ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท.ปีที่ ๕๐ ฉบับที่ ๑๐ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓
“ อุ๊ย ดูนั่นสิ เหมือนที่เราเคยเล่นสมัยเด็ก ๆ เลย”
“ เออ ใช่ อันนั้นก็เหมือนกันนะ จำได้ไหม...”
เสียงอุทานและพูดคุยทำนองนี้ดังมาเข้าหูอยู่เป็นระยะ
ในแบบระบบเซอร์ราวนด์ จากทุกทิศทาง ข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง ขณะผมค่อย ๆ ก้าวเท้าเคลื่อนตามกระแสของกลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่ง
“ไหล” ไปตามทางเดินเลียบคลองในตลาดน้ำอัมพวา
จังหวัดสมุทรสงคราม ที่สองฟากฝั่งลำน้ำสายแคบ ๆ เต็มไปด้วยร้านรวงที่เรียงรายเอาไว้ด้วยข้าวของเครื่องใช้ย้อนยุคย้อนสมัย
ได้ยินบ่อย ๆ ก็อดขำไม่ได้ครับ
ที่คนหลาย ๆ คนรู้สึกเหมือนกัน พูดเหมือนกัน โดยไม่ต้องนัดหมาย แล้วก็ยิ่งตลกเข้าไปใหญ่
เมื่อคิดต่อไปอีกว่า ในเมืองกรุงเพียบพร้อมไปด้วยความสะดวกสบาย จะซื้อหาของกินของใช้ก็มีทั้งร้านสะดวกซื้อ มีทั้งห้างสรรพสินค้าตั้งอยู่แทบทุกมุมเมือง
ติดแอร์เย็นสบายอีกต่างหาก แต่คนในเมืองนี่แหละครับ กลับพากันขับรถแห่ออกมานอกเมืองตั้งไกล
มาเดินเบียดกันอยู่บนทางเดินแคบ ๆ ในตลาดน้ำ
เพื่อตามหาบางสิ่งบางอย่าง
เท่าที่มองเห็นเดิน ๆ กันอยู่นี่ ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่นครับ พวกนี้มาตามหาอะไรใหม่
ๆ อาจเพราะชีวิตเมืองกรุงยุคใหม่สะดวกสบายง่ายดายเกินไป
ทำให้เบื่อ เลยต้องมาหาดูหาชมข้าวของเครื่องใช้ บ้านเรือนร้านรวงสมัยคุณพ่อคุณแม่ยังหนุ่มยังสาว
ที่ถือเป็นของแปลก เพราะไม่เคยเห็น เกิดไม่ทัน
แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งครับ ที่มาตามหามองหาอะไรเก่า
ๆ ที่ทำให้รำลึกนึกไปถึงบรรยากาศและวันเวลาที่ผ่านพ้นไป โดยมากจะอายุอยู่ในช่วงสามสิบปลาย ๆ
หรือหลักสี่ขึ้นไป (ไม่อยากบอกเลยว่า รุ่นเดียวกับผมนี่แหละ ) พวกนี้จะมีปฏิกริยากับข้าวของเครื่องใช้
ของเล่นสมัยก่อนมากกว่ากลุ่มแรก เห็นอะไรก็จะวี๊ดวิ๊ว
กิ๊วก๊าว กันเป็นพิเศษ คล้ายได้เจอเพื่อนเก่าสมัยเด็ก
ๆ อะไรทำนองนั้น
จำไม่ได้เหมือนกันครับว่าตัวผมเองเริ่มรู้สึกหวนคำนึงถึงอดีตตั้งแต่เมื่อไหร่
ด้วยความที่ปกติก็ชอบพวกโบราณคดี ประวัติศาสตร์ อะไรเก่าๆ แก่ ๆ มานานแล้ว
แต่ถ้าอาศัยสังเกตจากคนรอบข้าง ก็คลับคล้ายคลับคลาว่ากระแสความนิยมการท่องเที่ยวในแนวรำลึกความหลังนี่มาแรงเอาประมาณในช่วงปี
พ.ศ. ๒๕๔๖ จากภาพยนตร์เรื่อง “แฟนฉัน” หนังใส ๆ สไตล์กุ๊กกิ๊กแบบเด็ก ๆ ซึ่งมีทีเด็ดโดนใจใครต่อใครด้วยบรรยากาศในเรื่อง
ที่พาคนดูย้อนยุคย้อนสมัย กลับไปในช่วงเวลาเยาว์วัยอันแสนสนุก
ที่ผมจำได้ดี เพราะตอนนั้นมีเพื่อนผมหลายคน
ดูกันคนละหลาย ๆ รอบ แถมโทรมาเล่าให้ฟังอีก เรียกว่าคลั่งไคล้กันมาก และก็เหมือนกับบังเอิญครับ ที่ตลาดน้ำอัมพวาเองก็มาฟื้นฟูกันในช่วงเวลาใกล้เคียงกันพอดิบพอดี
ก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันไหมละครับ แต่ที่แน่ ๆ จากวันนั้นถึงวันนี้ก็หลายปีที่กระแสความนิยมท่องเที่ยวย้อนยุคยังแรง แถมแตกกิ่งก้านสาขาออกไปมากมาย ไม่ต้องไปนับจังหวัดอื่น
ๆ ที่ไหน เฉพาะที่สมุทรสงครามเองนี่ นอกจากตลาดน้ำอัมพวา ตอนนี้ยังมีตลาดน้ำใหม่ ๆ
เพิ่มขึ้นมาอีกหลายแห่ง
หลายวันที่มาเดินเที่ยวในหลาย ๆ
ตลาดน้ำ ทำให้พอจะเข้าใจครับ ว่าทำไมตลอดหลายปีกระแสความนิยมถึงไม่ตก ก็เพราะความรู้สึกที่ได้เวลามาเดินตลาดเหล่านี้
มันเหมือนกับได้ขึ้นไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปสมัยยังเด็ก
ช่วงเวลาที่มีความสุขสนุกสนาน อารมณ์คล้าย ๆ กับตอนที่ดูภาพยนตร์เรื่องแฟนฉัน
แต่ดีกว่ากันตรงที่อะไรต่อมิอะไรเก่า ๆ ที่เห็นนั้นจับต้องสัมผัสได้
ที่สำคัญคือตัวเราได้เป็นพระเอก
ทำอะไรได้ตามใจ อยากกินอะไร อยากซื้ออะไร อยากเล่นอะไร ได้หมด
ไม่เหมือนในหนังที่ได้แต่ดูอย่างเดียว (ตรงนี้แหละแจ๋วที่สุด)
ท่าคา ตลาดน้ำอมตะ
แสงแดดยามเช้าลอดแนวมะพร้าวที่ปกคลุมลงมาเห็นเป็นเส้นสายแสงเงาบนถนน ขณะพาหนะคันเก่งพาผมลัดเลาะผ่านตามทางลดเลี้ยวผ่านท้องร่องเรือกสวนสองฟากฝั่ง มุ่งหน้าสู่ตลาดน้ำท่าคา ที่ถือเป็นตลาดนัดทางน้ำที่เก่าแก่และเป็น “ของแท้” ที่สุดแห่งหนึ่งในบรรดาตลาดน้ำทั้งหลายในประเทศไทย ใครไปใครมาถึงสมุทรสงครามแล้วถือว่าพลาดไม่ได้
บรรยากาศบนเส้นทางชวนให้นึกถึงสวนบางมดแถวบ้านผมสมัยเด็ก ๆ
ที่เคยไปขี่จักรยานเที่ยว ทางคดเคี้ยวผ่านท้องร่องสวนส้ม สวนมะพร้าว แบบนี้แหละครับ
เดี๋ยวนี้กลายเป็นตึกแถวบ้านจัดสรรไปหมด แทบไม่เห็นเค้า (แน่ะ รำลึกความหลังอีกจนได้
ชักเริ่มสูงวัยแล้วสิเรา)
ระหว่างหมุนพวงมาลัยไปตามถนนที่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาซับซ้อนเหมือนเขาวงกตก็คิดเล่น
ๆ เรื่อยเปื่อยไปครับว่า ถนนที่คดเคี้ยวของสมุทรสงครามนี่แหละเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ตลาดน้ำท่าคายังคงอยู่จนทุกวันนี้
เพราะคนในพื้นที่คงไม่อยากขึ้นมาใช้ถนนที่วกวนจนวิงเวียน
เลยสมัครใจพายเรือไปไหนมาไหนทางน้ำน่าจะสะดวกกว่า
อ้าว จริง ๆ นะ ลองสังเกตดูสิครับ ถนนแถวนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยตรงไปตรงมาเหมือนที่อื่นเขาหรอก
ผมเองกว่าจะถึงตลาดน้ำท่าคาก็ต้องหายาดมเหมือนกันเพราะเวียนหัว
ตลาดน้ำท่าคา เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๐ เดิมเรียกกันว่า “ตลาดนัดท่าคา”
เป็นสถานที่ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่และจากจังหวัดใกล้เคียงซึ่งเป็นชาวไร่ชาวสวนนัดกันพายเรือเอาผลผลิตจากไร่จากสวนของตัวเอง
ขนมนมเนย รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ มาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน
โดยมีกำหนดนัดหมายกันในวันข้างขึ้นข้างแรม คือ ๒ ค่ำ ๗ ค่ำ และ ๑๒ ค่ำ
อันเป็นช่วงน้ำขึ้นมาก เหมาะกับการเดินทางไปไหนมาไหนด้วยเรือ ต่อเนื่องกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน รวมเบ็ดเสร็จเป็นเวลาเจ็ดสิบปี
ถือว่าเข้าขั้น “ตลาดน้ำอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล” ไปแล้ว
แม้แต่ในทุกวันนี้พ่อค้าแม่ขายที่ตลาดนี้ยังคงนัดหมายแบบโบราณครับ
โดยยึดข้างขึ้นข้างแรมเหมือนเดิมอย่างเคร่งครัด ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง แม้ว่าช่วงหลัง
ๆ ซึ่งมีเรื่องการท่องเที่ยวเข้ามา เคยมีความพยายามจะให้ชาวบ้านมาติดตลาดนัดค้าขายกันในวันเสาร์อาทิตย์
เพื่อให้รับกับนักท่องเที่ยวอยู่เหมือนกัน แต่เอาเข้าจริงก็มีเรือมากันหร็อมแหร็ม
ไม่ครึกครื้นคึกคักเหมือนวันนัดจริงของชาวบ้านเขา ที่มากันเป็นร้อย ๆ ลำ
ผมเองยังจำได้ดีถึงความรู้สึกที่ได้มาเห็นตลาดน้ำท่าคาครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน
บอกได้คำเดียวว่าถึงกับตะลึงครับ
เพราะไม่เคยคาดคิดว่าในใจกลางสวนที่สงบเงียบร่มครึ้มจะมีตลาดน้ำขนาดใหญ่ที่เนืองแน่นไปด้วยเรือพายน้อยใหญ่ของชาวบ้านในเครื่องแต่งกายแบบชาวบ้านสวนแท้ๆ
มาชุมนุมซื้อขายแลกเปลี่ยนผลผลิตทางการเกษตรและข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนอาหารการกินกันนับร้อย ๆ ลำ
เป็นที่ครึกครื้น แน่นขนัดเต็มผืนน้ำในลำคลอง
คราวนี้ก็ไม่แตกต่างกันครับ โชคดีตรงที่แม้วันที่ผมมานี่จะเป็นวันเสาร์
แต่ก็บังเอิญตรงกับวันนัดของชาวบ้านชนิดแจ็กพอต จอดรถเสร็จสรรพบนลานจอดที่เดี๋ยวนี้ทำไว้อย่างดี
เดินเข้าไปอีกนิดหน่อย ถึงริมคลองก็ได้พบกับตลาดน้ำที่เต็มไปด้วยเรือนับร้อยบรรทุกเอาผลหมากรากไม้
ข้าวของเครื่องใช้ และอาหารการกิน ขนมนมเนยนานาชนิด
ลอยลำเป็นแพอยู่เหนือผืนน้ำขวักไขว่ แว่วเสียงทักทาย เสียงเจรจาค้าขาย
ดังระเบ็งเซ็งแซ่จนฟังไม่ได้ศัพท์ ดูครึกครื้นน่าสนุก
ความจริงก่อนจะถึงตลาดน้ำท่าคา
บนเส้นทางยังมีตลาดน้ำดอนมะโนราอีกแห่ง ติดตลาดนัดวันเดียวกับตลาดน้ำท่าคา แต่เช้ากว่าคือในช่วง๖
-๗โมง ว่ากันว่าคึกคักและบรรยากาศดี ผมเองตั้งใจว่าจะมาแวะดูหลายครั้ง รวมทั้งคราวนี้
จนแล้วจนรอดก็มาไม่เคยทันสักที (เพราะนอนตื่นสาย แหะ แหะ ขอสารภาพ) แต่ไม่เป็นไรครับ
มาที่ตลาดน้ำท่าคาก็ถือว่าเหมือนกันนั่นแหละ
เพราะว่าพ่อค้าแม่ค้าที่ไปขายที่ตลาดน้ำดอนมะโนราส่วนใหญ่ก็จะพายมาขายที่ตลาดน้ำท่าคากันต่อแทบทั้งนั้น จะเรียกว่าเป็นตลาดเดียวกัน แต่อยู่คนละที่ คนละเวลาก็ว่าได้
(งงไหมเนี่ย )
ความสุขของการเที่ยวตลาดน้ำคือการได้มาเห็นภาพของวิถีชีวิตดั้งเดิมแบบไทย
ๆ ดูการทำมาค้าขายของชาวบ้าน ที่ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตามาซื้อของขายของกันอย่างเดียว
แต่เป็นการมาพบปะสังสันทน์ โอภาปราศรัย ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ กันไปในตัว ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นเรือบางลำมีข้าวของอยู่ในเรือแค่ไม่กี่อย่าง
แต่พายวนเวียนทักทายคนโน้นคนนี้ไปทั่วทั้งตลาด
บางลำก็เอาของมาแลกเปลี่ยนกันอย่างคนที่คุ้นเคย ยกให้กันฟรี ๆ
ไปเลยก็ยังมี
เหล่านี้เป็นอะไรที่หาดูไม่ได้ในเมืองใหญ่ ๆ
ที่อะไรต่อมิอะไรล้วนแล้วต้องซื้อหาด้วยเงินทองไปแทบทั้งนั้น
นั่งเล่นเฉย ๆ บนศาลาริมฝั่ง
ดูเรือที่พายกันไปมาขวักไขว่ก็เพลิดเพลินเจริญใจแล้ว แต่ถ้าจะให้แจ๋วจริงก็ต้องหาของกินมาเป็นกับแกล้มบรรยากาศเสียหน่อยครับ
ของอร่อย ๆ ริมตลิ่งของตลาดน้ำท่าคามีเยอะ เหลียวซ้ายแลขวาละลานตาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นของคาวอย่าง ไก่ย่าง ข้าวเหนียว
ก๋วยเตี๋ยว หอยทอด ก๋วยเตี๋ยวหลอด ก๋วยจั๊บน้ำข้น (แหม
คล้องจองกันเชียว)
หันมาหาของหวานก็มีให้เลือกบานตะไท
ไม่ว่าจะเป็นขนมหน้าตาคุ้น ๆ เห็นกันอยู่ทั่วไปอย่างขนมครก ขนมใส่ไส้ มิหนำซ้ำยังมีขนมพื้นเมือง ขนมโบราณอีกหลายอย่างที่แม่ค้าบอกแล้วผมจำชื่อไม่ได้
ไม่ใช่เพราะแก่จนอัลไซเมอร์ถามหานะครับ แต่เพราะว่าไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนต่างหาก สารพัดละครับ
แต่ละเจ้าจอดเรือเทียบท่าริมตลิ่งให้เลือกซื้อ เลือกชิมตามอัธยาศัย รสชาติหลากหลายประทับใจทุกอย่าง
ทำเป็นเล่นไปนะครับ
ของเขาเยอะจริง ผมเองลองแค่อย่างโน้นนิด อย่างนี้หน่อย กะว่าชิมพอเป็นกระสายยา ชิมไปชิมมาเผลอแผล็บเดียวยังอิ่มจนแทบจุก
ลุกขึ้นเดินกลับรถแทบไม่ไหวแน่ะ
ตลาดน้ำบางน้อย |
บางน้อย –บางนกแขวก สองตลาดน้ำดาวรุ่ง
ออกจากตลาดน้ำท่าคามาก็ตอนสาย
ๆ แดดชักจะเริ่มจัดจ้า แล่นรถผ่านเข้าไปทางตลาดน้ำอัมพวา มองไปยังเงียบสงบไม่มีผู้คน
เพราะอัมพวานั้นเขามีแนวคิดทำเป็นตลาดน้ำยามเย็น (เห็นว่าเป็นแห่งเดียวในประเทศไทยเสียด้วยนะ)
ตอนนี้ยามร้อน เอ๊ย สาย ๆ อยู่ เลยยังไม่เปิด
ไม่เป็นไรครับ ขับเรื่อยตามทางไป บนเส้นทางนี้ยังมีตลาดน้ำที่เพิ่งเปิดตัวใหม่อยู่อีก
๒ แห่งให้เที่ยว
ลดเลี้ยวพักหนึ่งก็มาถึงวัดเกาะแก้ว เห็นป้ายชี้ว่าเป็นทางเข้าตลาดน้ำบางน้อยก็เลี้ยวเข้าไปจอด วัดหยุดสุดสัปดาห์อย่างนี้ลานวัดกว้างใหญ่เต็มไปด้วยรถของนักท่องเที่ยวครับ เดินถึงริมตลิ่งหน้าวัดใต้หลังคาโครงเหล็กเรียงรายด้วยร้านค้าร้านอาหารสารพัด ยังมีทางเดินเชื่อมต่อลงไปในน้ำที่ทำเป็นโป๊ะมีหลังคาสำหรับเรือพ่อค้าแม่ขายมาเทียบ มองไปแลเห็นนักท่องเที่ยวมะรุมมะตุ้มซื้อกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ เป็นของกินอาหารจานเดียว จำพวกขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว ได้ของแล้วก็นั่งกินกันบนโป๊ะนั่นเอง สบายอารมณ์กันไป
ทอดน่องเลียบตลิ่งต่อไปถึงหัวมุมต่อกับห้องแถวเก่า
ถือว่าเข้าเขตตลาดน้ำบางน้อยแท้ ๆ ละครับ เพราะมีป้ายชื่อตลาดขนาดใหญ่
พร้อมแผนที่ลายเส้นกำกับไว้มุมหนึ่ง บอกตำแหน่งให้รู้ว่าร้านอะไรอยู่ตรงไหน ไอเดียเข้าท่าน่ารักดีเหมือนกัน
ความจริงแล้วตลาดน้ำบางน้อยนี่จะว่าเป็นตลาดน้ำแห่งใหม่ก็ไม่ถูกครับ
เพราะเป็นตลาดที่มีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ เล่าขานกันว่าแต่เดิมเมื่อหลายสิบปีก่อนตลาดน้ำบางน้อยเป็นตลาดนัดที่ครึกครื้น
มีเรือนับร้อยมาจอดรอในคืนก่อนวันนัด เรียกว่าขายกันข้ามวันข้ามคืนเลยทีเดียว โดยตรงหน้าวัดเกาะแก้วนั้นเป็นนัดขายน้ำตาลใหญ่ที่สุดในสมุทรสงคราม
ถัดเข้ามาในคลองบางน้อยจะเป็นอาหารการกินและสินค้าอื่นๆ
ทั่วไป นั่นเป็นภาพความรุ่งเรืองในอดีตสมัยที่ยังสัญจรกันทางน้ำ
พอมีถนนหนทางเข้ามา การคมนาคมทางเรือรวมทั้งตลาดน้ำก็ซบเซาเลิกราไป
เนิ่นนานหลายสิบปีทีเดียวละครับ จนกระทั่งได้อานิสงส์มาจากกระแสความนิยมตลาดน้ำอัมพวา
รื้อฟื้นความเป็นตลาดน้ำบางน้อยกันขึ้นมาใหม่ ทำพิธีเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อปีก่อน
วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๒ นี่เอง
บนเส้นทางเดินที่เลียบริมคลองบรรยากาศน่าสนใจด้วยห้องแถวไม้เก่าให้อารมณ์คลาสสิค กับร้านรวงที่มีอยู่สองประเภท คือ ร้านดั้งเดิมของคนท้องถิ่นที่อยู่มาแต่ก่อนเก่า กลุ่มนี้จะคงสภาพที่เคยเป็นเอาไว้ ยังไงยังงั้น ไม่ว่าจะเป็นร้านของชำโชห่วย (ที่เดี๋ยวนี้หาดูยาก เพราะร้านสะดวกซื้อครองเมือง) ก็มีอยู่หลายร้าน ร้านขายเสื้อผ้า รวมทั้งสถานที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่นพิพิธภัณฑ์ไหพันใบตั้งเซียมฮะ โรงพิมพ์ ส. วิจิตรวัฒนา โรงพิมพ์ขนาดเล็กที่สุดในสมุทรสงครามที่เก๋ไก๋ด้วยเครื่องพิมพ์แบบมือโยกอายุกึ่งศตวรรษ ซึ่งยังใช้งานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
อีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นร้านของคนที่มาจากที่อื่น
เห็นความแตกต่างได้ชัดจากลักษณะการประยุกต์รูปแบบดั้งเดิม ผสมผสานเข้ากับลูกเล่นสมัยใหม่อย่างมีศิลปะ
มีทั้งที่เป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ ที่พักและห้องแสดงงานศิลปะ
ขายของที่ระลึก โปสการ์ดพร้อมส่ง ถือเป็นสีสันใหม่ ๆ ที่มาช่วยแต่งแต้มให้ตลาดน้ำบางน้อยมีความหลากหลายมากขึ้น
ซึ่งที่เด่น ๆ เป็นที่รู้จักได้แก่
บางน้อยคอยรัก สายน้ำฤาจะกั้น นักท่องเที่ยวมักจะแวะเวียนมาถ่ายภาพกันไม่มีเงียบเหงา
ทีเด็ดอีกอย่างของตลาดน้ำบางน้อย อยู่ที่ของกินแปลก ๆ
มากมาย แถมบางอย่างยังไม่เหมือนที่ไหน เช่น โรตีแต้จิ๋วสมัยศิลป์ ก๋วยเตี๋ยวน้ำแดงร้านป้าพูนและร้านสิงห์ทอง เกี๊ยวกุ้งร้านโอเล่ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำมะนาวสูตรโบราณ
ผัดไทยน้ำพริกเผา ข้าวผัดปลาทู กาแฟโบราณ ฯลฯ แต่ละอย่างดูแล้วน่าอร่อยทั้งนั้น
ทว่าน่าเสียดายครับ ที่ผมเองได้แต่เดินดูแบบผ่าน ๆ อาศัยชิมด้วยสายตา
เพราะยังอิ่มแปล้ชนิด “เต็มถัง” มาจากตลาดน้ำท่าคา ต้องฝากเอาไว้ก่อน เก็บเอาไว้คราวหน้า
ค่อยหวนกลับมาคิดบัญชีความอร่อยที่พลาดไป แฮ่ม
ออกจากตลาดน้ำบางน้อยได้
ก็มุ่งตรงไปยังตลาดน้ำบางนกแขวก ที่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่อีกแห่งที่กำลังมาแรง
อยู่บนถนนสายเดียวกัน ขับรถผ่านหน้าอาสนวิหารพระแม่บังเกิดที่เห็นยอดแหลมเสียดฟ้า
ข้ามสะพานไป เลี้ยวซ้ายก็ถึงแล้ว มีที่จอดรถให้บริการเสร็จสรรพ
ค่าจอดคันละ ๑๐ บาท เดินผ่านตรอกแคบ ๆ ซึ่งมีประวัติว่าเคยเป็นที่ตั้งของโรงยาฝิ่นในอดีต
ออกมาก็ถึงแล้วตลาดบางนกแขวกเริ่มฟื้นฟู |
ทางเดินเล็ก ๆ พาเลียบเลาะผ่านห้องแถวที่ตั้งเรียงรายแนวแม่น้ำ แลเห็นสายน้ำแม่กลองกว้างไกลเวิ้งว้าง ดูแปลกตาไปจากตลาดน้ำแห่งอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ริมคลอง แต่นี่ตัวตลาดกลับอยู่ริมแม่น้ำ ลมพัดโกรกเย็นสบาย
ว่ากันว่าเมื่อก่อนตลาดบางนกแขวกเป็นศูนย์กลางการค้า ถนนหนทางยังไม่มี ใช้แต่เรือกันอย่างเดียว เป็นแหล่งเรือโยงใหญ่ที่สุดในลำน้ำแม่กลอง เรือผ่านไปผ่านมาเยอะมาก เพราะเลยจากท่าบางนกแขวกไปก็จะเป็นท่าเรือเทศบาลเมืองราชบุรี เลยไปอีกก็เป็นท่าม่วง กาญจนบุรี มีเรือเมล์แล่นผ่านบางนกแขวก ไปราชบุรี ตั้งแต่ตี ๕ ถึง ๕ โมงเย็น ใครไปใครมาก็ต้องแวะตลาดนี้ก่อน เรียกว่าเป็นศูนย์กลางคมนาคมทางน้ำ การค้าขายก็เลยครึกครื้นมาก
ภาพอดีตของตลาดน้ำบางนกแขวก |
ตลาดบางนกแขวกมาเริ่มซบเซาในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๓๕ ด้วยเหตุผลคล้าย ๆ กับตลาดน้ำแหล่งอื่น ๆ นั่นแหละครับ
คือถนนหนทางตัดเข้ามาเดินทางบนบกสะดวกกว่า คนที่เคยสัญจรทางน้ำก็หายไป ปั๊มน้ำมันริมน้ำก็ต้องเลิกกิจการ
เรียกว่าตลาดต้องปิดตัวเอง เหลือค้าขายกันไม่กี่ร้าน อยู่กันแบบเงียบเหงา เพราะมีแค่พวกครู
พวกข้าราชการ แถว ๆนี้ เข้ามาหาข้าวกินกลางวันซื้อของอะไรบ้างนิดหน่อยเท่านั้น
กลับมาคึกคักอีกหนเมื่อต้นมีนาฯ ปี ๒๕๕๒
ที่ผ่านมา รายการตลาดสดสนามเป้าที่ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง ๕ มาถ่ายทำเรื่องตลาดเก่าบางนกแขวกออกอากาศ
หลังจากนั้นคนก็เริ่มเข้ามาเที่ยวกันมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดครึกครื้นขึ้นเป็นลำดับ
เท่าที่ผมเดินดูกลับไปกลับมาหลายตลบ
ตลาดบางนกแขวกแห่งนี้ถือว่ามีครบองค์ประกอบความเป็นตลาดน้ำย้อนยุคละครับ เพราะตลอดแนวเรียงรายไปด้วยร้านรวงในแบบเก่า ๆ
ให้เที่ยวชม ขนาดของตลาดก็ไม่ใหญ่จนเกินไป
ใช้เวลาไม่มากก็เดินได้ทั่วถึงหมดแล้ว
ที่เด่น ๆ เห็นจะเป็นร้านขายยาแผนโบราณตงซัวฮึ้ง ภายในร้านเต็มไปด้วยตู้ยาโบราณ แต่ปัจจุบันหน้าร้านขายขนมใส่ไส้ อีกร้านที่น่าสนใจคือร้านบางคณฑีพาณิชย์ ที่แม้ร้านจะปิดไปแล้ว มีแต่แผงขายขนมเปี๊ยะโบราณเจ้าอร่อย แต่ปั๊มน้ำมันโบราณสีเหลืองอ๋อยตรงหน้าร้านที่ใช้สำหรับเติมน้ำมันเรือยังคงดึงดูดผู้มาเยือนให้แวะเวียนมาตื่นเต้นถ่ายภาพกัน ด้วยดีกรีความเป็นปั๊มน้ำมันแห่งที่ ๒ ของจังหวัดสมุทรสงครามที่ดูได้จากป้ายทะเบียนโลหะที่ติดอยู่ด้านข้าง เป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดีถึงความเก๋า
บนบานประตูของร้านที่ปิดเอาไว้ยังมีโปสเตอร์รูปนักมวยไทย
อภิเดช ศิษย์หิรัญ ผู้มีนิวาสถานบ้านเกิดอยู่ที่นี่ สร้างชื่อไว้ในวงการมวยด้วยการคว้าตำแหน่งแชมป์หลายตำแหน่ง
ด้วยการเตะที่หนักหน่วง ท่าไม้ตายลูกเตะ ๓ ชั้นที่เตะครั้งเดียวไล่จากก้านคอ
ลำตัว และขาพับ จนได้สมญานาม
“จอมเตะจากบางนกแขวก”
ใกล้กันยังมีร้านกาแฟเฮงเฮง
ร้านเก่าเล่ายี่ห้อ อยู่มาตั้งแต่รุ่นพ่อ
อายุกว่า ๙๐ ปี (อายุร้านนะครับ ไม่ใช่เจ้าของร้าน) เก่าหรือไม่เก่า
ก็มีนักค้าของเก่ามาของซื้อป้ายชื่อร้าน ให้ราคาเป็นหมื่นก็แล้วกัน ตอนนี้นอกจากขายกาแฟ
และเครื่องดื่มที่เป็นทีเด็ดของร้านคือโอวัลตินภูเขาไฟ และจ้ำบ๊ะภูเขาไฟ สูตรของเก่าสมัยรุ่นพ่อแล้ว
ยังขายก๋วยเตี๋ยวโบราณสูตรราชบุรีและน้ำสมุนไพรเก้าสีอีกด้วย
พูดถึงของกินแล้วที่ตลาดบางนกแขวกถือว่ามีหลากหลายเหมือนกันครับ
มีทั้งผัดไทยกุ้งสด ซาลาเปาขนมจีบปู ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำแดง ก๋วยเตี๋ยวกะลาโบราณ
ขนมจีน แต่ที่แปลกไม่เหมือนที่ไหนก็คือข้าวแห้งไก่
ที่ว่ากันว่ามาจากข้าวต้มไก่เดิม แต่ชาวไร่ชาวสวนแถวนี้ใช้แรงงาน เป็นข้าวต้มน้ำเยอะกินแล้วไม่ค่อยอยู่ท้องกันก็เลยเทน้ำออก
ข้าวต้มไก่ก็เลยกลายเป็นข้าวแห้งไก่มาแต่นั้น
ผมน่ะด้วยความที่มาถึงตอนแรกท้องเริ่มร้องพอดี
แถมยังไม่เห็นว่าในตลาดมีของกินมากมาย เห็นใกล้ที่จอดรถมีร้านแป๊ะก๋วยเตี๋ยวปู
ดูน่ากิน แถมได้ยินว่าเป็นร้านดัง เลยฟาดเสียเต็มพิกัดไปเสียก่อน
เดินเข้ามาในตลาดถึงรู้ว่าพลาดไปถนัดใจ
น่าจะขยักเหลือกพื้นที่ในท้องไว้ชิมอย่างอื่นบ้าง เป็นอันว่าต้องลงบัญชีความอร่อยเอาไว้
ชิมด้วยสายตาไปพลาง ๆ ก่อน (อีกแล้ว)
ยังดีที่มีร้านค้าอื่น ๆ อีกมากมายหลายร้านให้เดินดูเล่นเพลิน
ๆ ไม่ว่าจะเป็นขายของเล่นย้อนยุค ขายเครื่องประดับ ขายของที่ระลึก ฯลฯ สารพัด คนที่ค้าขายอยู่ในตลาดบางนกแขวก
แทบทั้งหมดเป็นคนที่มีพื้นเพดั้งเดิมอยู่ที่นี่ ยังไม่มีคนนอกเข้ามาลงทุนทำแต่งเติมเสริมอะไรให้ผิดแปลกไปจากเดิมทั้งนั้น
เรียกว่าเป็นตลาดที่ยังคงมีความเป็นตลาดน้ำแบบบ้าน ๆ ให้สัมผัสอยู่มาก
ไม่เสียเที่ยวที่มา ว่างั้นเถอะครับ
อย่างน้อย ๆ ช่วยปะติดปะต่อให้เห็นภาพความเป็นชุมชนของตลาดน้ำสมัยเก่าได้เป็นเรื่องเป็นราวชัดเจนมากขึ้น
ว่าเขาอยู่กันยังไง
สุดยอดตลาดน้ำยามเย็น
“อัมพวา”
ก่อนจะย้อนกลับไปตลาดน้ำอัมพวา ผมถือโอกาสแวะเข้าไปที่ค่ายบางกุ้ง ที่อยู่ไม่ไกล ชื่นชมความแปลกประหลาดของธรรมชาติเสียหน่อย หาไม่ง่ายครับที่ต้นโพธิ์ใหญ่อันเป็นไม้มงคลในพระพุทธศาสนาจะแผ่รากโอบล้อมห่มคลุมโบสถ์เอาไว้ภายใน จนกลายเป็นโบสถ์ปรกโพธิ์ เห็นแล้วก็ให้อัศจรรย์ใจ สมกับที่ได้รับเลือกเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนมาแล้ว วันหยุดอย่างนี้มีนักท่องเที่ยวมาสักการะปิดทอง “หลวงพ่อนิลมณี” พระประธานในโบสถ์มากมาย ก็เลยใช้เวลาไปพอสมควร
แต่ก็กลับมาได้เวลาของตลาดน้ำยามเย็นอัมพวาพอดีครับ ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้รถจะติดแถวอัมพวา
อุทยาน ร. ๒ เป็นพิเศษ เพราะหาที่จอดรถยาก
ยังดีมีที่จอดรถเอกชนหลายแห่งให้บริการ
ค่าบริการก็ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งความห่างจากตัวตลาดไกลหน่อยก็ ๓๐ บาท
ใกล้เข้ามาอีกนิดก็ ๔๐ บาท ใกล้ชิดติดกับตลาดน้ำเลยก็แพงหน่อยประมาณ ๕๐ บาท เข้าตลาดมาได้ก็แทบจะไม่ต้องเดินกันละครับ
ค่อย ๆ ไหลตามกระแสนักท่องเที่ยวเข้าไป ไม่รู้มาจากไหนกันเยอะแยะไปหมด
อย่างว่าแหละ ที่เที่ยวดี ๆ ใครก็อยากจะมาสัมผัสทั้งนั้น
ตลาดน้ำอัมพวา
เป็นตลาดเก่าแก่ซึ่งเมื่อราว
๖๐ ปีก่อนถือเป็นตลาดนัดทางน้ำใหญ่ที่สุดในสมุทรสงคราม
ชะตากรรมของตลาดน้ำอัมพวาในอดีตก็เช่นเดียวกันกับตลาดน้ำอื่น ๆ นั่นก็คือพอถนนหนทางสะดวกมากขึ้น
ย่านการค้าร้านรวงก็ย้ายไปอยู่ตามริมถนนกันหมด
ทำเอาอัมพวาซบเซาไปหลายสิบปี
ช่วงยุคตกต่ำของอัมพวาผมเองยังเคยมาเยี่ยมเยือนอยู่เหมือนกัน
ตอนนั้นบ้านเรือนร้านรวงริมน้ำเงียบเหงาไม่ค่อยมีผู้คน คล้ายกับเมืองร้าง
เหลือแค่ร้านกาแฟเก่า ๆ กับร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างไม่กี่ร้าน ยังดีที่สภาพของบรรดาสถาปัตยกรรมตึกรามบ้านช่องริมน้ำทั้งหลายส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในสภาพที่ใกล้เคียงกับของเดิม
เพียงแต่ชำรุดทรุดโทรม แต่ขนาดนั้นก็ยังได้รับรางวัลชุมชนอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์
ในปี ๒๕๔๕
ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๔๖ ค่อยมีการดำเนินการซ่อมแซมอาคารไม้ที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรม
ซึ่งเกิดจากพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงอยากให้ชุมชนอัมพวาเก็บรักษาสถาปัตยกรรมเก่าแก่เหล่านี้เอาไว้
โดยในครั้งนั้นคุณป้าประยงค์ นาคะวรังค์ ซึ่งเป็นคนในท้องถิ่นได้บริจาคที่ดินพร้อมห้องแถวไม้ริมคลอง
๓๑ คูหา ให้กับมูลนิธิชัยพัฒนา
ห้องแถวเหล่านี้ทางมูลนิธิฯ
ได้นำมาปรับปรุงทำเป็นสำนักงานโครงการอัมพวาชัยพัฒนานุรักษ์
จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอัมพวาแต่เดิม
พร้อมทั้งมีร้านค้าของที่ระลึก และร้านอาหารชานชาลาให้บริการนักท่องเที่ยว โดยในส่วนที่ดินด้านหลังได้จัดให้เป็นลานวัฒนธรรมนาคะวรังค์
สำหรับขายของแบบตลาดนัดและจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม ตกแต่งภูมิทัศน์อย่างสวยงาม ในสไตล์ย้อนยุคกลมกลืนกับอาคาร
ล่าสุดพื้นที่ชุมชนริมคลองอัมพวาก็เพิ่งจะได้รับรางวัล
“UNESCO
Asian-Pacific for Culture Heritage Conservation” ระดับ Honorable
Mention จากองค์การ UNESCO ในปีพ.ศ. ๒๕๕๑ที่ผ่านมา
ซึ่งหลักเกณฑ์รางวัลที่ทางยูเนสโกจัดขึ้นนั้นไม่ธรรมดานะครับ เพราะกำหนดไว้ว่าอาคารที่เข้าประกวดจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า๕๐
ปี แถมหลังจากที่ปรับปรุงซ่อมแซมแล้วจะต้องมีการใช้งานไม่น้อยกว่าหนึ่งปีอีกด้วย จัดพิธีรับมอบรางวัลไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา
โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เป็นองค์ประธานในพิธี
ในอัมพวายังมีสิ่งที่เป็นระดับโลกอีกอย่าง
นั่นก็คือบ้านครูเอื้อ สุนทรสนาน ในห้องแถวไม้๒ คูหา ใกล้กับสำนักงานโครงการอัมพวาชัยพัฒนานุรักษ์
จัดแสดงนิทรรศการประวัติและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวรวมทั้งจำหน่ายแผ่นซีดีผลงาน ของครูเอื้อผู้ก่อตั้งวงดนตรีสุนทราภรณ์
ซึ่งล่าสุดองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ ยกย่องให้ครูเอื้อ สุนทรสนาน เป็นบุคคลสำคัญของโลก
สาขาวัฒนธรรมดนตรีไทยสากลในปี ๒๕๕๓ (Personality of the Year 2010 ) โดยครูเอื้อเกิดเมื่อวันที่
๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ถึงปีนี้จึงเป็นวาระครบรอบ 100 ปี ชาตกาล ครูเอื้อ สุนทรสนานพอดิบพอดี เดินผ่านก็อย่าลืมแวะเข้าไปชมกันครับ ผมเองเข้าไปเดินดูยังเพลิดเพลินอยู่เป็นนานสองนาน
แดดร่มลมตกแว่วเสียงเพลงเก่าที่เขาตั้งคอมพิวเตอร์บนระเบียงริมน้ำ
ให้นักร้องรุ่นเก๋าและผู้สมัครใจมาร้องเพลงขับกล่อมตลาดกัน
ส่วนใหญ่เป็นเพลงโบราณยุคสุนทราภรณ์ ฟังแล้วก็เข้าบรรยากาศดี แต่เดินไปเดินมาชักเริ่มหิวแล้วสิครับ
แต่สบายใจได้เรื่องนี้ อาหารที่ขายในตลาดน้ำอัมพวามีมากมายหลากหลายรูปแบบ
ถ้าจะให้ได้บรรยากาศตลาดน้ำ ก็ต้องเลือกกินจากที่ขายในเรือ
ซึ่งก็มีอาหารมากมายให้เลือก คนขายก็มีอยู่มากมายหลายสิบเจ้า พายเรือมาจอดริมตลิ่ง
นำเสนอสารพัดอาหารเลิศรสให้เลือกชิมถึงที่ในราคาแสนถูกมีทั้งที่
นั่งกินริมตลิ่งแบบง่าย ๆ
ไปจนถึงตั้งโต๊ะริมน้ำเรียงรายไปตามขั้นบันไดให้นั่งกินกัน
หรือชอบหรูหราเป็นหลักเป็นฐานขึ้นมาหน่อยก็จะมีที่ทำเป็นร้าน
จัดบรรยากาศอย่างดี(ส่วนใหญ่ก็สไตล์ย้อนยุคนั่นแหละ) เช่น ร้านกำปั่น ร้านภวัตส้มตำไก่ย่าง ฯลฯราคาก็จะสูงขึ้นมาอีกนิด
อิ่มแล้วจะต่อด้วยกาแฟหรือเครื่องดื่มก็มีอีกมากมายให้เลือกครับ เช่นร้านกาญจนาพานิช อัมพวาริมระเบียง สมานการค้า โอ๊ย เยอะครับ จาระไนไม่หมดหรอก ตองเดินเลือกดูเอาเองว่าถูกใจร้านไหน
อิ่มแล้วจะต่อด้วยกาแฟหรือเครื่องดื่มก็มีอีกมากมายให้เลือกครับ เช่นร้านกาญจนาพานิช อัมพวาริมระเบียง สมานการค้า โอ๊ย เยอะครับ จาระไนไม่หมดหรอก ตองเดินเลือกดูเอาเองว่าถูกใจร้านไหน
แต่อิ่มแล้วผมสมัครใจเดินเที่ยวดูข้าวของที่วางขายมากกว่า เพราะนี่ก็เป็นความสนุกอีกอย่างของการมาเดินเที่ยวตลาดน้ำอัมพวา แผงลอยตลอดจนร้านรวงบนสองฟากทาง เครื่องใช้ย้อนยุค ของเล่นสมัยเก่าถูกขนเอามาวางขายเรียงรายตามร้านละลานตา ของพวกนี้ไม่รู้เป็นไงครับ เห็นแล้วนึกถึงความหลังขึ้นมาทุกที ไม่ใช่ผมคนเดียวนะ คนอื่น ๆ ก็เห็นเป็นเหมือนกัน ก็อย่างที่บอกแหละ เดินผ่านไปผ่านมาก็ฮือฮากันไปตลอดทาง
ที่ดูจะโดนใจผมและใคร ๆ มากเป็นพิเศษเห็นจะเป็นจำพวกของเล่นสังกะสี
ที่ทำเลียนแบบของเก่ามา ว่ากันตามจริงแล้วแม้ว่าจะไม่เหมือนของเก่าเสียทีเดียวด้วยขนาดและสีสันที่แตกต่างอย่างรู้สึกได้
แต่ความคล้ายคลึงก็ช่วยให้หลายต่อหลายคนคน
รวมทั้งผม ควักกระเป๋าซื้อเอากลับบ้าน อย่างน้อยมันก็ช่วยเตือนให้นึกความสนุกในวัยเยาว์ได้เหมือนกัน
ฟ้าเริ่มมืด แสงไฟจากร้านรวงทั่วตลาดน้ำสว่างไสว
แสงไฟหลากสีสันสะท้อนลงบนสายน้ำ ยิ่งทำให้แลดูคล้ายโลกในความฝันมากขึ้น ช่วงหนึ่งทุ่มเป็นต้นไปตามท่าเรือต่าง
ๆ จะมีบริการพาล่องเรือไปชมหิ่งห้อยกัน ผมไปยืนชมแสงสุดท้ายอยู่บนสะพานข้ามคลอง ช่วงนี้ก็จะเห็นเรือที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวแล่นเข้าแล่นออกกัน
จากมุมสูงยังเห็นความเคลื่อนไหวของใครต่อใคร
แต่ละคนก็มีโลกส่วนตัว บ้างก็กำลังคุยสนุกกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ในร้านอาหารริมน้ำ
บ้างก็นั่งสวีตกับแฟนเงียบ ๆ ในมุมของบ้านพักที่ให้บริการนักท่องเที่ยว
บ้างก็ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันไฟแฟลชแว๊บวับ
อดีตจริง ๆ นั้นผ่านไปแล้วก็ผ่านไปเลย
ไม่มีวันหวนกลับ แต่อดีตที่ตลาดน้ำสมุทรสงครามนี่ ไม่เป็นเช่นนั้นครับ ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์เราสามารถย้อนกลับมาสัมผัสชื่นชมใหม่ได้ทุกเมื่อที่ใจต้องการ
ขอขอบคุณ คุณณรงค์ ทรงสายชลชัย คุณสมหมาย
ไพศาลศิลปชัย คุณจิตรา ตันติเดชามงคล
และผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่ช่วยให้การจัดทำสารคดีเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเอกสารอ้างอิง
ศิริวรรณ ศิลาพัชรนันท์ รศ . “ประสบการณ์ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมพื้นที่ริมคลองอัมพวา” วารสารวิชาการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.หน้า ๕๒-๖๕. ฉบับที่ ๓ ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๔๙.
คู่มือนักเดินทาง
ตลาดน้ำท่าคา ตั้งอยู่ในตำบลท่าคา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๕ ไปเลี้ยวขวาที่กิโลเมตร ๖๓ เข้าตัวจังหวัดสมุทรสงคราม จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๒๕ สมุทรสงคราม-บางแพ (ทางเดียวกับที่ไปอำเภอดำเนินสะดวก) ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร หรือเลยจากทางแยกเข้าอำเภออัมพวาไปประมาณ ๔ กิโลเมตร แยกขวามือมีป้ายบอกตลาดน้ำท่าค่าและป้ายชี้บอกตลอดทาง แล่นเข้าไปอีกประมาณ ๕ กิโลเมตรก็จะถึงตัวตลาดน้ำท่าคา
กรณีไม่มีรถส่วนตัว โดยสารรถประจำทางสายกรุงเทพฯ-ดำเนินสะดวก มาลงที่สมทรสงครามจากตัวจังหวัดมีบริการรถประจำทางสายท่าคา-วัดเทพประสิทธิ์ ออกทุก ๒๐ นาที ขึ้นรถได้ที่คิวหน้าธนาคารทหารไทย ปลายทางตลาดน้ำท่าคา ตั้งแต่เวลา ๐๗.๐๐-๑๘.๐๐ นาฬิกา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อบต. ท่าคา โทรศัพท์ ๐ ๓๔๗๖ ๖๒๐๘
ตลาดน้ำบางน้อย
ตั้งอยู่ที่ปากคลองบางน้อย (วัดเกาะแก้ว) ตำบลกระดังงา
อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม เปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์
ตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐ นาฬิกา เป็นต้นไป ออกจากตลาดน้ำท่าคาเลี้ยวขวามาเข้า
ทางหลวงหมายเลข ๓๒๕ สมุทรสงคราม-บางแพ ประมาณ ๖ กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าถนนอัมพวา-บางนกแขวกอีกประมาณ ๕ กิโลเมตร ก็จะถึงตลาดน้ำบางน้อย กรณีไม่มีรถส่วนตัวมีรถตู้บริการจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถึงแม่กลอง จากนั้นต่อรถสาย ๓๓๓
ไปถึงตลาดน้ำบางน้อย
ตลาดน้ำบางนกแขวก ตั้งอยู่ที่ตำบลบางนกแขวก อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม ใช้ถนนสายอัมพวา-บางนกแขวก ผ่านหน้าอาสนวิหารพระแม่บังเกิด ข้ามสะพานไป ๑๐๐ เมตร เลี้ยวซ้ายถึงที่จอดรถตลาดน้ำบางนกแขวก รถไฟ ขึ้นจากสถานีวงเวียนใหญ่ มาลงสถานีมหาชัย นั่งเรือข้ามฟากมายังฝั่งท่าฉลอม แล้วขึ้นรถไฟที่สถานีบ้านแหลมมาลงสถานีแม่กลอง ต่อรถสายแม่กลอง-บางนกแขวก รถตู้ ขึ้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หมอชิต ปิ่นเกล้า ตลาดบางปะแก้ว และบางนา ไปถึงแม่กลอง แล้วต่อรถสายแม่กลอง-บางนกแขวก
ตลาดน้ำอัมพวา ตั้งอยู่ใช้ทางหลวงหมายเลข
๓๒๕ สมุทรสงคราม-บางแพ ประมาณ ๖ กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าถนนที่ไปอุทยาน
ร. ๒ ถึงตลาดน้ำที่อยู่ติดกับวัดอัมพวันเจติยาราม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น