วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

นั่งรถไฟไปเที่ยวไฮเดลเบิร์ก


 ทิวทัศน์เมืองไฮเดลเบิร์กเมื่อมองลงมาจากปราสาท

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์เรื่องและภาพ

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร "สารใจ"


          อากาศยามเช้าในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ของเยอรมนีหนาวเย็นจับใจ แต่วันนี้ผมกับพี่นิค สองเกลอหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่พากันกัดฟันตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ อาบน้ำอาบท่าลงมากินอาหารเช้าของโรงแรมก่อนใคร ๆ ก่อนที่จะรีบดุ่มเดินฝ่าสายลมยะเยือกออกมาขึ้นรถเมล์มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟหน้าตาเหมือนกับหัวลำโพงที่เรียกในภาษาเยอรมันว่าโฮปบาห์นโฮฟ ของเมืองแฟรงก์เฟิร์ต เพื่อที่จะเดินทางไปเที่ยวเมืองไฮเดลเบิร์ก ซึ่งเราจองตั๋วกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน

        จะว่าไปก็คล้าย ๆ กับที่การรถไฟแห่งประเทศไทยหรือ รฟท. ของเราจัดให้มีรถไฟขบวนพิเศษท่องเที่ยวในวันหยุด ไปเที่ยวน้ำตกเมืองกาญจน์บ้าง  ไปเที่ยวทะเลหัวหินบ้าง แบบเช้าไปเย็นกลับนั่นแหละครับ  (ทว่าที่แฟรงก์เฟิร์ตนี่เขามีรถไฟท่องเที่ยวในวันธรรมดาด้วยแต่ที่ไม่คล้าย  เรียกว่าแตกต่างราวฟ้ากับดินคงจะได้ ก็คือสภาพของรถไฟที่ใหม่เอี่ยมอ่อง ทรวดทรงทันสมัย ภายในสะอาดสะอ้าน ที่สำคัญออกตรงเวลาเป๊ะ ได้เวลาปุ๊บรถก็เคลือนออกจากชานชาลาสถานีอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา
          
        ไม่รู้ว่ารถไฟแล่นเร็วหรือเพราะสองสหายเรามัวแต่เพลิดเพลินตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์บ้านเรือนผู้คนถนนหนทางสองฟากรางรถไฟ ที่ดูแปลกหูแปลกตาแตกต่างจากเมืองไทย เผลอแพล็บเดียวเราก็พบว่ามาถึงจุดหมายคือเมืองไฮเดลเบิร์กเสียแล้ว ลงมาจากรถไฟเดินออกมายืนงงกันอยู่หน้าสถานี  แล้วก็ต้องตาโตเมื่อเหลือบไปเห็นว่าลานกว้างข้างประตูทางออกมีรถจักรยานจอดเรียงรายกันอยู่เป็นพันคัน

 นายตรวจเยอรมันกำลังตรวจตั๋วผู้โดยสาร

 บรรยากาศในสถานีรถไฟเมืองไฮเดลเบิร์ก
คนเยอรมันหลายคนลงจากรถไฟมาก็ไขกุญแจจักรยานขี่ปร๋อออกไป ที่นี่เขาคงใช้จักรยานกันเป็นล่ำเป็นสัน สองหนุ่มเราไม่มีกับเขาสักคันก็เลยชักหันรีหันขวางครับ แต่เมื่อมองไปรอบ ๆ แล้วเห็นว่ามีทั้งรถรางและรถโดยสารให้บริการก็โล่งใจ เพราะตั๋วท่องเที่ยวอย่างของเราเขาบอกว่าขึ้นได้ฟรีหมดทุกสาย  ติดอยู่ตรงไม่รู้จะขึ้นสายไหน ไปทางไหนเท่านั้น  


กางแผนที่ออกมาดู ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าอะไรอยู่ทางไหน  ผมกับพี่นิคเลยชี้โบ๊ชี้เบ๊ล้งเล้งกันให้วุ่นวายอยู่  คุณลุงชาวเยอรมันคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ คงสงสาร กลัวจะตีกันตายเสียก่อน ก็เลยเข้ามาถามว่าจะไปไหนกันล่ะพ่อคุณ พอบอกว่าจะไปปราสาทไฮเดลเบิร์ก พลางชี้ให้ดูในแผนที่ คุณลุงแกก็ร้องอ๋อ จะไปชล็อตเหรอ ง่ายจะตาย ว่าแล้วก็ชี้ให้ไปขึ้นรถโดยสารที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม พวกเราพากันขอบคุณแล้ววิ่งตื๋อไปขึ้นรถ เป็นอันรอดตาย 

 แถว ๆ สถานีรถไฟจะเห็นจักรยานจอดอยู่ทั่วไป
แต่กระนั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่รู้ว่าจะต้องลงเมื่อไหร่ แต่สองเกลอเราก็ไม่หวั่น ถึงไหนถึงกัน นั่ง กินลมชมวิวไปเรื่อย ๆ  รถแล่นลัดเลาะไปตามถนนแคบ ๆ ในเมืองพักใหญ่ก่อนจะแล่นออกถนนสายเลียบแม่น้ำอันน่าตื่นตาตื่นใจด้วยบ้านเรือนหลังคาหลากสีที่เรียงรายอยู่ตามริมน้ำ และลดหลั่นขึ้นไปตามลาดเขาสูง มองไกล ๆ เหมือนเมืองตุ๊กตา

รถพาเราขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำก่อนจะไต่ขึ้นเขาไปตามทางแคบคดเคี้ยวผ่านอาคารที่อยู่อาศัย ก่อนไปจอดที่ลานกว้างที่ดูคล้าย ๆ รีสอร์ตหรือบ้านพักตากอากาศบนยอดเขา ฝรั่งขนกระเป๋าลงกันคึกคัก พี่นิคกระซิบกระซาบว่าสงสัยเราจะหลงมาไกลแล้วแฮะ แต่ก็พากันนั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป ยังไงก็นั่งรถฟรีอยู่แล้ว 

สักพักรถก็แล่นกลับลงมาข้างล่างอีกครั้งเป็นอันสุดสาย เราต้องเปลี่ยนรถไปขึ้นคันใหม่ คันนี้แล่นข้ามสะพานย้อนกลับเข้าเมือง  คราวนี้เราหมายตาปราสาทบนยอดเขาเอาไว้แต่ไกล พอถึงป้ายรถเมล์ตรงหัวมุมตึก แลเห็นถนนที่ดูน่าจะเป็นทางขึ้นไปปราสาท เราก็พากันรีบลง แล้วก็ไม่พลาดครับ ใช่จริง ๆ ในที่สุดก็มาถึงจนได้ 

 ทิวทัศน์ของเมืองย่านริมน้ำมองจากบนรถประจำทาง

 ทางเดินขึ้นปราสาท
ย่ำเท้าเดินฝ่าความหนาวขึ้นไปตามถนนปูลาดด้วยหิน ผนังสองข้างปกคลุมด้วยตะไคร่ และไม้เลื้อยเขียวครึ้มได้บรรยากาศ พักใหญ่ก็ขึ้นไปถึงปราสาท ผ่านประตูเข้าสู่โถงทางเดิน ถึงตรงนี้ต้องเข้าคิวซื้อบัตรเข้าชม คิวยาวเหมือนกัน แต่ยังดีตรงที่เข้าแถวเป็นมุมสูงมองผ่านซุ้มโค้งหน้าต่างออกไปเห็นทิวทัศน์ข้างล่างที่เป็นบ้านเมืองริมแม่น้ำ เข้าคิวไปชมวิวไป ไม่ค่อยเบื่อ

ฝนโปรยละอองลงมาปรอย ๆ เพิ่มดีกรีความหนาวเมื่อเราเข้าไปข้างในบริเวณปราสาทด้านใน  อาคารแรกที่สะดุดตาคือ เฟรดริชสบาว (Friedrichsbau) อาคารในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าเฟรเดอริคที่ ๔ ด้วยซุ้มยอดหลังคาและการประดับประดาประติมากรรมบุคลสำคัญระหว่างซุ้มหน้าต่างเป็นระยะ ละลานตา ชั้นล่างมีร้านขายของที่ระลึก น่าซื้อไปทั้งนั้น แต่เห็นราคาคิดเป็นเงินไทยแล้วซื้อไม่ลง 

 โถงทางเดินภายในปราสาท

 ถังเบียร์ขนาดยักษ์

 บาร์เทนดี้สาวสวย

เดินตามฝรั่งเข้าไปอีกห้องหนึ่งปรากฏว่าเป็นห้องโถงใหญ่ ใช้เป็นที่หมักเบียร์โบราณ ทำเป็นห้องอย่างดี มีถังไม้ขนาดใหญ่มหึมาขนาดตึก ๒-๓ ชั้นอยู่ข้างใน เขาว่าเป็นถังเบียร์ใหญ่ที่สุดในโลก นักท่องเที่ยวปีนบันไดขึ้นไปชมกันไม่ขาดสาย (แล้วเราจะพลาดได้ไง ปีนไงก็ปีนกันสิน่า) ด้านนอกก็มีอีกถังขนาดรองลงมา  ใครชมแล้วเกิดเปรี้ยวปาก เขาก็มีเคาน์เตอร์เอาไว้ให้บริการไวน์ชนิดต่าง ๆ บาร์เทนดี้สาวสวยคอยบริการรินให้ ฝรั่งเข้าคิวกันยาวเหมือนกัน บังเอิญผมมันคนรุ่นใหม่ไม่ดื่มอยู่แล้ว เลยไม่สนใจ ส่วนพี่นิคอยู่ในระหว่างงดเหล้าเข้าพรรษาก็เลยขอผ่าน ดูแต่ตาไม่แตะต้อง แต่แอบมากระซิบให้ผมช่วยถ่ายรูปบาร์เทนดี้ให้ เป็นงั้นไป


ออตเทนริชบาว ประตูที่เห็นเปิดอยู่คือทางเข้าพิพิธภัณฑ์ 

 บรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์

  ฝนโปรยลงมาเมื่อเราออกจากห้องถังเบียร์ยักษ์ พี่นิคแยกไปหลบฝนตรงมุมน้ำพุเล็ก ๆ ส่วนผมวิ่งตื๋อผ่านกลาเซอเนอร์ ซาล์ลบาว (Glaserner Saalbau) ที่เชื่อมต่อกับเฟรดริชสบาว ขึ้นบันไดไปหลบตรงซุ้มประตูของ ออตเทนริชสบาว (Ottheinrichsbau) ซึ่งชั้น ๓-๔  พังทลายเหลือแต่ผนังด้านหน้า แต่มีลวดลายปูนปั้นสวยงามอยู่  มองไปเห็นว่าชั้น ๑ และ ๒ ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เภสัชกรรม  ก็เลยถือโอกาสผลุบเข้าไปดูข้างในสักหน่อย จะได้ไม่เสียเวลาไปเปล่า ๆ

ปรากฏว่าไม่ผิดหวังครับ เขาทำเป็นพิพิธภัณฑ์เภสัชกรรมไว้อย่างน่าสนใจเชียว แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางด้านการผลิตยา จัดแสดงเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการค้นคว้า การปรุงยา ผลิตยา ตั้งแต่สมัยโบราณนานมา โดยจัดทางเดินเป็นแบบวันเวย์เข้าด้านหนึ่งแล้วเดินชมต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงห้องสุดท้ายจะเป็นห้องขายของที่ระลึกเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ (เข้าใจเล่นจริง ๆ นะ) แต่ละอย่างน่าซื้อทั้งนั้น ทว่าลองคิดราคาเป็นเงินไทยแล้วไม่ไหวอีกเหมือนกัน ขอระลึกถึงด้วยใจดีกว่า

 ซุ้มประตูอลิซาเบธเอ็นเทอร์ 
กลับออกมาฝนหายแล้ว แต่ไม่รู้พี่นิคหายไปไหน ไปดูตรงน้ำพุก็ไม่มี เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมก็เลยใช้วิธีเที่ยวไปหาไป ไล่ตั้งแต่ข้างในห้องถังเบียร์ยักษ์ เขยิบไปห้องขายของที่ระลึก ออกไประเบียงที่เห็นทิวทัศน์เมืองไฮเดลเบิร์กและแม่น้ำได้กว้างไกล ยืนถ่ายรูปรอพักใหญ่ก็ไม่เห็นมี  ทะลุออกไปอีกด้านหนึ่งของปราสาท ผ่านประตูเอลิซาเบธเอนเทอร์ (Elisabethentor) เข้าไปในสวนของปราสาทก็ยังไม่เจอ ดุ่มเดินเรื่อยเปื่อยไปจนถึงสวนด้านหลังอันเป็นที่ตั้งของรูปปั้นเทพบิดาแห่งแม่น้ำไรน์ (Father of Rhine) ก็ไม่เห็นพี่นิคแม้แต่เงา

กระทั่งผมลงไปเดินเตร็ดเตร่ในสวนรอบปราสาทด้านล่างจนครบรอบนั่นแหละครับ พี่นิคถึงส่งข้อความSMS เข้ามาที่มือถือของผม ว่าไปรออยู่ตรงทางขึ้นด้านล่างแล้ว  ตามลงไปก็เจอพี่นิคยืนรอหน้ามุ่ยอยู่ บอกเดินตามผมเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ แต่เดินไม่ทัน ออกจากพิพิธภัณฑ์แล้วดันเผลอเดินออกหลังปราสาท  เลยกลับเข้าไปอีกไม่ได้ เพราะบัตรผ่านประตูอยู่กับผม เลยไม่มีบัตรให้ยามเฝ้าประตูดู ต้องเดินอ้อมภูเขาลงมารอเชิงบันไดทางออก  

 ประติมากรรม "บิดาแห่งลำน้ำไรน์" 

สภาพแวดล้อมอันร่มรื่น

 รูปปั้นอัศวินประดับเหนือซุ้มประตู
ไหน ๆ ก็ลงมาแล้วเราก็เลยถือโอกาสเดินชมย่านใจกลางเมืองกันเสียเลย ถนนที่เราเดินไปนั้นเป็นย่านท่องเที่ยวมีร้านค้าของที่ระลึกมากมาย แต่ละร้านตกแต่งประดับประดาอย่างมีสไตล์ ขนาดแผงขายผักผลไม้ยังแต่งเสียน่ารัก เสียอย่างเดียวราคาข้าวของคิดเป็นเงินไทยแล้วจับไม่ลงครับ กลับไปซื้อบ้านเราดีกว่า

เดินไปเดินมานึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้กินข้าวกลางวันกัน บ่ายแก่งั่กเข้าไปแล้ว ท้องเลยร้องลั่น หิวขึ้นมามือไม้สั่น (ตอนเที่ยวเพลิน ๆ อยู่ละไม่สนใจ) เหลียวซ้ายแลขวา ร้านขายอาหารที่มีอยู่มากมายเต็มถนนเอาเข้าจริง ๆ ก็พึ่งไม่ได้ มีแต่อาหารหน้าตาพิลึกกึกกือที่ไม่รู้ว่าเราสั่งมาแล้วจะกินได้หรือเปล่า  โซซัดโซเซเข้าไปดูในห้างสรรพสินค้า (ห้างใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ยังไม่ได้เศษเสี้ยวเดียวของมาบุญครองหรือสยามพารากอนครับ  ขอบอก) มีฟู้ดเซ็นเตอร์เหมือนกันแต่ก็ไม่ยักมีอาหารที่พอจะกินได้ มีแต่อาหารฝรั่งที่ไม่รู้จัก  โอย หรือว่าจะต้องมาอดตายกันที่ไฮเดลเบิร์กนี่แล้วกระมัง

ใกล้จะหมดเรี่ยวแรงเต็มทีสายตาก็พานพบเข้ากับร้านแมคโดนัลด์  เหมือนสวรรค์มาโปรด แม้ว่าไก่ทอด แฮมเบอร์เกอร์แมค ฯ ที่นี่จะไม่มีน้ำจิ้มรสเด็ด เติมได้ไม่อั้นเหมือนที่เมืองไทย มีแต่ซอสมะเขือเทศให้มาซองเล็ก ๆ ซองเดียว   (งกน่าดูแต่อย่างน้อยก็ช่วยให้สองหนุ่มจากสยามประเทศรอดตายไปอีกหนึ่งมื้อละครับ

ย่านชุมชนใจกลางเมือง

 แผงขายผลไม้ประดับประดาอย่างสวยงาม

อิ่มหมีพีมันก็ใกล้จะได้เวลารถไฟเที่ยวขากลับพอดี สองหนุ่มเราก็เลยเร็วรี่วิ่งแจ้นขึ้นรถรางกลับมาที่สถานี  แต่ด้วยความที่รถรางของเขาทำเวลาได้ดี เราก็เลยยังมีเวลาเหลือมาเดินเล่น ตุหรัดตุเหร่ดูโน่นดูนี่ แอ็กชันถ่ายรูปในย่านเมืองหน้าสถานีกันอีกด้วยซ้ำไป 

ระหว่างนั่งรถไฟกลับเมืองแฟรงก์เฟิร์ต  สองหนุ่มเราก็พยักเพยิดเห็นพ้องต้องกันว่าขึ้นรถไฟเที่ยวในเยอรมันนีจะว่าไปก็เข้าท่าดี  ว่าแล้วก็กางแผนที่ เปิดคู่มือกันเป็นการใหญ่

ดูท่าว่าการเดินทางท่องเที่ยวทางรถไฟของสองหนุ่มเราคงจะยังไม่จบแค่ที่ไฮเดลเบิร์กเสียแล้วละครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น