ทิวทัศน์เมืองไฮเดลเบิร์กเมื่อมองลงมาจากปราสาท |
ภาคภูมิ น้อยวัฒน์…เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร "สารใจ"
อากาศยามเช้าในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต
ของเยอรมนีหนาวเย็นจับใจ แต่วันนี้ผมกับพี่นิค
สองเกลอหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่พากันกัดฟันตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่
อาบน้ำอาบท่าลงมากินอาหารเช้าของโรงแรมก่อนใคร ๆ ก่อนที่จะรีบดุ่มเดินฝ่าสายลมยะเยือกออกมาขึ้นรถเมล์มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟหน้าตาเหมือนกับหัวลำโพงที่เรียกในภาษาเยอรมันว่าโฮปบาห์นโฮฟ
ของเมืองแฟรงก์เฟิร์ต เพื่อที่จะเดินทางไปเที่ยวเมืองไฮเดลเบิร์ก ซึ่งเราจองตั๋วกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
จะว่าไปก็คล้าย ๆ กับที่การรถไฟแห่งประเทศไทยหรือ รฟท. ของเราจัดให้มีรถไฟขบวนพิเศษท่องเที่ยวในวันหยุด
ไปเที่ยวน้ำตกเมืองกาญจน์บ้าง
ไปเที่ยวทะเลหัวหินบ้าง แบบเช้าไปเย็นกลับนั่นแหละครับ (ทว่าที่แฟรงก์เฟิร์ตนี่เขามีรถไฟท่องเที่ยวในวันธรรมดาด้วย) แต่ที่ไม่คล้าย เรียกว่าแตกต่างราวฟ้ากับดินคงจะได้ ก็คือสภาพของรถไฟที่ใหม่เอี่ยมอ่อง
ทรวดทรงทันสมัย ภายในสะอาดสะอ้าน ที่สำคัญออกตรงเวลาเป๊ะ
ได้เวลาปุ๊บรถก็เคลือนออกจากชานชาลาสถานีอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา
ไม่รู้ว่ารถไฟแล่นเร็วหรือเพราะสองสหายเรามัวแต่เพลิดเพลินตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์บ้านเรือนผู้คนถนนหนทางสองฟากรางรถไฟ
ที่ดูแปลกหูแปลกตาแตกต่างจากเมืองไทย
เผลอแพล็บเดียวเราก็พบว่ามาถึงจุดหมายคือเมืองไฮเดลเบิร์กเสียแล้ว
ลงมาจากรถไฟเดินออกมายืนงงกันอยู่หน้าสถานี
แล้วก็ต้องตาโตเมื่อเหลือบไปเห็นว่าลานกว้างข้างประตูทางออกมีรถจักรยานจอดเรียงรายกันอยู่เป็นพันคัน
นายตรวจเยอรมันกำลังตรวจตั๋วผู้โดยสาร |
บรรยากาศในสถานีรถไฟเมืองไฮเดลเบิร์ก |
คนเยอรมันหลายคนลงจากรถไฟมาก็ไขกุญแจจักรยานขี่ปร๋อออกไป
ที่นี่เขาคงใช้จักรยานกันเป็นล่ำเป็นสัน
สองหนุ่มเราไม่มีกับเขาสักคันก็เลยชักหันรีหันขวางครับ แต่เมื่อมองไปรอบ ๆ
แล้วเห็นว่ามีทั้งรถรางและรถโดยสารให้บริการก็โล่งใจ
เพราะตั๋วท่องเที่ยวอย่างของเราเขาบอกว่าขึ้นได้ฟรีหมดทุกสาย ติดอยู่ตรงไม่รู้จะขึ้นสายไหน
ไปทางไหนเท่านั้น
กางแผนที่ออกมาดู
ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าอะไรอยู่ทางไหน
ผมกับพี่นิคเลยชี้โบ๊ชี้เบ๊ล้งเล้งกันให้วุ่นวายอยู่ คุณลุงชาวเยอรมันคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ คงสงสาร
กลัวจะตีกันตายเสียก่อน ก็เลยเข้ามาถามว่าจะไปไหนกันล่ะพ่อคุณ พอบอกว่าจะไปปราสาทไฮเดลเบิร์ก
พลางชี้ให้ดูในแผนที่ คุณลุงแกก็ร้องอ๋อ จะไป”ชล็อต” เหรอ ง่ายจะตาย
ว่าแล้วก็ชี้ให้ไปขึ้นรถโดยสารที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม
พวกเราพากันขอบคุณแล้ววิ่งตื๋อไปขึ้นรถ เป็นอันรอดตาย
แถว ๆ สถานีรถไฟจะเห็นจักรยานจอดอยู่ทั่วไป |
แต่กระนั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่รู้ว่าจะต้องลงเมื่อไหร่
แต่สองเกลอเราก็ไม่หวั่น ถึงไหนถึงกัน นั่ง กินลมชมวิวไปเรื่อย ๆ รถแล่นลัดเลาะไปตามถนนแคบ ๆ
ในเมืองพักใหญ่ก่อนจะแล่นออกถนนสายเลียบแม่น้ำอันน่าตื่นตาตื่นใจด้วยบ้านเรือนหลังคาหลากสีที่เรียงรายอยู่ตามริมน้ำ
และลดหลั่นขึ้นไปตามลาดเขาสูง มองไกล ๆ เหมือนเมืองตุ๊กตา
รถพาเราขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำก่อนจะไต่ขึ้นเขาไปตามทางแคบคดเคี้ยวผ่านอาคารที่อยู่อาศัย
ก่อนไปจอดที่ลานกว้างที่ดูคล้าย ๆ รีสอร์ตหรือบ้านพักตากอากาศบนยอดเขา
ฝรั่งขนกระเป๋าลงกันคึกคัก พี่นิคกระซิบกระซาบว่าสงสัยเราจะหลงมาไกลแล้วแฮะ แต่ก็พากันนั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป
ยังไงก็นั่งรถฟรีอยู่แล้ว
สักพักรถก็แล่นกลับลงมาข้างล่างอีกครั้งเป็นอันสุดสาย
เราต้องเปลี่ยนรถไปขึ้นคันใหม่ คันนี้แล่นข้ามสะพานย้อนกลับเข้าเมือง คราวนี้เราหมายตาปราสาทบนยอดเขาเอาไว้แต่ไกล
พอถึงป้ายรถเมล์ตรงหัวมุมตึก แลเห็นถนนที่ดูน่าจะเป็นทางขึ้นไปปราสาท
เราก็พากันรีบลง แล้วก็ไม่พลาดครับ ใช่จริง ๆ ในที่สุดก็มาถึงจนได้
ทิวทัศน์ของเมืองย่านริมน้ำมองจากบนรถประจำทาง |
ทางเดินขึ้นปราสาท |
ย่ำเท้าเดินฝ่าความหนาวขึ้นไปตามถนนปูลาดด้วยหิน
ผนังสองข้างปกคลุมด้วยตะไคร่ และไม้เลื้อยเขียวครึ้มได้บรรยากาศ
พักใหญ่ก็ขึ้นไปถึงปราสาท ผ่านประตูเข้าสู่โถงทางเดิน
ถึงตรงนี้ต้องเข้าคิวซื้อบัตรเข้าชม คิวยาวเหมือนกัน
แต่ยังดีตรงที่เข้าแถวเป็นมุมสูงมองผ่านซุ้มโค้งหน้าต่างออกไปเห็นทิวทัศน์ข้างล่างที่เป็นบ้านเมืองริมแม่น้ำ
เข้าคิวไปชมวิวไป ไม่ค่อยเบื่อ
ฝนโปรยละอองลงมาปรอย ๆ
เพิ่มดีกรีความหนาวเมื่อเราเข้าไปข้างในบริเวณปราสาทด้านใน อาคารแรกที่สะดุดตาคือ เฟรดริชสบาว (Friedrichsbau) อาคารในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ
สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าเฟรเดอริคที่ ๔
ด้วยซุ้มยอดหลังคาและการประดับประดาประติมากรรมบุคลสำคัญระหว่างซุ้มหน้าต่างเป็นระยะ
ละลานตา ชั้นล่างมีร้านขายของที่ระลึก น่าซื้อไปทั้งนั้น
แต่เห็นราคาคิดเป็นเงินไทยแล้วซื้อไม่ลง
โถงทางเดินภายในปราสาท |
ถังเบียร์ขนาดยักษ์ |
ออตเทนริชบาว ประตูที่เห็นเปิดอยู่คือทางเข้าพิพิธภัณฑ์ |
บรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์ |
ฝนโปรยลงมาเมื่อเราออกจากห้องถังเบียร์ยักษ์
พี่นิคแยกไปหลบฝนตรงมุมน้ำพุเล็ก ๆ ส่วนผมวิ่งตื๋อผ่านกลาเซอเนอร์ ซาล์ลบาว
(Glaserner Saalbau) ที่เชื่อมต่อกับเฟรดริชสบาว
ขึ้นบันไดไปหลบตรงซุ้มประตูของ ออตเทนริชสบาว (Ottheinrichsbau) ซึ่งชั้น ๓-๔
พังทลายเหลือแต่ผนังด้านหน้า แต่มีลวดลายปูนปั้นสวยงามอยู่ มองไปเห็นว่าชั้น ๑ และ ๒
ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เภสัชกรรม
ก็เลยถือโอกาสผลุบเข้าไปดูข้างในสักหน่อย จะได้ไม่เสียเวลาไปเปล่า ๆ
ปรากฏว่าไม่ผิดหวังครับ
เขาทำเป็นพิพิธภัณฑ์เภสัชกรรมไว้อย่างน่าสนใจเชียว
แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางด้านการผลิตยา
จัดแสดงเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการค้นคว้า การปรุงยา ผลิตยา
ตั้งแต่สมัยโบราณนานมา โดยจัดทางเดินเป็นแบบวันเวย์เข้าด้านหนึ่งแล้วเดินชมต่อไปเรื่อย
ๆ จนถึงห้องสุดท้ายจะเป็นห้องขายของที่ระลึกเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ (เข้าใจเล่นจริง ๆ นะ) แต่ละอย่างน่าซื้อทั้งนั้น
ทว่าลองคิดราคาเป็นเงินไทยแล้วไม่ไหวอีกเหมือนกัน ขอระลึกถึงด้วยใจดีกว่า
ซุ้มประตูอลิซาเบธเอ็นเทอร์ |
กลับออกมาฝนหายแล้ว แต่ไม่รู้พี่นิคหายไปไหน
ไปดูตรงน้ำพุก็ไม่มี เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมก็เลยใช้วิธีเที่ยวไปหาไป
ไล่ตั้งแต่ข้างในห้องถังเบียร์ยักษ์ เขยิบไปห้องขายของที่ระลึก
ออกไประเบียงที่เห็นทิวทัศน์เมืองไฮเดลเบิร์กและแม่น้ำได้กว้างไกล
ยืนถ่ายรูปรอพักใหญ่ก็ไม่เห็นมี
ทะลุออกไปอีกด้านหนึ่งของปราสาท ผ่านประตูเอลิซาเบธเอนเทอร์ (Elisabethentor) เข้าไปในสวนของปราสาทก็ยังไม่เจอ
ดุ่มเดินเรื่อยเปื่อยไปจนถึงสวนด้านหลังอันเป็นที่ตั้งของรูปปั้นเทพบิดาแห่งแม่น้ำไรน์
(Father of Rhine) ก็ไม่เห็นพี่นิคแม้แต่เงา
กระทั่งผมลงไปเดินเตร็ดเตร่ในสวนรอบปราสาทด้านล่างจนครบรอบนั่นแหละครับ
พี่นิคถึงส่งข้อความSMS เข้ามาที่มือถือของผม
ว่าไปรออยู่ตรงทางขึ้นด้านล่างแล้ว
ตามลงไปก็เจอพี่นิคยืนรอหน้ามุ่ยอยู่ บอกเดินตามผมเข้าไปในพิพิธภัณฑ์
แต่เดินไม่ทัน ออกจากพิพิธภัณฑ์แล้วดันเผลอเดินออกหลังปราสาท เลยกลับเข้าไปอีกไม่ได้
เพราะบัตรผ่านประตูอยู่กับผม เลยไม่มีบัตรให้ยามเฝ้าประตูดู
ต้องเดินอ้อมภูเขาลงมารอเชิงบันไดทางออก
ประติมากรรม "บิดาแห่งลำน้ำไรน์" |
สภาพแวดล้อมอันร่มรื่น |
รูปปั้นอัศวินประดับเหนือซุ้มประตู |
ไหน ๆ
ก็ลงมาแล้วเราก็เลยถือโอกาสเดินชมย่านใจกลางเมืองกันเสียเลย
ถนนที่เราเดินไปนั้นเป็นย่านท่องเที่ยวมีร้านค้าของที่ระลึกมากมาย
แต่ละร้านตกแต่งประดับประดาอย่างมีสไตล์ ขนาดแผงขายผักผลไม้ยังแต่งเสียน่ารัก
เสียอย่างเดียวราคาข้าวของคิดเป็นเงินไทยแล้วจับไม่ลงครับ กลับไปซื้อบ้านเราดีกว่า
เดินไปเดินมานึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้กินข้าวกลางวันกัน
บ่ายแก่งั่กเข้าไปแล้ว ท้องเลยร้องลั่น หิวขึ้นมามือไม้สั่น (ตอนเที่ยวเพลิน ๆ อยู่ละไม่สนใจ) เหลียวซ้ายแลขวา ร้านขายอาหารที่มีอยู่มากมายเต็มถนนเอาเข้าจริง ๆ
ก็พึ่งไม่ได้
มีแต่อาหารหน้าตาพิลึกกึกกือที่ไม่รู้ว่าเราสั่งมาแล้วจะกินได้หรือเปล่า โซซัดโซเซเข้าไปดูในห้างสรรพสินค้า (ห้างใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ยังไม่ได้เศษเสี้ยวเดียวของมาบุญครองหรือสยามพารากอนครับ ขอบอก) มีฟู้ดเซ็นเตอร์เหมือนกันแต่ก็ไม่ยักมีอาหารที่พอจะกินได้
มีแต่อาหารฝรั่งที่ไม่รู้จัก โอย
หรือว่าจะต้องมาอดตายกันที่ไฮเดลเบิร์กนี่แล้วกระมัง
ใกล้จะหมดเรี่ยวแรงเต็มทีสายตาก็พานพบเข้ากับร้านแมคโดนัลด์ เหมือนสวรรค์มาโปรด แม้ว่าไก่ทอด
แฮมเบอร์เกอร์แมค ฯ ที่นี่จะไม่มีน้ำจิ้มรสเด็ด เติมได้ไม่อั้นเหมือนที่เมืองไทย
มีแต่ซอสมะเขือเทศให้มาซองเล็ก ๆ ซองเดียว
(งกน่าดู) แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้สองหนุ่มจากสยามประเทศรอดตายไปอีกหนึ่งมื้อละครับ
ย่านชุมชนใจกลางเมือง |
แผงขายผลไม้ประดับประดาอย่างสวยงาม |
อิ่มหมีพีมันก็ใกล้จะได้เวลารถไฟเที่ยวขากลับพอดี
สองหนุ่มเราก็เลยเร็วรี่วิ่งแจ้นขึ้นรถรางกลับมาที่สถานี แต่ด้วยความที่รถรางของเขาทำเวลาได้ดี
เราก็เลยยังมีเวลาเหลือมาเดินเล่น ตุหรัดตุเหร่ดูโน่นดูนี่
แอ็กชันถ่ายรูปในย่านเมืองหน้าสถานีกันอีกด้วยซ้ำไป
ระหว่างนั่งรถไฟกลับเมืองแฟรงก์เฟิร์ต สองหนุ่มเราก็พยักเพยิดเห็นพ้องต้องกันว่าขึ้นรถไฟเที่ยวในเยอรมันนีจะว่าไปก็เข้าท่าดี ว่าแล้วก็กางแผนที่ เปิดคู่มือกันเป็นการใหญ่
ดูท่าว่าการเดินทางท่องเที่ยวทางรถไฟของสองหนุ่มเราคงจะยังไม่จบแค่ที่ไฮเดลเบิร์กเสียแล้วละครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น