ด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ภูเก็ต |
ยังดีมีโอกาสได้ดูทีหลังหนังออกจากโรงไปหลายปี เพราะบังเอิญไปเจอเอาวีซีดีเลหลัง ขายลดราคาอยู่ ก็เลยซื้อมา (อย่างน้อยจะได้ไม่เสียทีที่เป็นคนไทย) ดูแล้วก็เข้าใจละครับว่าทำไมถึงเป็นที่ถูกอกถูกใจของใครต่อใคร หนังเรื่องนี้ทำให้ผู้ชมเหมือนถูกพาย้อนอดีต เข้าไปอยู่ในยุคสมัยที่การทำเหมืองแร่กำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟู ได้มีส่วนร่วมในวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเหมืองกันอย่างใกล้ชิด จนแทบจะรู้สึกว่าได้ไปลงมือทำเหมืองแร่เองเลยด้วยซ้ำไป เรียกว่าเป็นหนังที่ได้บรรยากาศจริง ๆ
แต่พอรู้จักความเป็นเหมืองแร่จากในหนัง ก็ทำให้รู้สึกว่าน่าสนใจขึ้นมาบ้าง เริ่มอยากรู้ อยากดู อยากเห็นขึ้นมาตั้งเป็นพะเรอเกวียน
สถานร้อยเรื่องเหมืองแร่
จะว่าไปก็เป็นเรื่องบังเอิญครับ เพราะผมเองเพิ่งได้ข่าวจากเพื่อนเก่าเล่ายี่ห้อคอเดียวกันเมื่อไม่นานนี้ว่ามีการสร้างพิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ รวบรวมเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเหมืองแร่โดยเฉพาะขึ้นมาที่ภูเก็ต แม้ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่มีการเชิญสื่อมวลชนและผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวเข้าชมไปบ้างแล้ว ช่างประจวบเหมาะดีเหลือเกินงานนี้พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ ภูเก็ต ก็เลยกลายเป็นเป้าหมายสำคัญอันดับแรกที่ผมจะต้องมุ่งหน้าไปครับ เพราะคงไม่มีแหล่งไหนที่จะช่วยให้รู้จักและเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับเหมืองแร่อย่างครบวงจรได้ดีเท่าที่นี่อีกแล้วละ
แต่ด้วยความที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่เอี่ยม ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก ทำเอาผมต้องขับรถไป โทรศัพท์ถามทางจากทางนครภูเก็ตไป มะงุมมะงาหราหลงไปหลงมาอยู่นานพอสมควร จนอ่อนอกอ่อนใจ ทว่าในท้ายที่สุดก็หาเจอจนได้ อาคารสไตล์ชิโน-โปรตุกีสขนาดใหญ่สีโอลด์โรสตัดด้วยสีขาว โดดเด่นอยู่ใจกลางหุบเขาแลเห็นชัดเจนแต่ไกลเชียวละครับ
พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่นี่ดูตามแผ่นพับที่รับแจกมา เขาว่าสร้างขึ้นตามแนวความคิดการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและประวัติศาสตร์ชุมชนของตำบลกระทู้ ซึ่งในอดีตภูเก็ตเป็นแหล่งแร่ดีบุกสำคัญ เริ่มมีการทำเหมืองแร่กันมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ประมาณพ.ศ. ๒๐๖๙ (ค.ศ. ๑๕๒๖) โน่นแน่ะ ก่อนจะมีฝรั่งเศสมาตั้งบริษัทซื้อดีบุกอย่างเป็นล่ำเป็นสันในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประมาณ พ.ศ. ๒๒๒๘ (ค.ศ. ๑๖๘๖) เรียกว่าทำกันมานานเป็นร้อย ๆ ปี แม้ในปัจจุบันก็ยังหลงเหลือร่องรอยของขุมเหมืองโบราณอยู่ทั่วไป
เตร็ดเตร่ดูด้านนอกอาคาร อลังการงานสร้างเชียวครับ ด้านหนึ่งของภูเขาจัดสร้างเป็นขุมเหมืองเสมือนเหมืองแร่ของจริงทุกประการ มองไปจะเห็นหน้าผาเหมืองแร่ ที่มีโครงสร้างของราง แร่สูงลิบ ลาดเทลงมาเป็นแนวยาว ตกแต่งประดับประดาด้วยพันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามเหมืองร้างอย่าง ราชินีเหมือง สามร้อยยอด และหม้อข้าวหม้อแกงลิง เห็นแล้วก็ต้องทึ่งว่าทำได้ยังไง เหมือนซะขนาดนี้
มารู้ทีหลังว่าบริเวณผาเหมืองที่เห็นนั่นน่ะ “ของแท้” ครับ เพราะเป็นเหมืองแร่เก่าจริง ๆ ทั้งหมด มีของใหม่แค่เฉพาะโครงสร้างของรางเหมืองที่สร้างเพิ่มเติมขึ้นมา ไม่ใช่ธรรมดานะเนี่ย หายากเต็มทีสำหรับพิพิธภัณฑ์อยู่ในสถานที่จริง
เดินเข้าไปด้านในอาคารชิโนโปรตุกีสซึ่งอลังการด้วยซุ้มโค้งและลวดลายปูนปั้น มีชื่ออย่างเก๋ไก๋ว่า “อั้งหมอเหลานายหัวเหมือง“ ตัวอาคารสร้างล้อมรอบลานกว้างอย่างที่เรียกว่า “จิ่มแจ้” เอาไว้ตรงกลาง ริมลานด้านหนึ่งเห็นถังสีเงินวาววับวางเรียงรายอยู่เป็นแถว สอบถามได้ความว่าเป็นลูกเชอตักดินของเรือขุดแร่ แต่ไม่ใช่ของจริง เป็นของจำลองทำด้วยไฟเบอร์กลาส สำหรับใช้เข้าฉากถ่ายภาพยนตร์เรื่องมหา’ลัยเหมืองแร่
ผมไปยืนพิจารณารถลากทำด้วยไม้ตั้งเด่นสะดุดตาอยู่ด้านหน้าทางเข้า
“นี่เขาเรียกว่า หลั่งเซียะ หรือรถลาก ลองนั่งได้ ทางพิพิธภัณฑ์เราอยากให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาได้ลองนั่ง สัมผัสกับยานพาหนะจริง” วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิบอกเล่าก่อนเดินนำหน้าพาเข้าไปชมด้านใน
ห้องจัดแสดงห้องแรกชื่อว่าโปท้อง –หง่อก่ากี่ ชินวิถี อัญมณีนายหัวเหมือง เข้าประตูไปก็เจอกับรถโดยสารไม้ท้องถิ่นของเมืองภูเก็ต ฉากหลังเป็นภาพวาดตึกเก่า วาดเอาไว้ได้เหมือนจริงมาก ภาพ“หง่อก่ากี่”มุมหนึ่ง แสงเงาดีเหมือนจะเดินทะลุเข้าไปได้
“หง่อก่ากี่หรืออาเขต แสดงถึงไมตรีจิตของเจ้าของบ้าน ซึ่งภาคใต้เป็นเมืองฝนแปดแดดสี่ ฝนตกบ่อย แต่ละบ้านก็เลยทำทางเดินมีหลังคาคุ้มฝนให้ผู้มาเยือนเดินได้สะดวก ไม่เปียกฝน ”
รายละเอียดของสิ่งของในห้องนี้มีมากมายก่ายกองครับ ถ้ามาเดินดูกันเองก็คงเฉย
ๆ เพราะไม่รู้อะไรเป็นอะไร แต่พอได้วิทยากรที่มีความรู้มาช่วยชี้ชวนชมดู
บรรยายเกร็ดยิบย่อย รายละเอียดประวัติความเป็นมา สิ่งละอันพันละน้อย
กลับทำให้สนุกสนานน่าสนใจ เพลิดเพลินจนหมดเวลาไปเป็นชั่วโมงแบบไม่รู้ตัว (อยากรู้ว่าสนุกแค่ไหน คงต้องให้ลองมาฟังเอาเอง
เล่าหมดคงไม่ไหว )
ผ่านห้องแรกมาจะรู้สึกว่าเข้าใจในวิถีความเป็นอยู่ของผู้คนในภูเก็ตขึ้นมาอีกโขเลยละครับ
ถัดไปอีกห้องชื่อว่า เรืองดารากร ห้องนี้บอกได้คำเดียวว่า “หลุดโลก” เพราะออกไปนอกโลกกันเลย บนผนังวาดภาพทำเป็นห้วงจักรวาล เป็นอวกาศ มุมหนึ่งเป็นลูกโลก อธิบายถึงระบบสุริยะจักรวาล กำเนิดโลก กำเนิดแร่ กำเนิดชีวิต ไดโนเสาร์ มุดอุโมงค์ข้าง ๆ โลกเข้ามาอีกหน่อย เจอกับถ้ำหิน หุ่นรูปมนุษย์วานรตัวใหญ่ขนดำปุกปุยนั่งหน้าตาบ๊องแบ๊วอยู่ ตรงนี้เล่าเรื่องราวการกำเนิดมนุษย์ จนถึงเริ่มรู้จักใช้ไฟ เอามาหลอมแร่ทำเครื่องมือ สำริด เหล็ก (ชักจะมีเรื่องเกี่ยวกับแร่เข้ามานิด ๆ แล้ว)
เข้าเรื่องเหมืองแร่กันเต็ม ๆ ก็ในห้องต่อมาครับ สายแร่แห่งชีวิต ถือเป็นทีเด็ดของพิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ก็ว่าได้
ภายในห้องจัดทำหุ่นจำลองให้เห็นถึงความเป็นเหมืองแร่อย่างเป็นตัวเป็นตนกันจริง ๆ
เลย ไล่เรียงตามพัฒนาการของเหมืองแร่ที่แบ่งเป็น ๒ ยุคใหญ่ ๆ
คือยุคใช้แรงงานคนเป็นหลักกับยุคใช้เงินทุนและเครื่องจักรเป็นหลัก มีเหมืองทั้งหมด
๕ รูปแบบ
เดินเข้ามาจะเจอกับโพรงดินที่มีหุ่นขนาดเท่าคนจริงกำลังใช้เสียมขุดผนังโพรงอย่างตั้งอกตั้งใจ พร้อมอุปกรณ์ จอบ ปุ้งกี๋ วางเรียงราย คือแบบจำลองของเหมืองรู หรือ”ถ่อข้าง” ที่นิยมทำตามพื้นที่ราบและชายเขา โดยขุดรูทำเป็นปล่องเข้าไปในชั้นดินและหินผุ ไปตามสายแร่ดีบุก ทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง ใช้ไม้ค้ำยันไม่ให้หลุมพังทลาย ใช้คนลงไปขุด แล้วขนหินดินทรายปนแร่ ใส่ปุ้งกี๋ส่งขึ้นมาเพื่อล้างหาแร่ในขั้นต่อไป
แบบที่สอง อยู่ตรงข้ามกันถัดมา หุ่นรูปคนสองคนกำลังขุดดินคนหนึ่ง หาบคนหนึ่ง ริมรางทางน้ำไหลยังมีอีกคนกำลังร่อนแร่อยู่ คือแบบจำลองของเหมืองแล่น หรือ “ซ้านซั้ว” ที่ใช้แรงงานคนตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ขุดดินและหินตามภูเขาให้ทลายไหลไปตามรางดินที่ขุดเป็นทางน้ำไหล แร่จะตกอยู่ในท้องรางในขณะที่ดินหิน ทรายก็จะไหลตามน้ำไป ผมชอบใจแบบจำลองอันนี้เป็นพิเศษ เพราะตรงทางน้ำ มีสายน้ำไหลจริง ๆ เสียด้วย สมจริงสมจัง
เดินต่อมาอีกหน่อยจะพบกับหุ่นชายพุงพลุ้ยสวมหมวกกะโล่
ยืนอยู่กับสิ่งที่รูปร่างหน้าตาคล้ายปืนใหญ่ แต่ไม่ใช่ครับ
มันคือหัวฉีดน้ำที่ใช้ในการทำ เหมืองฉีด ซึ่งใช้พลังน้ำในการทลายหน้าดินลงมา
แล้วสูบขึ้นบนรางกู้แร่ จากนั้นจึงใช้แรงงานคนประมาณ ๑๕-๒๐
คนมาทำการกู้แร่ไปล้างทำความสะอาด พอมีเครื่องทุ่นแรงแล้วก็เลยใช้คนน้อยลง
(แต่คงต้องใช้สตางค์มากขึ้นแน่ ๆ )
มาถึงตรงนี้เป็นอันครบถ้วนกระบวนความเหมืองแร่ทั้ง ๕ ชนิด
เดินต่อไปเข้าสู่ห้องนิรมิตเล่นแร่แปรธาตุ
ในห้องเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือ
อุปกรณ์ต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการถลุงแร่
และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการแปรรูปดีบุก และการแปรรูปแร่ ไม่ค่อยมีอะไรตื่นเต้นครับ
ห้องนี้ บรรยากาศขรึม ๆ ทึม ๆ คล้ายกับโรงงาน
ถือเป็นการสรุปขั้นตอนสุดท้ายคือนำแร่ไปใช้
แต่ไม่หมดแค่นั้นครับ ยังมีอีก ก้าวเท้าเข้าไปอีกห้อง ฉลาดนาวาชีวิต ลิขิตปรัชญ์สืบสาน ดุ่มเดินตามสะพานโป๊ะทอดยาวฉากหลังวาดเป็นท่าเรือจำลอง เข้าไปในเรือ ใช่แล้วครับ ห้องนี้นำเสนอการติดต่อค้าขายทางทะเลด้วยเรือสำเภา ความเป็นมาว่าเดินทางกันมาอย่างไร สภาพความเป็นอยู่ภายในเรือระหว่างเดินทางว่ายากลำบากขนาดไหน สรุปง่าย ๆ ก็คือเรื่องราววิถีชีวิตและการย้ายถิ่นฐานของชาวจีน เข้ามาแสวงโชคทำมาหากินบนเกาะภูเก็ตในยุคแรกนั่นแหละครับ เดินผ่านเข้าไปในท้องเรือสำเภายังเห็นหุ่นชาวจีนนอนแอ้งแม้งอยู่ท่ามกลางหมู่กระสอบ ออกแนวหนังชีวิตนิดหน่อย
ห้องต่อไปก็คล้าย ๆ กัน บันซ้านบางเหนียว เก่วเกี้ยวในทู อุปรากรจีน หนังตะลุง หลงผิดเสพ เทพาภรณ์ (ชื่อยาวชมัด) เล่าเรื่องราวรูปแบบวิถีชีวิตชาวจีนในยุคเหมืองแร่เจริญรุ่งเรืองไว้อย่างน่าดูชม โดยจำลองเอาบรรยากาศในตลาดบางเหนียว-ในทูสมัยก่อนเอามาครบครันสองฟากทางเดินแวดล้อมด้วยร้านโกปีเตี๊ยม(ร้านกาแฟ ) ร้านขนมจีน ศาลเจ้า โรงงิ้ว โรงฝิ่น ร้านขายยาจีน โรงกลึง และบ้านชาวกระทู้ เข้ามาในห้องนี้แล้วได้อารมณ์คล้าย ๆ ไปเที่ยวย่านตลาดเก่ายังไงยังงั้นเลยละครับ ไม่เหมือนก็ตรงไม่มีอะไรให้ซื้อกินเท่านั้น (ชักเริ่มหิวขึ้นมาตามบรรยากาศ)
ก่อนกลับแวะเข้าไปสังเกตการณ์ในห้อง วรรณวิเศษปัญญภูมิ ที่บังเอิญเดินผ่าน ปรากฏว่าเป็นภายในเป็นห้องสมุดเฉพาะด้านเกี่ยวกับเหมืองแร่ วิถีชีวิตชาวเหมืองและวัฒนธรรมท้องถิ่นครับ ติดแอร์เย็นฉ่ำ น่านอน เอ๊ย น่าเข้ามานั่งอ่านจริงๆ บนชั้นหนังสือที่เรียงรายเป็นตับรวมรวมข้อมูลต่าง ๆ ทั้งหนังสือ วารสาร นิตยสาร ที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่ทุกชนิด และประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ทั้งของท้องถิ่นภูเก็ตและอาณาบริเวณใกล้เคียงที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงตัวอย่างแร่ ฟอสซิล ให้ดูให้ศึกษา เรียกว่าเปิดกว้างให้ผู้สนใจได้มาศึกษาค้นคว้ากันได้อย่างเต็มที่
พูดได้เต็มปากเลยละครับว่านอกจากหนังเรื่องมหา’ลัยเหมืองแร่แล้ว พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ ภูเก็ต ถือเป็นอีกสถานที่ซึ่งคนที่สนใจเรื่องเหมืองแร่ควรจะมาดูมาชม ไม่เพียงได้ความรู้ ยังจะรู้สึกภูมิใจในความเป็นไทยด้วย เพราะที่นี่เขาถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ที่สมบูรณ์แบบแห่งเดียวในโลกเชียวนะครับ จะบอกให้
คืนชีวิตชีวานครหลวงแห่งเหมืองแร่
“ตะกั่วป่าสมัยหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของดีบุก”เป็นคำบอกเล่าในวงสนทนา ณ ร้านกาแฟมุมน้ำเงิน ริมถนนในเมืองเก่าตะกั่วป่า จากคุณเฉลิมชาติ เจนเจนประเสริฐ หรือ“คุณจั่น”มัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์ที่นัดหมายผมเข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศของเมืองยุคเหมืองแร่แห่งนี้ ในช่วงยามสาย ๆ ของวันหนึ่ง
“ถ้าเป็นเหมืองฉีดจะใช้วิธีฉีดน้ำ ดูดแร่ขึ้นมาบนราง ส่งผ่านไปกู้แร่ รางกูแร่ก็จะเป็นทางยาวไปมีคนงาน จะมีพวกชาวบ้านพากันมาร่อนแร่อยู่สุดท้ายปลายราง พวกนี้ไม่ใช่คนงานของเหมือง ทำเป็นเล่นไปนะ คนมาร่อนแร่นี่รายได้ดีไม่เบาเลย บางครอบครัวผัวเป็นคนงานทำงานในเหมืองได้ค่าแรงวันละ ๕๐ บาท ส่วนเมียไปร่อนแร่อยู่ท้ายรางได้วันละ ๒๐๐ บาทเชียวนะ ช่วงที่ผมยังทำเหมืองอยู่นี่ประมาณปีพ.ศ. ๒๕๒๒ ถึง ๒๓ แร่กิโลละ ๑๒๐ บาท ค่าแรงวันละ ๔๐–๖๐ บาท ตอนนั้นน้ำมันราคาแค่ลิตรละ ๓ บาทเอง สมัยเหมืองแร่เฟื่องฟู ผู้คนในเมืองเยอะมาก ขนาดโรงหนังยังมีตั้ง ๒ โรง รถโดยสาร ๒ แถววิ่งกันขวักไขว่ทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หยุดหย่อน”
ฟังผมอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไปบนท้องถนนของเมืองตะกั่วป่าอันเงียบสงัดปราศจากผู้คน นาน ๆ ถึงจะมีมอเตอร์ไซค์แล่นผ่านมาสักคัน ดูแตกต่างจากภาพในอดีตอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ
“พอราคาแร่ตกต่ำ เหมืองก็ซบเซา ถูกทิ้งร้าง กลายเป็นบึงน้ำใหญ่ ๆ เพราะทำแล้วไม่คุ้ม เดี๋ยวนี้ต้นทุนสูง แล้วรัฐบาลก็ไม่อนุญาตให้ทำด้วย กลายเป็นว่าที่อินโดนีเซียตอนนี้หันมาทำเหมืองแร่กันมาก มาเอาคนที่เคยทำจากที่นี่แหละไปทำ เพราะคนอินโดนีเซียเขาไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ในการทำเหมืองแร่ ก็ต่อเรือขุดจากตะกั่วป่าไปเสร็จสรรพเลย ลำหนึ่งไม่ถูกนะ รวมอุปกรณ์เครื่องมือทั้งหมดด้วยก็ตกลำละ ๓๐ ล้านบาท พอไม่ทำเหมือง คนตะกั่วป่าส่วนใหญ่ก็ย้ายไปอยู่ที่ย่านยาวกันหมด”
“เพิ่งมาปีสองปีนี้ มีงานถนนสายวัฒนธรรมคนเก่า ๆ ที่ย้ายไป ก็กลับมานะ กลับมาช่วยงาน เพราะส่วนใหญ่ที่ย้ายไปบ้านเขายังอยู่นี่ ปิดเอาไว้เฉย ๆ”
คุณจั่นหมายถึงกิจกรรมถนนคนเดินของเมืองตะกั่วป่า ที่ใช้ชื่อว่า “ตะกั่วป่าเมืองเก่าเล่าความหลัง ถนนสายวัฒนธรรม” ซึ่งเริ่มมีขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยได้งบ SML ๒ ชุมชนต่อ ๑ โครงการ คือชุมชนตลาดใหญ่กับชุมชนเสนานุช บนถนนสายหลักของเมืองคือ ถนนศรีตะกั่วป่า
ตรงกลางถนนก็ทำเป็นลานสำหรับกิจกรรมแสดงภูมิปัญญาท้องถิ่น อย่างเช่น การสีข้าวแบบโบราณด้วยไม้ไผ่ สีข้าวเปลือกให้กลายเป็นข้าวซ้อมมือ หรือการกวนกาละแม ปีนี้มีโครงการว่าจะทำโมเดลเหมืองแร่ไปจัดแสดงกลางลานวัฒนธรรมเลย มีทั้งแบบเหมืองฉีด ทั้งแบบเรือขุด”
คุณวริษฐา
ลิ่มสกุล เจ้าของร้านเล่าว่า “ขายมาตั้งแต่รุ่นก๋ง มาเลิกกิจการประมาณช่วงปีพ.ศ. ๒๕๒๔ -๒๕๒๕ เพราะช่วงนั้นเหมืองน้อยลง
ลูกค้าน้อยลง สู้ภาษีไม่ไหว”
ในร้านยังคงรักษาสภาพเดิม ๆเอาไว้ ชี้ให้ดูช่องสี่เหลี่ยมล้อมด้วยระเบียงลูกกรงกั้น
๔
บนเพดานตรงกึ่งกลางบ้านว่าเป็นที่สำหรับเจ้าของร้านมองดูลูกค้าที่มาซื้อของในร้าน
และเป็นช่องส่งสินค้าลงมาจากชั้นบนซึ่งเป็นโกดังย่อม ๆ อีกด้วย โคมไฟเซรามิคส์แบบเก่ายังคงห้อยระย้าลงมาจากเพดาน
ตู้เซฟเหล็กหน้าตาคล้ายตู้ไปรษณีย์โบราณขึ้นสนิมอยู่มุมหนึ่ง
เคียงข้างกับตู้ที่วางวิทยุโบราณยี่ห้อกรุนดิก เนชันแนล บนผนังยังมีโปสเตอร์ขยายจากภาพถ่ายงานแต่งงานสมัยเก่าแบบจีนในชุดเต็มยศ
เจ้าบ่าวในชุดสูทโก้ยืนคู่กับเจ้าสาวในชุดยาวสีขาวที่เรียกว่า “โป๊ยตึ๋งเต๊”
“ตอนงานถนนสายวัฒนธรรมร้านเราจะขายปอเปี๊ยะสด เน้นสนุก ไม่เน้นกำไร ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ
ถือว่าช่วยเหลือชุมชนไปในตัว ตอนขายจะสวมชุดย่าหยาด้วย ให้เข้ากับบรรยากาศ”
เดินต่อมาไม่ไกลกัน ไม่มีชื่อร้านคุณปิยา ทิวทัศนานนท์และน้องสาวคุณไพศรี
ทิวทัศนานนท์ กำลังขะมักเข้นอยู่กับการทำขนมท้องถิ่นให้เราชิมแบบเฉพาะกิจ ขนมเป่าอู่ดั๊ง
หน้าตาเหมือนข้าวเหนียวปิ้ง ทว่ารสชาติไม่เหมือน
เพราะว่าทำจากข้าวเหนียวห่อไส้มะพร้าว กุ้งแห้ง พริกไทย กระเทียม รากผักชี
ผัดกับน้ำตาลและเกลือ อร่อยจนหยิบแล้วหยิบอีก
เช่นเดียวกับขนมบะจ่าง ที่มองดูไม่ต่างจากบะจ่างทั่ว ๆ ไป
แต่รสชาติอร่อยกว่าเยอะ
“เป่าอู่ดั๊ง คนสมัยใหม่ชอบเรียกเพี้ยนไปเป็น” เป่าลั้ง” สมัยก่อนพี่สาวชื่อ อารี ผลิผล อยู่ในเหมือง ทำขนมนี้ขายให้กับคนที่ทำงานในเหมือง กินกับกาแฟอร่อย คนในเหมืองเขาจะกินกาแฟกันบ่อยนะ เช้า สาย บ่าย เย็น กินเสร็จก็ลงบัญชีไว้ เงินออกทีก็มาจ่ายเงินกันที”
นั่งคุยไปเรื่อยพักใหญ่ ผมเพิ่งสังเกตว่าใบตองกองเต็มโต๊ะตรงหน้า เพราะคุยไปก็หยิบกินไปเสียหลายห่อ ก็ของเขาอร่อยจริง ไม่เคยกินที่ไหน ก่อนอำลาจากมายังได้รับอภินันทนาการน้ำพริกตะไคร้เป็นของฝากติดไม้ติดมือมาอีกกระปุกด้วย เห็นว่าออกงานคราวหน้าจะทำขายด้วย ต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่ ผมรับรองได้
ตะวันชายบ่ายคล้อย แดดลดความร้อนแรงลงไป พวกเราถึงชวนกันออกมาเดินชมเมืองกันบนถนนสายหลัก
ย่ำเท้าไปพลางเหลียวซ้ายแลขวา ผมตั้งข้อสังเกตว่าตึกรามบ้านช่องของเมืองตะกั่วป่า
ดูเผิน ๆ ก็มีลักษณะที่คล้ายกับตึกในย่านเก่าเมืองภูเก็ต เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า
และการตกแต่งประดับประดาหน้าบ้านไม่หรูหราอลังการเท่า
“บ้านเรือนที่ตะกั่วป่านี่จะเป็นแบบชาวบ้านครับ เพราะเป็นบ้านของพ่อค้า บ้านของชนชั้นกลาง ที่ทำงานเหมืองแร่ ไม่เหมือนกับทางภูเก็ต ทางนั้นเขาจะเป็นบ้านของเศรษฐี” โกระว่าพลางเดินนำหน้า
“ตรงนี้คือโรงแรมเกษมสุข หรือโรงแรมสามชั้น เมื่อก่อนเป็นโรงแรมมีพวกผู้หญิงบริการอยู่เยอะ” โกระให้ข้อมูลเพิ่มขณะดินผ่านตึกที่ปิดตายอีกแห่ง
แต่ก็ไม่ใช่จะมีแต่ปิดกิจการกันหมดครับ
ที่เปิดดำเนินการอยู่ก็ไม่น้อย
ข้างโรงแรมโชคทวีอีกโรงแรมที่แปรสภาพเป็นบ้านที่อยู่อาศัยแล้วเหมือนกัน
ยังมีร้านแต้จินหุ้ย ทำฟันปลอมเป็นอีกร้านที่ยังเปิดให้บริการ ภายในร้าน เก้าอี้ทำฟันอายุ
๖๐ กว่าปี ที่สร้างความฮือฮาให้กับผู้มาเยือนคนแล้วคนเล่า ยังคงเป็นที่ทำงานของคุณป้าอุไร
แต่ตระกูล อายุ ๘๐ ที่เล่าให้ผมฟังว่าจบการศึกษาจากกรุงเทพ ฯ
แล้วไปเรียนทำฟันต่อที่ปีนัง ตามความนิยมของคนสมัยนั้น แล้วกลับมาเปิดร้านที่นี่
ทำฟันให้ชาวตะกั่วป่ามาแล้วแทบทุกคน
“เห็นโกระยิ้มสวยอย่างนี้ ก็ทำฟันที่ร้านแต้จินหุ้ยเหมือนกัน” คุณจั่นแซว
อีกแห่งคือร้านฮั้วลอง ซ่อมนาฬิกา
ขายเครื่องมืออุปกรณ์ก่อสร้าง
หน้าร้านมุมหนึ่งเป็น เก้าอี้ตัดผมโบราณตระหง่านอยู่หน้ากระจกพร้อมอุปกรณ์ครบ
สอบถามเจ้าของร้านคือ “พี่หย่อง” ซึ่งนั่งซ่อมนาฬิกาอยู่ได้ความว่าเก้าอี้ที่เห็นเคยเป็นร้านของพ่อซึ่งเป็นช่างตัดผม
พอเสียชีวิตไปก็เลยเก็บรักษาเอาไว้เป็นที่ระลึกถึง
ที่แปลกอีกอย่างบนถนนสายนี้ก็คือมีศาลเจ้าอยู่ในห้องแถวครับ
ไม่ได้มีแห่งเดียวเสียด้วย
เท่าที่เห็นก็มี ศาลเจ้ากวนอู ศาลเจ้ากู่ใช่ตึ๊ง และศาลเจ้า ที่เคยพบเจอส่วนใหญ่จะเห็นเป็นศาลเจ้าเดี่ยว ๆ
แยกออกไปตั้งอยู่ต่างหาก อยู่ห้องแถวแบบนี้เพิ่งเคยเห็น แปลกดีเหมือนกัน
ยิ่งเดินยิ่งเพลินครับ
เพราะตึกรามบ้านช่องในเมืองเก่าตะกั่วป่าแม้ดูเผิน ๆ จะเก่าคร่ำคร่า
แต่เมื่อมาดินดูพินิจพิจารณาดี ๆ
แล้วก็เห็นว่ามีรายละเอียดการประดับประดาและลูกเล่นต่าง ๆ งดงามไม่น้อยเหมือนกัน
ผมยังไปหยุดยืนชื่นชมบ้านหลังหนึ่งที่ประดับประดาด้วยลวดลายปูนปั้นปรากฏว่าเป็นบ้านของอดีตนายกเทศมนตรี
มิน่าละ
แถว ๆ
ถนนอุดมธาราทางไปกำแพงเมืองเก่าก็มีบ้านสวย ๆ หลายหลัง ทั้งบ้านจีนแบบเก่า
เรียงรายเป็นแถว
โดยเฉพาะหลังหนึ่งสุดท้ายปลายถนนเป็นบ้านแบบชิโนโปรตุกีสยังรักษาสภาพเอาไว้ได้ดีมาก
“ทางกรมศิลปากรเขาส่งเจ้าหน้าที่มาสำรวจขึ้นทะเบียนบ้านเก่า
คัดเลือกเอาไว้ตอนแรก ๕ หลัง
จะบูรณะให้เป็นสภาพเดิม ๒ หลัง แต่หลังที่หมายตาเอาไว้ยังตกลงกับเจ้าของบ้านไม่ได้
เพราะเจ้าของบ้านกับกรมศิลปากรมีแนวคิดไม่ตรงกัน
กรมศิลป์เขาก็อยากจะอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพเดิม ๆ ไม่ให้ไปทำอะไรเพิ่มเติม
แต่ เจ้าของบ้านก็อยากจะทำอะไรตามใจของตัวเองอย่างที่ชอบ”
น่าเสียดายอยู่อย่างที่ว่า งานถนนสายวัฒนธรรมของเมืองเก่าตะกั่วป่าจะจัดมีเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์
ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายนเท่านั้น ช่วงที่อนุสาร อ.ส.ท.ฉบับนี้วางตลาด
คงจะไม่มีงานให้ชมกัน เพราะตรงกับช่วงฤดูฝนพอดี ซึ่งที่นี่ฝนตกหนักมากครับ
บางทีก็มีน้ำท่วม ระหว่างไปเดินเที่ยวชมเมืองนี่ใครต่อใครก็พากันชี้ให้ดูร่องรอยน้ำท่วมสูงเป็นเมตรบนฝาผนังห้องกันทั้งนั้น
แต่ไม่มีงานก็มาเดินชมเมืองเล่น ๆ ไปก่อนก็ได้ เพราะมีอะไรต่อมิอะไรให้ดูเยอะ
แล้วปลายปีค่อยหาโอกาสมาเที่ยวในช่วงงานกันใหม่เชื่อไหมครับ
เขาเล่าว่ามีนักท่องเที่ยวฝรั่งติดอกติดใจถึงขนาดมาเที่ยวปีก่อนครั้งหนึ่งแล้ว
ปีถัดมายังอุตส่าห์กลับมาเที่ยวอีกก็ยังมี แล้วเราคนไทย อยู่ใกล้ ๆ แค่นี้
จะไม่มาได้ไง
ผมคนหนึ่งละครับรับรองว่าไม่พลาดแน่ ๆ
กาปฏิทินเอาไว้เรียบร้อย ว่าจะมาตามรอยเหมืองแร่อีกสักที…แฮ่ม
ขอขอบคุณ สำนักงานนครภูเก็ต
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต คุณชาญ วงศ์สัตยนนท์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมหมาย
ปิ่นพุทธศิลป์ คุณหฤทัย บุญวงศ์โสภณ คุณเฉลิมชาติ เจนเจนประเสริฐ คุณวิระ ตันวานิช
คุณปิยา ทิวทัศนานนท์ คุณไพศรี ทิวทัศนานนท์ คุณวริษฐา ลิ่มสกุล คุณทวี สนธิเมือง และผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้สารคดีเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
เอกสารอ้างอิง
คารม ธรรมชยาธร.”ถนนสายวัฒนธรรมตะกั่วป่า” ภูเก็ตภูมิ ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๑ เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๓.หน้า ๑๘–๒๓.
คู่มือนักเดินทาง จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๕ ธนบุรี-ปากท่อ
ไปเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๔ ที่แยกวังมะนาว ผ่านจังหวัดเพชรบุรี
ประจวบคีรีขันธ์ ตรงเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๔๑ ที่แยกปฐมพร จังหวัดชุมพร
ตรงไปถึงกิ่งอำเภอบ้านตาขุนแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข ๔๑๕ ที่บ้านพังควนเหนือ
ผ่านอำเภอทับปุด อำเภอเมือง อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข
๔๐๒ ตรงไปถึงจังหวัดภูเก็ต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น