยหนึ่งบรรดานักโบราณคดีเขาว่าเคยเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมทวารวดี ดังนั้นก็เลยมีทีเด็ดอยู่ “เพียบ” ครับ ไม่ต้องดูอื่นไกล แม้แต่องค์พระปฐมเจดีย์ที่เห็นโดดเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเมืองนั้น เดิมก็เป็นเจดีย์สมัยทวารวดีขนาดใหญ่มหึมา ถูกทิ้งร้างอยู่กลางป่ารกชัฏนับร้อยปี มาได้รับการฟื้นฟูบูรณะจนเป็นอย่างที่เห็นในทุกวันนี้เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๔ นี่เอง
อาณาบริเวณรอบ ๆ เมืองนครปฐม ก็ยังมีโบราณสถานหลายแห่ง ผมเคยอ่านพบว่าเมื่อไม่กี่สิบปีมานี่ยังมีการขุดพบทั้งชิ้นส่วนธรรมจักรศิลา ทั้งชิ้นส่วนพระพุทธรูปทำด้วยหินทรายเป็นกองภูเขาเลากา ที่พอทางกรมศิลปากรนำเอามาประกอบกันเข้า ก็ปรากฏว่าเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาขนาดใหญ่ ประกอบได้หลายองค์เสียด้วย ที่เห็นอยู่ที่หน้าบันไดทางขึ้นพระปฐมเจดีย์นั่นก็องค์หนึ่งละ ส่งไปจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ที่พระนครศรีอยุธยาก็อีกองค์หนึ่ง ยังมีพระพุทธรูปปางประทับนั่งห้อยพระบาทในวิหารน้อยวัดหน้าพระเมรุ พระนครศรีอยุธยา ที่ถือว่าเป็นศิลปกรรมทวารวดีชิ้นเยี่ยม ก็มาจากที่นครปฐมนี่เหมือนกัน
ความโดดเด่นของทวารวดีที่นครปฐมอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ ในอาคารจัดแสดงเล็ก ๆ ในบริเวณวัดพระปฐมเจดีย์ มีศิลปวัตถุระดับที่เข้าขั้น “ มาสเตอร์พีซ” มากมาย เฉพาะธรรมจักรศิลานี่ก็ปาเข้าไปหลายสิบชิ้น จนรู้สึกว่าน่าจะมีมากที่สุดในประเทศไทยแล้ว ไหนจะลวดลายปูนปั้นประดับฐานเจดีย์จุลประโทน ที่เป็นเรื่องราวในชาดก จัดแสดงเอาไว้อีกเป็นแถว ล้วนแล้วแต่น่าสนใจ ยิ่งเดี๋ยวนี้เขาจัดรูปแบบเป็นนิทรรศการถาวร ติดสปอตไลท์อย่างดี ชนิดที่บอกได้คำเดียวว่า “แจ๋ว” ครับ ต่างกับสมัยที่ผมไปครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนลิบลับ จำได้ว่าในตอนนั้นพิพิธภัณฑ์ดูมืด ๆ ทึม ๆ ชอบกล จนน่ากลัวผีจะหลอก
ประติมากรรมชิ้นที่ผมประทับใจที่สุดก็คือหัวเสาธรรมจักรจำหลักลายนูนต่ำเป็นภาพพุทธประวัติตอนแสดงปฐมเทศนา ซึ่งภาพบุคคลแต่งกายแบบฤาษี ๕ ตนทางขวามือของภาพน่าจะหมายถึงปัญจวัคคีย์ แต่ละคนกำลังหน้าตาบู้บี้ไม่ค่อยเสบยกันเท่าไหร่ (ยังไม่บรรลุ) แต่หลังจากฟังปฐมเทศนา โกนผมบรรพชาเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาแล้ว ก็กลับมีใบหน้าที่ยิ้มละไม อย่างที่เห็นอยู่ทางด้านซ้าย เรียกว่าไม่ต้องการคำอธิบายจริงๆ ครับสำหรับภาพนี้ เห็นว่าถูกขอยืมไปจัดแสดงในนิทรรศการที่ต่างประเทศหลายต่อหลายครั้งเสียด้วย (ขนาดฝรั่งยังติดใจเลย คิดดูก็แล้วกัน)
ใกล้กันกับนครปฐม ก็คือเมืองราชบุรี ที่ดูเหมือนจะมีจุดเด่นในความเป็นทวารวดีที่ต่างจากนครปฐมออกไป หากไม่นับโบราณสถานวัดโขลง ในเมืองคูบัว ที่เหลือแค่ฐานเจดีย์ขนาดใหญ่ กับไม่นับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี ที่มีประติมากรรมพระโพธิสัตว์วัชรปาณีสมัยทวารวดีเป็น ชิ้นเอกแล้ว ความน่าสนใจของราชบุรีก็น่าจะต้องอยู่ที่ ศิลปกรรมสมัยทวารวดีที่อยู่ตามถ้ำในเทือกเขางู
ชมศิลปกรรมที่นครปฐมนั้นเดินสบาย ๆ ครับ แต่ที่ราชบุรีนี่ต้องมีการออกกำลังกาย ปีนป่ายขึ้นเขากันอุตลุต ถ้ำฤาษีนั้นเบาหน่อย เพราะขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นก็ได้ไปนมัสการและชมความงามอย่างอัศจรรย์ของภาพแกะสลักหินพระพุทธรูปยืนข้างในถ้ำ รวมทั้งพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาขนาดใหญ่ ที่หากใครลองสังเกตด้านล่างแถว ๆ ข้อพระบาท จะเห็นมีอักษรปัลลวะจารึกว่า “พระศรีสมาธิคุปตะ” คงจะเป็นชื่อองค์พระ หรือไม่ก็ชื่อผู้ที่สร้างจารึกไว้ สมัยที่ผมไปถ้ำฤาษีครั้งแรก จำได้ว่าองค์พระดูกระดำกระด่างเพราะการปิดทองจากผู้คนที่มาสักการะ แต่ก็ดูเหมือนจะเก่า ๆ ขลัง ๆ ดี ทว่าล่าสุดผมไปอีกทีปรากฏว่ามีการทาสีทองที่องค์พระ (หรือปิดทองก็ไม่รู้ล่ะ) จนเหลืองอร่าม ดูใหม่ ๆ อย่างไรชอบกล บางคนอาจจะชอบก็ได้ แต่ผมชอบเก่า ๆ แบบเดิมมากกว่า
จากถ้ำฤาษีลึกเข้าไปในเทือกเขาหินอันซับซ้อน ยังมีอีกหลายถ้ำที่มีของดีน่าชมอยู่ แต่เพิ่มความลำบากในการไปเที่ยวชมขึ้นมาอีกหน่อย เนื่องจากแต่ละถ้ำอยู่บนเขาสูง ต้องขึ้นบันไดไปหลายสิบขั้น เล่นเอาหอบซี่โครงบานไปเหมือนกัน แต่ก็คุ้มค่ากับสิ่งที่จะได้พบเห็น
บนผนังถ้ำฝาโถ จำหลักศิลาพระพุทธรูปปางไสยาสน์ เช่นเดียวกันกับถ้ำจามซึ่งนอกจากภาพจำหลักพระนอนแล้วยังมีลายปูนปั้นแบบทวารวดีเป็นพระพุทธรูปแสดงมหาปาฏิหาริย์ ที่หาดูได้ยาก ถ้ำจีนนั้นมีพระพุทธรูปจำหลักปางมารวิชัยไว้บนผนังถ้ำ ๒ องค์ เดิมน่าจะเป็นศิลปะแบบทวารวดี แต่ตอนหลังคงจะมีการซ่อมดัดแปลง เพราะมีร่องรอยให้สังเกตได้อยู่
ต้องค่อยดูค่อยพิจารณาครับ บางภาพดูเผิน ๆ นึกว่าก้อนหินธรรมดา ดูศิลปกรรมในถ้ำแบบนี้ผมว่าสนุกกว่าเล่นเกมส์จับผิดภาพตามห้างสรรพสินค้าเสียอีก
ในเมืองโบราณกลุ่มแรกนี้ เมืองอู่ทอง ที่สุพรรณบุรี ดูเหมือนครบครันพร้อมพรั่งที่สุดเพราะมีตั้งแต่รอยพระพุทธบาททวารวดีแกะสลักบนแผ่นหินทราย
ที่อยู่บนยอดเขาดีสลัก
ตัวเมืองโบราณอู่ทองเองก็มีฐานเจดีย์ทวารวดีขนาดมหึมากระจายอยู่หลายแห่ง ไหนยังจะคอกช้างดินซึ่งตอนแรกนักโบราณคดีสันนิษฐานกันว่าเป็นคอกช้างโบราณ
แต่มาสรุปทีหลังว่าเป็นอ่างเก็บน้ำในสมัยทวารวดี
เฮ้อ จาระไนรายละเอียดกันจริงๆ คงไม่ไหวครับ เพราะมีเยอะ
แค่โบราณวัตถุภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
อู่ทอง แห่งเดียวก็ดูกันจนตาลายแล้ว ที่ผมชอบที่สุดเป็นประติมากรรมเล็ก ๆ
จัดแสดงเรียงรายอยู่ในตู้บนชั้น ๒ ของพิพิธภัณฑ์ เป็นรูปตุ๊กตาดินเผารูปคนจูงลิงครับ พบในเมืองโบราณทวารวดีหลายแห่ง แต่ที่เมืองอู่ทองนี่มีเยอะที่สุดรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาด
น่ารักดี
เห็นเขาว่าตอนที่ขุดพบตุ๊กตาส่วนใหญ่จะคอหัก
ที่เห็นสภาพสมบูรณ์อยู่ในตู้นี่ก็เพราะว่าเขาเอามาต่อกันขึ้นมาใหม่
นักโบราณคดีเขาสันนิษฐานว่าเป็นตุ๊กตาเสียกบาล สำหรับป้องกันเด็กจากวิญญานร้าย
วิธีใช้ก็ง่าย ๆ ครับ คือหักคอตุ๊กตาทิ้ง
เพื่อหลอกให้บรรดาภูติผีเข้าใจว่าเด็กได้ตายไปแล้ว
รู้อย่างนี้แล้วผมยิ่งถูกใจเป็นพิเศษ
เพราะเป็นของโบราณที่สะท้อนให้เห็นความเชื่อในชีวิตประจำวันของคนทวารวดี
ดูมีชีวิตชีวากว่าชิ้นอื่น หาดูไม่ใช่ง่าย ๆ
๓.
เมืองโบราณทวารวดีที่ถูกจัดไว้กลุ่มที่สอง (ของผม) ก็คือเมืองทวารวดีในลุ่มแม่น้ำลพบุรี ป่าสัก และบางปะกง ที่หากดูในแผนที่ก็จะอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา กลุ่มนี้ผมแบ่งเอาไว้เป็น ๒ ประเภทครับ คือประเภท ก. กับ ข. (ยังกับฟุตบอลถ้วยแน่ะ)
ประเภท ก.เป็นเมืองท่าใหญ่ใกล้ทะเล
มีเส้นทางการค้าติดต่อกับต่างประเทศได้รับอิทธิพลอินเดียโดยตรง ก็มีเมืองศรีมโหสถ
จังหวัดปราจีนบุรี เมืองพระรถ จังหวัดชลบุรี และเมืองละโว้ ที่ลพบุรี
ส่วนประเภท ข. เป็นเมืองชั้นใน
รับช่วงวัฒนธรรมทวารวดีที่แผ่ขยายขึ้นไปตามแม่น้ำลำคลองที่เป็นสาขา
ก็มีเมืองอินท์บุรี ที่สิงห์บุรี เมืองซับจำปา ที่ลพบุรีเมืองดงละคร เมืองอู่ตะเภา
ที่ชัยนาท เมืองบน เมืองดอนคา เมืองดงแม่นางเมือง และเมืองจันเสน
ที่จังหวัดนครสวรรค์ และเมืองศรีเทพ ที่จังหวัดเพชรบูรณ์
ในประเภท ก. เมืองศรีมโหสถ กับเมืองพระรถนั้น
ผมยังอยู่ในระหว่างรอดูท่าที
ไม่แน่ใจว่าไปแล้วจะมีอะไรให้ดูหรือไม่
เพราะไม่ค่อยเห็นถ่ายภาพศิลปกรรมทวารวดีจาก ๒ เมืองนี้เท่าไหร่ นอกจากภาพรอยพระพุทธบาทคู่ที่สระมรกต
ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งร่องรอยของเมืองศรีมโหสถ
ผมก็เลยรี ๆ รอ ๆ เอาไว้ ให้มีธุระผ่านไปแถวนั้นก่อนค่อยแวะไปดูน่าจะดีกว่า
ส่วนเมืองละโว้ หรือลพบุรีนี่ไปมาหลายทีแล้ว
ร่องรอยของทวารวดีก็มีฐานเจดีย์ใหญ่ที่วัดนครโกษา
กับชิ้นส่วนปูนปั้นรูปเศียรเทวดา ยักษ์ และสิงห์
จากเจดีย์สมัยทวารวดีขนาดใหญ่
ที่เคยอยู่แถวที่ทำการไปรษณีย์เมืองลพบุรีในปัจจุบัน แต่ถูกไถทำลายไปนานแล้วตอนสร้างถนน
คงเหลือแต่ชิ้นส่วนปูนปั้นเก็บรักษาเอาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
สมเด็จพระนารายณ์
ไปดูครั้งใด
ผมก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ทุกที ขนาดปูนปั้นประดับ ยังสวยงามอลังการเพียงนี้
องค์เจดีย์ถ้าไม่ถูกไถทำลายไป คงจะเป็นโบราณสถานทวารวดีที่ ยิ่งใหญ่ เป็นที่เชิดหน้าชูตาของเมืองลพบุรีอีกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
เฮ้อ พูดไปก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ทำใจครับ
ส่วนเมืองทวารวดีชั้นใน
หรือประเภท ข. ส่วนใหญ่ผมจะยังไม่เคยไปครับ เหตุผลหลักก็คือ แต่ละแห่ง ระยะทางไกลจากกรุงเทพฯ
ทั้งนั้น
ก็เลยต้องรอให้แน่ใจว่ามีอะไรให้ดูจริง ๆ แล้วค่อยว่ากันอีกที
แต่ก็มีเหมือนกัน
ที่ผมนึกว่าไม่มีอะไรที่น่าสนใจให้ไปเที่ยวชม แต่กลับมี นั่นก็คือเมืองจันเสน ในจังหวัดนครสวรรค์
เพราะจากแต่เดิมที่เป็นเพียงหลุมขุดค้นเมืองโบราณธรรมดาไม่มีอะไรน่าดึงดูดนักท่องเที่ยวสักนิด
แต่วัดและชุมชนได้ร่วมมือร่วมใจกันคิดจัดสร้าง พระมหาธาตุเจดีย์ศรีจันเสน
ตามรูปแบบสถูปเจดีย์จำลองสมัยทวารวดีที่ขุดพบ ให้เป็นจุดสนใจขึ้นมาได้
ใกล้กับแหล่งขุดค้นนั่นเอง
ความคิดสร้างสรรค์ที่ผมต้องขอปรบมือให้
ดัง ๆ อีกอย่าง ก็คือการออกแบบให้พื้นที่ในฐานจัตุรมุขใหญ่ใต้องค์พระธาตุ
เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเป็นนิทรรศการถาวร แสดงโบราณวัตถุ เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชุมชนจันเสน
ที่ “เด็ด”ไปกว่านั้นคือทางโรงเรียนได้จัดอบรมให้เด็ก ๆ ซึ่งก็เป็นลูกหลานคนในชุมชนจันเสนเองนั่นแหละ มาทำหน้าที่ต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือน โดยเป็นมัคคุเทศก์นำชม อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ที่ “เด็ด”ไปกว่านั้นคือทางโรงเรียนได้จัดอบรมให้เด็ก ๆ ซึ่งก็เป็นลูกหลานคนในชุมชนจันเสนเองนั่นแหละ มาทำหน้าที่ต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือน โดยเป็นมัคคุเทศก์นำชม อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
เรียกว่าชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นอย่างใกล้ชิดจริง
ๆ ครับ สำหรับที่เมืองจันเสนนี่
ส่วนที่เมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์นั้น เป็นเมืองโบราณทวารวดีที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเมืองประเภท ข. ก็เลยถือว่าพลาดไม่ได้ครับ ผมต้องไปแน่นอน (ไปมาหลายครั้งแล้วด้วย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งโบราณสถานเขาคลังใน ฐานเจดีย์ทวารวดีขนาดใหญ่ที่ยังมีลวดลายปูนปั้นประดับตกแต่งอยู่ ผมเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นแห่งแรกก็ที่นี่แหละครับ ส่วนใหญ่มักจะเห็นปูนปั้นไปทาง ฐานเจดีย์ไปทาง
ปูนปั้นประดับเขาคลังในมีทั้งส่วนที่เป็นลวดลายพรรณพฤกษา และส่วนที่เป็นรูปอมนุษย์แบก หน้าตาเป็นยักษ์ บ้าง เป็นสิงห์บ้าง ที่เป็นคนแคระก็ยังมี แต่ที่ผมเห็นแล้วรู้สึกว่าเป็นไอเดียของท้องถิ่นแท้ ๆ ก็คือตัวที่มีหัวเป็นควายครับ ทั้งหมดอยู่ในอิริยาบถกำลังแบกฐานเจดีย์อยู่ ดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจ เห็นครั้งแรกผมนึกไปถึงพวกภาพแกะสลักตามเมืองโบราณในอเมริกาใต้ ซึ่งถ้าจะลองเปรียบเทียบกันในเรื่องดีไซน์แล้ว ผมว่าของศรีเทพเราสู้เขาได้สบายมาก
นอกจากมีเจดีย์ทวารวดีกับลายปูนปั้นที่เป็นทีเด็ดแล้ว ในแง่ของเส้นทางวัฒนธรรม เมืองศรีเทพนี่แหละครับ คือเมืองศูนย์กลางการส่งผ่านวัฒนธรรมทวารวดีจากเมืองโบราณทวารวดีในภาคกลาง ก็คือกลุ่มแรกและกลุ่มที่ ๒ ไปยังเมืองโบราณทวารวดีในภาคอีสาน อันเป็นกลุ่มที่ผมจัดให้เป็นกลุ่มเมืองโบราณทวารวดีที่น่าไปเที่ยวชมกลุ่มที่ ๓
๔.
ก็เส้นทางสายที่ผมกำลังบุกบั่นอยู่นี่แหละครับ คือกลุ่มเมืองทวารวดีในลุ่มแม่น้ำมูล-ชี หรือกลุ่ม ๓ ที่ผมว่า
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ที่อุดรธานี คือแหล่งโบราณคดีที่ผมมาเยือนเมื่อหลายปีก่อนและได้สัมผัสศิลปกรรมทวารวดีในภาคอีสานอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก ทำให้ผมรู้สึกว่ามีลักษณะเฉพาะบางอย่างที่แตกต่างจากทวารวดีในภาคกลาง
ที่เห็นได้ชัดก็คือทวารวดีในภาคอีสานชอบที่จะใช้สถานที่ตามธรรมชาติเช่นเพิงผาเป็นที่ประกอบพิธีกรรม
แล้วก็ชอบสร้างใบเสมาหินสลักรูปภาพชาดกในพุทธศาสนา
ซึ่งเรื่องนี้นักโบราณคดีเขาบอกว่าเป็นความนิยมที่สืบต่อมาจากในยุคก่อนประวัติศาสตร์
เพราะคนอีสานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ใช้ถ้ำเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม
รวมทั้งใช้เสมาหินปักกำหนดเขตสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว
พอรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาก็ปรับให้เข้ากับความเชื่อและความเคยชินแบบเก่า
เราก็เลยมักจะได้เห็นวัดในเพิงหิน
พระพุทธรูปในเพิงผา เสมาหินสูงใหญ่แกะสลักเรื่องราวในชาดกมากมาย
บนทางสายเมืองโบราณทวารวดีอีสานเส้นนี้
เส้นทางสายนี้
ถ้าเที่ยวแบบไม่จำกัดหัวข้อ ค่อย ๆ แวะชมแวะเที่ยวตามรายทางมาเรื่อย ๆ ก็มีอะไรให้ดูให้ชมมากมายครับ
แต่สำหรับผมที่เน้นไปที่ศิลปกรรมทวารวดีโดยเฉพาะ ทำให้ดูเหมือนระยะห่างระหว่างแหล่งท่องเที่ยวแต่ละแห่งจะค่อนข้างไกลเอาเรื่อง แต่เห็นความยิ่งใหญ่ของศิลปกรรมทวารวดีแดนอีสานแล้วก็หายเหนื่อยครับ
สายฝนเริ่มกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
เมื่อพาหนะของเราเลี้ยวขวาลงจากทางหลวงหมายเลข ๑๒ เข้าสู่ถนนดินบริเวณใกล้ ๆ
กับบ้านโนนสะอาด ที่ผมได้ข้อมูลมาว่าเป็นทางที่จะเข้าไปยังจุดเริ่มเดินเท้าขึ้นไปไหว้พระนอนบนยอดเขาภูเวียงได้ใกล้ที่สุด
รถเริ่มปัดไปมาเมื่อถนนดินที่ถูกฝนเริ่มกลายสภาพเป็นโคลน
บางครั้งล้อก็ลื่นไถลไปจนผมรู้สึกคล้ายกับเล่นสเก็ตอยู่ยังไงยังงั้น บุกตะลุยแฉลบซ้ายแฉลบขวาต่อไปได้พักใหญ่
รถก็แล่นต่อไม่ไหว เพราะยิ่งลุยเข้าไปดินยิ่งเหลวเละ
ขืนทู่ซี้เรื่อยไปมีหวังขากลับต้องได้แบกรถเดินออกมาแน่
รอจนฝนหยุด
ผมกับเพื่อนร่วมทางจึงตัดสินใจที่จะลงเดินย่ำต๊อกกันต่อไป หนทางก็เหลือหลายครับ
ดินเหนียวหนับติดรองเท้าเป็นก้อน ยิ่งมากก้าวก้อนก็ยิ่งใหญ่ขึ้น
นี่ยังไม่ทันจะถึงทางเดินขึ้นภูด้วยซ้ำไปยังวิบากขนาดนี้
ความหวังที่จะได้ชมพระนอนบนยอดภูเวียงเริ่มริบหรี่ ยังดีที่ครั้งนี้ผมเก็บเล็กประสมน้อย
แหล่งท่องเที่ยวทวารวดีบนรายทางมาได้หลายแห่ง
ก็ถือว่ายังคุ้มค่า
ที่นครราชสีมา พระนอนเมืองเสมา
องค์พระนอนขนาดยักษ์ แกะสลักจากหินขนาดยาว ๑๓.๓๐ เมตร บอกได้คำเดียวครับว่า“มหึมา” จริง ๆ
สัมผัสถึงอานุภาพแห่งแรงศรัทธาของช่างชาวทวารวดีในสมัยนั้นได้เลยว่ามีเปี่ยมล้นขนาดไหน
แกะหินทรายแผ่นใหญ่ที่นำมาซ้อนกัน ๔ แผ่นจนออกมาเป็นพระพุทธรูปได้
เสียดายอยู่ก็ตรงที่ตัวอาคารที่สร้างครอบองค์พระเอาไว้ ดูสมัยใหม่ยังไงชอบกล ไม่ค่อยได้บรรยากาศขรึมขลังแบบโบราณสถาน
ที่ขอนแก่น ผมก็ได้แวะพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ขอนแก่น ที่มาเมื่อไหร่ก็ต้องแวะให้ได้ทุกที
เพราะมีศิลปกรรมสมัยทวารวดีชิ้นเด็ด ๆ อยู่หลายชิ้น จำได้ว่าครั้งแรกที่มา ผมติดใจใบเสมาขนาดยักษ์
จำหลักเรื่องราวพุทธประวัติตอนพิมพาพิลาป จากเมืองฟ้าแดดสงยาง ในห้องโถงชั้นล่าง
ถึงขนาดซื้อเสมาจำลองที่เป็นของที่ระลึกกลับไปไว้ดูที่บ้าน (มาอีกที
คราวนี้ไม่มีขายเสียแล้ว)
ว่ากันว่าคุณค่าของใบเสมาชิ้นนี้นอกจากอยู่ที่ฝีมืออันอ่อนช้อยงดงามในการจำหลักแล้ว
ในภาพยังแสดงให้เห็นลักษณะของอาคารสมัยทวารวดีที่หาดูไม่ได้ที่ไหน
เพราะส่วนใหญ่จะพังทลายเหลือแค่ฐาน
อีกชิ้นที่ผมชอบไม่แพ้กันก็คือทวารบาลปูนปั้นสมัยทวารวดีที่แสดงอยู่บนชั้น ๒ เพราะหาดูยากครับ เพิ่งจะเห็นทวารบาลทวารวดีที่เต็มตัวเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ที่นี่ สงสัยจะเป็นชิ้นเดียวที่มีเสียด้วย เพราะไม่เคยเห็นที่อื่น
พูดถึงสถาปัตยกรรมทวารวดี ผมก็ไม่ลืมที่จะแวะเวียนไปที่มหาสารคาม เพื่อเยือนพุทธมณฑลอีสาน นมัสการพระธาตุนาดูน ที่เขาว่าองค์พระธาตุจำลองแบบมาจากสถูปทวารวดีที่ขุดพบ ใครหาดูเจดีย์ทวารวดีที่ไหนไม่ได้ มาชมองค์พระธาตุนาดูนก็น่าจะใกล้เคียงมากที่สุด ตอนนี้บริเวณหลังองค์พระธาตุ เขากำลังก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์นครจำปาศรี รวบรวมเรื่องราวสมัยโบราณของเมืองโบราณจำปาศรี เสียดายที่ยังไม่เปิดให้เข้าชม เพราะยังตกแต่งไม่เสร็จเรียบร้อยดี ก็ลงบัญชีเอาไว้ก่อนครับ เปิดเมื่อไหร่ผมคงจะได้มาชมแน่
ที่กาฬสินธุ์ นอกจากเมืองฟ้าแดดสงยางถิ่นใบเสมาทวารวดีที่มีเสมาหินสลักเรื่องราวชาดกอยู่เป็นร้อยที่ผมเคยไปมาหลายครั้งแล้ว ก็ยังมีพระพุทธไสยาสน์ อีก ๒ องค์ครับ ที่ผมหมายมั่นปั้นมือว่าจะไปชมให้ได้ องค์แรกก็คือพระพุทธไสยาสน์ภูค่าว ที่อยู่ริมหน้าผา ในอาณาบริเวณวัดพุทธนิมิต ที่เขาว่าเป็นพระนอนที่ไม่เหมือนที่ไหน พอไปดูเข้าก็แปลกจริง ๆ นั่นแหละครับ เพราะองค์พระนอนตะแคงไปทางซ้าย ไม่เหมือนพระนอนส่วนใหญ่ที่ตะแคงทางขวา
นักโบราณคดีเขาบอกว่าที่เป็นอย่างนี้บางทีอาจจะเป็นเพราะช่างต้องการให้องค์พระนอนหันพระเศียรไปทางทิศเหนือให้สอดคล้องกับตำราที่ว่าว่าตอนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานพระพุทธองค์หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ แต่บางคนก็บอกว่าช่างทำตั้งใจทำเป็นรูปของพระอัครสาวกโมคคัลลาน์ ก็เลยต้องตะแคงซ้ายจะได้ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า แถมยังตั้งข้อสังเกตให้ดูที่พระเศียรว่าไม่มีพระเกตุมาลา แสดงว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้าอีกด้วย ผมก็เลยไม่รู้จะเชื่อใครดี แต่ที่แน่ ๆ มากาฬสินธุ์ทั้งที ถ้าไม่มาไหว้พระนอนองค์นี้ก็ต้องเสียดายละครับ
พระพุทธไสยาสน์ภูปอเป็นอีกศิลปกรรมทวารวดีชิ้นสำคัญของกาฬสินธุ์ที่พลาดไม่ได้อีกเหมือนกัน เส้นทางไปก็ไม่ยากเหมือนที่คิดเอาไว้ เพราะเพียงเลี้ยวเข้าไปในวัดพระอินทร์ประทานพร ก็เห็นองค์พระนอนที่สร้างไว้ใต้เพิงผาเตี้ย ๆ แล้ว เข้าไปชมใกล้ ๆ ก็ชื่นใจในฝีมือช่างโบราณ เพราะสลักได้เรียบง่ายทว่าอลังการด้วยรายละเอียดเห็นเป็นองค์พระประทับนอนอยู่บนผืนผ้า งามจับตาจริง ๆ เสียดายที่ทางวัดมาสร้างศาลาครอบไว้ เลยไม่ค่อยได้บรรยากาศเท่าที่ควร ใกล้ ๆ กันยังมีบันไดสำหรับขึ้นไปสักการะพระนอนอีกองค์บนยอดเขา ป้ายเขาว่ามี๔๒๖ ขั้นเชียวครับ แต่ผมก็อุตส่าห์ถ่อสังขารขึ้นไปถึงจนได้ ปรากฏว่าดูแล้วองค์พระนอนด้านบนไม่ใช่พระนอนสมัยทวารวดี คงจะมาสร้างขึ้นทีหลัง ประมาณสมัยล้านช้างเห็นจะได้
และก็คงเพราะความประทับใจในความงามของพระนอนทวารวดีที่กาฬสินธุ์นี่แหละ ผมถึงตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าขากลับในวันสุดท้ายจะแวะชมพระนอนบนยอดภูเวียง ที่เขาว่าเป็นพระนอนองค์สำคัญที่งดงามอีกองค์หนึ่งของสมัยทวารวดี จนต้องมาเดินลุยโคลนจนเละเทะขนาดนี้
เดินดุ่ยกันไปจนถึงสำนักสงฆ์ที่อยู่เชิงเขา เห็นพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินออกมาจากภายในเพิงเล็ก ๆ ซึ่งเป็นกุฏิ
“ พระนอนต้องเดินขึ้นเขาไปอีกราว ๒ กิโลฯ” ท่านหัวเราะน้อย ๆ กับท่าทางทะเล่อทะล่าของนักท่องเที่ยวชาวกรุง ที่พากันมะล่อกมะแล่กเข้าไปนมัสการถามทางท่าน “ โฮ้ย ไปกันเอง เดี๋ยวหลงทาง มันไม่มีถนน ต้องให้คนพาไป ทางก็ชัน ยิ่งฝนตกอย่างนี้ ดินลื่นมาก ขึ้นไม่ได้หรอก”
พอเห็นเราหน้าเหี่ยวแห้งกันลงไปด้วยความผิดหวัง ท่านก็ยิ้มแล้วบอกว่า “เอาไว้ช่วงหน้าหนาว หน้าแล้ง ดินแห้ง ๆ ค่อยมาใหม่สิ แล้วจะให้เด็กพาขึ้นไป”
ว่าแล้วหลวงพ่อก็ชวนให้ดูภาพถ่ายขององค์พระนอนบนภูเวียงที่ท่านเก็บเอาไว้ในกุฏิ เป็นการปลอบใจ ผมกับเพื่อนพิศดูในภาพ องค์พระอยู่ในลักษณะนอนตะแคงข้างขวา แกะสลักอย่างเรียบง่ายบนแผ่นหินใหญ่ ที่แม้จะมีผู้รู้เท่าไม่ถึงการเอาสีมาทาบนองค์พระ ทว่ายังคงความงดงามด้วยศิลปกรรมแบบทวารวดีแท้ ๆ
ถึงจะไม่ได้เห็นกับตา แต่ได้เห็นภาพถ่ายก็ยังดี ถือว่ายังพอจะมีบุญอยู่บ้างละครับ
ไม่ได้คราวนี้ก็ต้องมีคราวหน้า ผมก็คงจะต้องหาโอกาสมาไหว้พระนอนภูเวียงให้ได้ในวันใดวันหนึ่ง ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น (แต่ไม่รู้ว่าที่ไหน น่ะสิ เฮ้อ)
ก็อย่างที่บอกไว้แต่ต้นนั่นแหละครับ วัฒนธรรมทวารวดีครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ ลำพังผมเที่ยวชมกลุ่มที่ ๑และ ๒ ใน ภาคกลางกับ กลุ่มที่ ๓ ในภาคอีสานยังได้ไม่ครบ ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มที่ ๔ ที่เป็นเมืองโบราณทวารวดีภาคเหนือ ลุ่มแม่น้ำปิง ยม น่าน อันได้แก่เมืองลำพูน ศรีสัชนาลัย พิษณุโลก ที่แม้ผมจะเคยไปหลายครั้งหลายหน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเที่ยวชมศิลปกรรมสมัยทวารวดีอย่างจริงจังสักที
ล่าสุดนี่ทางภาคใต้ก็ดูเหมือนกำลังจะมีเมืองโบราณทวารวดีขึ้นมาอีกแล้ว
เมื่อนักวิชาการกลุ่มหนึ่งเริ่มสงสัยว่า ทวารวดีกับศรีวิชัย
อาจจะเป็นกลุ่มวัฒนธรรมเดียวกันโดยมีชื่อเต็มว่า “ทวารวดีศรีวิชัย”
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าท้ายสุดจะสรุปว่าอย่างไรเหมือนกัน แต่ถ้าสรุปว่าใช่
ผมก็จะมีเมืองโบราณทวารวดีภาคใต้ เอาไว้ให้ไปเที่ยวเป็นกลุ่มที่ ๕ ละครับ ระหว่างนี้ก็เที่ยวเฉพาะใน ๔
กลุ่มที่ว่ามาข้างต้นไปก่อน
ถ้าเปรียบเทียบทวารวดีเป็นเกมต่อภาพ อย่างที่เรียกจิ๊กซอว์แล้ว ก็คงจะเป็นภาพขนาดใหญ่ที่เพิ่งจะต่อได้ยังไม่ถึงครึ่งนั่นแหละครับ บอกได้แค่เพียงว่าเป็นภาพของอดีตในช่วงเวลาที่สำคัญ เป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมไทยของเราในตอนนี้
ความสนุกของการเที่ยวในหัวข้อ “ทวารวดี” จึงอยู่ตรงที่การได้พบได้เห็น ได้จินตนาการ ผ่านร่องรอยที่หลงเหลือจากกาลเวลา เก็บเล็กประสมน้อย เอามาต่อกันเป็นภาพใหญ่ ที่ไม่มีใครรู้ว่าภาพจริงเป็นอย่างไร และจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่
ครับ ค่อย ๆ เที่ยว ค่อย ๆ เก็บไป ความสุขบางทีก็ไม่ได้อยู่ที่จุดหมายหรอกครับ แต่อยู่ในระหว่างทางที่ยังไม่ถึงนี่แหละ
ขอขอบคุณ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ ,พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์
เอกสารอ้างอิง
น. ณ ปากน้ำ.ศิลปะโบราณในสยาม.กรุงเทพฯ :เมืองโบราณ,๒๕๓๗.
ธิดา สาระยา.ทวารวดี
ต้นประวัติศาสตร์ไทย.กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ,๒๕๔๕.
ธิดา สาระยา.(ศรี)ทวารวดี ประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ.กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ,๒๕๓๒.
ผาสุก อินทราวุธ.ทวารวดี
การศึกษาเชิงวิเคราะห์จากหลักฐานทางโบราณคดี.กรุงเทพฯ:อักษรสมัย,๒๕๔๒.
สุจิตต์ วงศ์เทศ.ศรีวิชัยในสยาม.กรุงเทพฯ:มติชน,๒๕๔๓.
สุภัทรดิศ ดิศกุล,หม่อมเจ้า.ศิลปะในประเทศไทย.กรุงเทพฯ :อมรินทร์การพิมพ์,๒๕๒๘.
สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์,หม่อมราชวงศ์.ศรีทวารวดีถึงศรีรัตนโกสินทร์.กรุงเทพฯ:เมืองโบราณ,๒๕๓๗.
อมรา ศรีสุชาติ.ศิลปะถ้ำสมัยประวัติศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.กรุงเทพ
ฯ:กรมศิลปากร,๒๕๓๕.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น