พระประธานปูนปั้นในท่ามกลางซากปรักหักพังของวิหารวัดมหาธาตุ ชัยนาท
ภาคภูมิ น้อยวัฒน์…เรื่องและภาพ
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนกรกฏาคม ๒๕๕๔
“…จากหน้าต่างโรงแรมข้างวัดศรีษะเมืองหรือวัดมหาธาตุสรรคบุรี
ข้าพเจ้ามองเห็นเจดีย์อู่ทองอันรายรอบอุโบสถด้านทิศเหนือได้ถนัดถนี่
เจดีย์เหล่านั้นซึ่งราวกับถอดพิมพ์เดียวมาจากเจดีย์อู่ทองในถ้ำเขาหลวงเพชรบุรี
อาบด้วยแสงนีออนงามมลังเมลืองแฝงความทะมึนทึมท่ามกลางราตรีอันเงียบสงัด
ตรงมุมวัดด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
เจดีย์ทรงปรางค์ยอดกลีบมะเฟืองสูงตระหง่านง้ำ
พระพุทธรูปปางลีลาประจำซุ้มเจดีย์เยื้องกายอ่อนหวานตามแบบฉบับลพบุรีตอนปลาย
ซึ่งจะส่งอิทธิพลให้แก่ศิลปะสุโขทัยอีกต่อหนึ่ง
อิฐอันก่อสานเป็นโครงร่างเจดีย์เบียดกันสนิทด้วยเทคนิคสอปูนอย่างบางแทบมองไม่เห็น เป็นแบบการก่อสร้างที่เก่าแก่กว่าศิลปะอยุธยา
บ่งว่านครแห่งนี้รุ่นราวคราวเดียวกับละโว้
มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้งทั้งทางศิลปะและอารยธรรม
เรา - ซึ่งหมายถึงข้าพเจ้ากับคุณอนุวิทย์ เจริญศุภกุล
สถาปนิกหนุ่มผู้ผ่านปริญญาโทด้านผังเมืองจากสหรัฐมาหยก ๆ
ได้ซุกตัวนอนท่ามกลางกลิ่นอับ ๆ ของโรงแรมสกปรกที่นั่นได้อย่างไรก็ไม่รู้
ถ้าไม่เพราะแรงเสน่ห์ของศิลปะในนครโบราณอันเลื่องลือนี้แล้ว
ก็เห็นจะไม่ขอย่างกรายเข้าไปในสถานที่อัปมงคลนั้นเลย
เราปิดประตูห้องคุยกันถึงศิลปะละโว้และอู่ทอง
ซึ่งเกี่ยวดองกันยุ่งคล้ายปมเชือกที่แก้ไม่ออก
ขณะที่รอบห้องและทางเดินในโรงแรมไม้โกโรโกโสอึงคะนึงไปด้วยฝีเท้านักย่ำราตรี
และเสียงกรีดร้องคะนองของเหล่านางคณิกา …”
นั่นคือบรรยากาศการเดินทางไปท่องเที่ยวชมศิลปะ
ณ เมืองสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท เมื่อเกือบ ๔๐ ปีก่อน
ที่บันทึกเอาไว้ในบทความเรื่อง “ศิลปะที่เมืองสรรค์บุรี “ อันเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือศิลปโบราณของไทย
โดย “น. ณ ปากน้ำ”
ปรางค์กลีบมะเฟือง สถาปัตยกรรมที่หาดูได้ยาก |
เจ้าของนามปากกานี้ก็คืออาจารย์ประยูร
อุลุชาฏะ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์(จิตรกรรม) ประจำปีพ.ศ.๒๕๓๕ หรือ “อาจารย์ยูร” ของใครต่อใครในแวดวงผู้สนใจศิลปกรรมโบราณ (รวมทั้งผมด้วย)
ไม่ได้เคยมีโอกาสได้เรียนหนังสือหนังหากับท่านหรอกครับ
ได้แต่แอบกราบขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ติดตามผลงานของท่านอยู่ไกล ๆ
แต่กระนั้นลูกศิษย์ชนิดปลายหางแถวสูดกู่อย่างผมก็ยังได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์ยูร
อย่างมากมาย เมื่อครั้งไปเรียนเชิญท่านมาเป็นนักเขียนรับเชิญในคอลัมน์ “ถนนคนเดินทาง”
ของอนุสาร อ.ส.ท.
เมื่อสิบกว่าปีก่อน
แม้ขณะนั้นท่านจะกำลังอยู่ในช่วงป่วยหนักถึงขนาดลุกไม่ไหวก็ยังไม่ปฏิเสธ อุตส่าห์พยายามนอนเขียนต้นฉบับเรื่อง “การท่องเที่ยวชมศิลปะ” มอบให้มาพร้อมกับภาพถ่าย
ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานท่านก็ถึงแก่กรรม
เรียกว่าเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของท่านอาจารย์
ยังสำนึกในบุญคุณความกรุณาของท่านมาจนตราบทุกวันนี้
ผมได้รู้จักเมืองสรรค์บุรีเป็นครั้งแรกในชีวิตก็จากหนังสือศิลปโบราณของท่านอาจารย์ยูรนี่แหละครับ
ตอนที่อ่านนั้นก็ยังเป็นเด็กนักเรียนกะโปโลอยู่
จินตนาการไปตามคำบรรยายแล้วก็ให้รู้สึกว่าสรรค์บุรีนี่ช่างเหมือนกับเมืองโบราณในฝันเสียจริง
ๆ ยิ่งคิดยิ่งอยากไปดูไปเห็นด้วยตาของตัวเองขึ้นมา เพราะดูจากภาพถ่ายท่าว่าจะสวยงามอลังการถึงขนาด
แต่กว่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับของจริงก็เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย
เวลาล่วงเลยไปเกือบยี่สิบปีโน่นแน่ะ
จำได้ว่าไปเห็นครั้งแรกผิดหวังมากครับ
เพราะเวลาที่ผ่านไปทำให้โบราณสถานวัดวาอารามหลายแห่งในสรรค์บุรีเปลี่ยนแปลงไปมากมาย
ไม่เหมือนกับที่เคยอ่านในหนังสือ
และเคยเห็นจากภาพถ่าย แต่ละแห่งถูกบูรณะดัดแปลง สร้างอาคารใหม่บดบังบ้าง เทปูนทับทำเป็นทางเดินบ้าง เรียกว่าเละเทะไปหมด
นับแต่นั้นผมก็เลยไม่เคยมาเยือนสรรคบุรีอีก
เพราะไม่อยากเห็นสภาพบาดตาบาดใจ
จนกระทั่งล่าสุด บังเอิญแว่วข่าวมาว่าทางกรมศิลปากรกำลังดำเนินโครงการขุดแต่งบรรดาโบราณสถานในสรรคบุรีขึ้นมาใหม่
ก็เลยเกิดความหวังขึ้นมารำไรครับ ว่าบางทีอาจจะพบอะไรใหม่
ๆ
หรืออย่างน้อยได้เห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
และนั่นทำให้ผมต้องหวนกลับมาเยือนเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้อีกครั้ง...ในวันนี้
เสี้ยวอดีตในหน้าประวัติศาสตร์
ร่องรอยของเมืองสรรคบุรี
ในประวัติศาสตร์มีอยู่เพียงสั้น ๆ เท่านั้น ส่วนใหญ่จะปรากฏแต่เพียงชื่อ ไม่ว่าจะเป็น
“เมืองแพรก” ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในสมัยสุโขทัย
มีฐานะเมืองหน้าด่านต้านศึกจากเมืองฝ่ายใต้คือกรุงศรีอยุธยา ก่อนที่กลายเป็น
“เมืองสรรคบุรี” ในเวลาต่อมาภายหลังสุโขทัยตกอยู่ในอำนาจกรุงศรีอยุธยา
โดยมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง ก่อนจะถูกลดบทบาทลงเป็นเพียงหัวเมืองจัตวา ดังปรากฏชื่อในกฎหมายตราสามดวงของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในรายชื่อหัวเมืองจัตวา
เจ้าเมืองมีศักดินา ๓๐๐
พงศาวดารกรุงเก่าบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อปี
พ.ศ. ๑๙๔๗
เมืองเหนือเกิดจลาจลเนื่องจากพระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล)
กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์พระร่วงที่ครองกรุงสุโขทัยเสด็จสวรรคต
สมเด็จพระนครินทราธิราชจึงเสด็จยกทัพขึ้นไปถึงเมืองพระบาง (นครสวรรค์)
โปรดให้เจ้าอ้ายพระยา พระโอรสองค์โตครองเมืองสุพรรณบุรี
เจ้ายี่พระยา พระโอรสองค์รองครองเมืองแพรกศรีราชาหรือเมืองสรรค์ และเจ้าสามพระยาองค์สุดท้องครองเมืองชัยนาท (พิษณุโลก)
ประวัติศาสตร์ช่วงหลังจากนี้สนุกมากครับ
ผมจำได้ดีเพราะเรื่องราวบู๊ดุเดือด ระทึกใจ สมัยเรียนชั้นประถมเคยเรียนจากในหนังสือดรุณศึกษา
(ไม่รู้ใครทันได้เรียนบ้าง หนังสือเรียนรุ่นนี้ เก่ากว่ารุ่นมานะ มานี เสียอีกนะ)
เมื่อสมเด็จพระนครินทราธิราชเสด็จสวรรคต เจ้าอ้ายพระยาทรงทราบข่าวพลันยกทัพจากสุพรรณบุรีเข้ามา
พร้อม ๆ กันกับเจ้ายี่พระยาก็ยกทัพลงมาจากเมืองสรรค์เพื่อเข้าครอบครองราชสมบัติที่กรุงศรีอยุธยา
ทั้งสองทัพเกิดปะทะกันขึ้นจนถึงขั้นตะลุมบอน บริเวณเชิงสะพานป่าถ่าน เจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยาทรงกระทำยุทธหัตถี
ปรากฏว่าทั้งสองพระองค์ฝีมือทัดเทียมกัน ต่างฝ่ายต่างถูกพระแสงของ้าวของฝ่ายตรงข้าม
สิ้นพระชนม์บนคอช้างทั้งคู่
สมัยเรียนผมรู้สึกว่าเหลือเชื่อมาก
อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น
แต่พอโตมาก็เริ่มเห็นว่าเป็นไปได้ครับ ยิ่งสมัยนี้หาดูวิดีโอในยูทูบ
ก็มีให้เห็นเยอะแยะ โดยเฉพาะในแวดวงศิลปะการต่อสู้ อย่างมวยสากลหรือมวยไทย ที่ต่างฝ่ายต่างออกอาวุธ แล้วต่างฝ่ายต่างก็โดน
อย่างที่เรียกกันว่า “ดับเบิ้ลน็อกเอาต์”นั่นแหละ
ผมดูทีไรก็นึกไปถึงประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ทุกที
หลังจากทั้งสององค์สิ้นพระชนม์
เจ้าสามพระยาซึ่งเป็นพระอนุชาองค์เล็กก็เสด็จยกทัพจากเมืองชัยนาท มาขึ้นครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยา
เป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ อย่างสบาย ไม่ต้องแย่งกับใคร
เข้าทำนอง “ตาอินกับตานาแย่งปลาตีกัน ตาอยู่เดินผ่านมา
เอาชิ้นปลามันไปกิน” ยังไงยังงั้นเลยละครับ
หากดูจากแค่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ สรรคบุรีจึงมีเวลารุ่งเรืองอยู่แค่ช่วงสั้น
ๆ คือเวลาที่เจ้ายี่พระยาปกครองอยู่เท่านั้น แต่หากพิจารณาหลักฐานทางโบราณคดีประกอบด้วยจะพบว่าเมืองแพรกหรือสรรคบุรีนั้นมีมาตั้งแต่สมัยอู่ทองคือก่อนกรุงศรีอยุธยาแล้ว
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยครับ ว่าทำไมถึงได้มีมรดกสถาปัตยกรรมอันวิจิตรงดงามหลงเหลือเอาไว้ให้เราได้ชื่นชมกัน
ชมอลังการสถาปัตยกรรมรังสรรค์
ตัวเมืองสรรคบุรีในยามสายแลดูสงบเงียบ
อนุสาวรีย์ขุนสรรค์ หนึ่งในผู้นำชาวบ้านบางระจันผู้หาญกล้ายืนหยัดพร้อมอาวุธคู่ใจ เด่นสง่าอยู่บนลานหน้าที่ว่าการอำเภอ
พาหนะคันน้อยพาผมแล่นเรี่อยผ่านวงเวียน เลียบเลาะไปตามถนนสายเล็ก ซึ่งสองฟากเรียงรายด้วยเรือนแถวไม้อันเป็นย่านเมืองเก่าริมแม่น้ำน้อย ลำน้ำสาขาย่อยของแม่น้ำเจ้าพระยาที่แยกสายออกมาที่เมืองชัยนาท ไหลผ่านเมืองสรรค์บุรีไปบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ตัวเมืองสรรคบุรีโบราณนั้นทางทิศตะวันออกติดกับแม่น้ำน้อย
แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน คือทางทิศเหนือและทิศใต้
โดยเดิมมีคลองกั้นกลางเอาไว้
ต่อมาสมัยหลังมีการลดขนาดของเมืองลงโดยเหลือแค่เพียงครึ่งทางทิศใต้เท่านั้น ร่องรอยความรุ่งเรืองส่วนใหญ่จึงอยู่ทางครึ่งทิศใต้
ทางทิศเหนือเขาก็ว่าเคยมีวัดวาอารามโบราณอยู่เยอะแยะเหมือนกันครับ
แต่ถูกทำลายไปหมดแล้ว ไม่เหลือซากอะไรให้เห็น เฮ้อ...คิดแล้วก็เสียดาย
ย่านเก่าริมแม่น้ำน้อย |
ถนนแคบลงเรื่อยจนกลายเป็นซอยเล็ก
ช่วงนี้มีห้องแถวไม้เก่า ตรงข้ามแนวรั้วของวัดมหาธาตุ เลยไปอีกหน่อยเป็นวัดพระยาแพรก
เจดีย์แปดเหลี่ยมยอดหักตระหง่าน เด่นด้วยซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูป
อันเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่นิยมในสมัยอู่ทอง ในบริเวณยังมีฐานวิหารและอุโบสถขนาดใหญ่
ดูจากทำเล โรงแรมไม้โกโรโกโสที่ท่านอาจารย์ยูรเล่าไว้ว่าเคยมาพักก็คงจะอยู่แถว
ๆ นี้แหละครับ เพราะมองออกมาเห็นแนวเจดีย์ในวัดมหาธาตุ ปัจจุบันห้องแถวไม้ยังอยู่แต่ไม่ได้เป็นโรงแรม
กลายเป็นบ้านเรือนผู้คนไปหมดแล้ว ถึงยังงั้นผมเห็นแล้วก็ยังอดไม่ได้อยู่ดี ที่จะจินตนาการไปถึงบรรยากาศที่บรรยายเอาไว้ในหนังสือ
เพราะแสดงให้เห็นว่าการเดินทางท่องเที่ยวชมศิลปกรรมโบราณเมื่อสมัยหลายสิบปีก่อนไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะรถราถนนหนทางยังไม่ค่อยดี มาแค่สรรคบุรียังต้องพักโรงแรมค้างคืน ทุกวันนี้ขับรถแค่ชั่วโมงกว่าสองชั่วโมงก็ถึง
เช้ามาเย็นกลับก็ยังไหว สบายกว่ากันเยอะครับ
เจดีย์วัดพระยาแพรก |
ออกจากซอยเข้าสู่ถนนหน้าพระลาน
ชื่อถนนเป็นอีกร่องรอยหนึ่งอันเรียกขานกันมาแต่อดีต เลี้ยวเข้าไปในวัดมหาธาตุ ซึ่งตามประวัติมีชื่อเดิมเรียกว่าวัดหัวเมืองหรือวัดศีรษะเมือง
ว่ากันว่าน่าจะสร้างตั้งแต่สมัยอู่ทอง แล้วมาบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
การผ่านช่วงเวลาอันยาวนานทำให้ที่นี่มีร่องรอยของอดีตกาลหลงเหลืออยู่ให้ดูมากที่สุด
ฟากตะวันออกของวัดซึ่งเป็นเขตพุทธาวาสและเป็นเขตโบราณสถานกำลังมีการขุดแต่งทางโบราณคดี
ทุบพื้นปูนซีเมนต์ที่เคยลาดปูโดยรอบทิ้งไป เผยให้เห็นซากอิฐหักกากปูนที่ทับถมอยู่ทั่ว
กระเบื้องมุงหลังคาโบราณที่ขุดได้กองเป็นพะเนินอยู่ริมรั้ว
เห็นยังงี้แล้วก็รู้สึกค่อยยังชั่ว ดูสมกับเป็นเมืองโบร่ำโบราณขึ้นมาหน่อย
กลุ่มเจดีย์รายเรียงกันอยู่เป็นแถวเป็นแนว |
กลุ่มเจดีย์ราย ที่อาจารย์ยูรมองเห็นจากในโรงแรม
ยังคงเรียงรายกันอยู่เป็นแถวหลายองค์ ส่วนมากเป็นทรงปราสาทยอด
ที่มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ รอบด้าน องค์พระโดนทำลาย ถูกแซะไปขายบ้างอะไรบ้างโดยมาก
แต่ก็มีร่องรอยการซ่อมบูรณะเอาไว้ บางส่วนฝีมือดี ดูใกล้เคียงของโบราณ
บางส่วนดูเป็นฝีมือช่างพื้นบ้าน ก็ดูเป็นศิลปะไร้มารยา จริงใจ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ
ที่เป็นส่วนน้อยและถือเป็นพระเอกตัวจริงเห็นจะเป็นปรางค์ยอดกลีบมะเฟืองครับ
นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าน่าจะได้แบบอย่างมาจากปรางค์กลีบมะเฟืองลพบุรี แต่ที่นี่ทรงชะลูดกว่า ฐานแปดเหลี่ยม
ย่อมุมไม้ยี่สิบ ในเอกสารเก่า ๆ บันทึกว่าตรงโคนกลีบมะเฟืองมีปูนปั้นรูปเทพนมประดับ
แต่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีแล้ว
เช่นเดียวกับพระพุทธรูปยืนในซุ้มทั้ง ๔ ทิศ หายเรียบ ความพิเศษของปรางค์ชนิดนี้อยู่ตรงที่เป็นสถาปัตยกรรมเฉพาะ
หาดูได้แค่ที่นี่กับที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
ลพบุรีสองแห่งเท่านั้นในประเทศไทย (อ้อ มีอีกแห่ง
ในเมืองโบราณที่สมุทรปราการ แต่นั่นเป็นของจำลองไม่ใช่ของโบราณ ฉะนั้นถือว่าไม่นับครับ
)
ถัดจากกลุ่มเจดีย์รายเป็นวิหารเก้าห้องขนาดใหญ่
อยู่ในระหว่างการขุดค้นบูรณะเหมือนกัน อิฐเก่ากองระเกะระกะท่ามกลางเสาก่ออิฐแปดเหลี่ยมเสียดฟ้า
พระพุทธรูปประธานปูนปั้นสององค์เด่นตระหง่าน พระพักตร์ผ่านการซ่อมบูรณะฝีมือแบบช่างพื้นบ้าน
ใกล้กันเป็นอุโบสถที่รายล้อมด้วยนั่งร้านเหล็ก
ด้านหลังเป็นพระธาตุหรือเจดีย์ประธานของวัด
การวางผังของวัดนี้ดูแตกต่างกับอารามโดยทั่วไป
คือ พระธาตุเจดีย์ประธานไม่ได้อยู่ตรงกับวิหาร แต่เชื่อมต่อกันด้วยระเบียงคดล้อมรอบ
องค์พระธาตุตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยมซ้อนกัน
๓ ชั้น ชั้นบนสุดที่เป็นเรือนธาตุนั้น
เอกสารเก่า ๆ ว่ามีพระพุทธรูปปูนปั้นในอิริยาบถต่าง ๆ กันประดับอยู่โดยรอบ เสียดายเดี๋ยวนี้ไม่มีเหลือแล้ว
ชั้นสองลดร่องทำเป็นลายลูกฟัก ชั้นล่างสุดเรียบโล่งไม่มีอะไร นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าพระธาตุเจดีย์องค์นี้น่าจะรูปร่างหน้าตาคล้ายกับเจดีย์วัดพระแก้วที่งดงามจนได้สมญานามว่า "ราชินีแห่งเจดีย์"
ส่วนฐานที่หลงเหลืออยู่ของ "ราชาแห่งเจดีย์" |
คิดแล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็เสียดาย นี่ถ้าเจดีย์องค์นี้ไม่พังทลายไปเสียก่อน
เมืองสรรคบุรีก็คงจะมีเจดีย์องค์นี้เป็นราชาแห่งเจดีย์อีกองค์คู่กันพอดิบพอดี
ตามแนวระเบียงคดตรงพระธาตุนี่กำลังมีการขุดแต่งเหมือนกัน
พบพระพุทธรูปปูนปั้นมากมาย แต่ส่วนใหญ่แตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและมีแต่ส่วนองค์พระ
ยังดีมีองค์หนึ่งตรงมุมระเบียงคดทางทิศใต้ ขุดพบในสภาพค่อนข้างดี โดยเฉพาะส่วนพระเศียร
ลักษณะของพระพุทธรูปแบบสรรคบุรีเป็นอย่างไร
น่าจะดูได้จากองค์นี้แหละครับ ปกติหาดูได้ยากจริง
ๆ เพราะส่วนใหญ่แตกหักเสียหายไม่ก็โดยขโมยไปขายหมด
พระพุทธรูปปูนปั้นแบบชัยนาท |
ออกจากวัดมหาธาตุ
ข้ามฝั่งถนนไปฝั่งตรงข้าม เข้าซอยไปไม่ไกลเป็นที่ตั้งของวัดสองพี่น้อง ชื่อของวัดมาจากเจดีย์ใหญ่น้อยสององค์อยู่ในบริเวณวัด
โดยมีตำนานเล่าด้วยว่า
“เจ้าอ้าย เจ้ายี่ และเจ้าสาม
ลูกเจ้าเมืองเป็นพี่น้องกัน ๓ คนเมื่อเจ้าเมืองถึงแก่กรรม เจ้าสามได้ยุยงให้เจ้าอ้ายและเจ้ายี่รบกันเพื่อแย่งราชสมบัติ
เจ้าอ้ายและเจ้ายี่เสียชีวิตทั้งคู่ เจ้าสามจึงได้ครองเมือง แล้วสร้างพระปรางค์องค์ใหญ่ให้เจ้าอ้าย
สร้างเจดีย์แปดเหลี่ยมองค์เล็กให้เจ้ายี่”
ฟังดูเหมือนกับเรื่องราวในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเปี๊ยบ
สงสัยจะเรื่องเดียวกันนั่นแหละ
ต่างกันที่เมืองที่แย่งกันคือเมืองสรรคบุรี ไม่ใช่กรุงศรีอยุธยา ออกไปในทางนิทานพื้นบ้าน
ตามพงศาวดารอันเป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์จริง
ๆ เจ้าสามพระยาก็ได้สร้างเจดีย์ให้กับพระเชษฐาทั้งสององค์เหมือนกันครับ
แต่สร้างเป็นเจดีย์ เล็ก ๆ คู่กันสององค์ ปัจจุบันยังคงอยู่ ทว่าหักพังเหลือแต่ฐาน ตั้งเคียงข้างกันอยู่บนเกาะกลางสี่แยกหน้าวัดมหาธาตุวัดราชบูรณะ
ที่พระนครศรีอยุธยา
วัดสองพี่น้องวันนี้ก็อยู่ในระหว่างการขุดแต่งบูรณะ
ใต้ร่มเงาของแมกไม้ที่แวดล้อมจนร่มครึ้ม เจดีย์แปดเหลี่ยมองค์เล็กเป็นเจดีย์ สร้างมาก่อนตั้งแต่สมัยอู่ทอง
ในขณะที่เจดีย์องค์ใหญ่ทรงปรางค์ ยังมีลวดลายปูนปั้นประดับแบบอยุธยาตอนต้น
ช่วยยืนยันว่าน่าจะสร้างในสมัยเจ้ายี่พระยามาครองเมืองสรรคบุรี
รอบข้างกำลังอยู่ในระหว่างขุดค้นโดยรอบเต็มไปด้วยอิฐหักกากปูนกระจัดกระจาย
แอบเข้าไปเดิน ด้อม ๆ มอง ๆดู ก็เห็นอะไรต่อมิอะไรน่าสนใจเยอะครับ
ทั้งชิ้นส่วนพระพุทธรูป ลวดลายปูนปั้น องค์ปรางค์ ล้อมรอบเอาไว้ด้วยนั่งร้านเหล็ก เจดีย์ทรงปรางค์แบบนี้มีองค์เดียวที่พบในเขตจังหวัดชัยนาท
ถือว่ามีคุณค่าทั้งทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์
บูรณะเสร็จเมื่อไหร่คงจะได้เห็นความงามกันอย่างเต็มตา
เจดีย์ยอดดอกบัวตูมหรือพุ่มข้าวบิณฑ์ของวัดโตนดหลาย |
เลยตามทางเข้าไปด้านใน
เป็นที่ตั้งของวัดโตนดหลาย เจดีย์ยอดทรงดอกบัวตูมหรือที่เรียกกันว่าเจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์
เด่นตระหง่านกลางลานกว้าง เช่นเดียวกับปรางค์วัดสองพี่น้อง
นี่คือหลักฐานอันทรงคุณค่าที่ช่วยยืนยันว่าครั้งหนึ่งสุโขทัยเคยมีอำนาจเหนือดินแดนสรรคบุรี
เพราะเจดีย์แบบนี้ส่วนใหญ่จะพบในเขตเมืองเก่าสุโขทัยและเมืองใกล้เคียงที่อยู่ในอำนาจของสุโขทัยเท่านั้น
แล่นรถออกมาจากตัวเมืองสรรคบุรี
แต่ยังไม่ไปไหนหรอกครับ เพราะว่ายังมีโบราณสถานสำคัญอีกแห่งที่ต้องไปชม
พลาดไม่ได้เสียด้วย เพราะถือว่าเป็นสุดยอดของสรรคบุรีนั่นก็คือ วัดพระแก้ว ตั้งอยู่นอกเมือง
ตามธรรมเนียมของเมืองในสมัยก่อนที่ต้องมีวัดป่าแก้วของเมืองเป็นที่จำพรรษาของพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี
ทรวดทรงอันงดงามของเจดีย์วัดพระแก้วเมืองสรรค์ |
แล่นรถเลียบคลองชลประทานไปไม่ไกล ก็แลเห็นยอดเจดีย์เสียดฟ้าเหนือแนวยอดไม้อยู่แต่ไกล
เลี้ยวเข้าไปจอดรถในบริเวณวัดถึงได้เห็นเต็มตาว่าเป็นองค์เจดีย์แบบละโว้ทรงผสมกับเจดีย์ทวาราวดีตอนปลายสูงสง่าจนต้องแหงนมองคอตั้งบ่า
ฐานเรือนธาตุแบบลดท้องไม้ เป็นศิลปะสมัยสุโขทัยกับสมัยศรีวิชัยผสมผสานกัน ผมนึกไปถึงคำบรรยายของท่านอาจารย์ยูรเมื่อครั้งที่ท่านได้มาเห็นเจดีย์องค์นี้ขึ้นมาทันที
“…เป็นเจดีย์อันงามสง่าจับใจมาก
ข้าพเจ้าเดินวนรอบเจดีย์ด้วยความปิติและถูกสะกดให้งวยงงจากอำนาจสุนทรียภาพ
แห่งความงามอันพอดีของทรวดทรง
อาจกล่าวได้ว่าเจดีย์องค์นี้งามที่สุดในประเทศไทย เป็นราชินีแห่งเจดีย์ทั้งมวลในเอเชียอาคเนย์
รู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัว
ปลื้มปิติยินดี อยากจะโอบมือเข้าไปกอดด้วยความสนิทเสน่หา…
เจดีย์วัดพระแก้วเมืองสรรคบุรี
แม้จะสูงไม่เท่าเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล แต่ก็อยู่ในขนาดสูงเยี่ยมเทียมเมฆ งามสง่า
วิจิตรรจนา โอ่อ่า ไม่รู้จะสรรหาคำใดมากล่าวให้สมกับความงามที่ได้พบเห็นนั้น
ข้าพเจ้าคงจะย้อนมาหาอีกจนนับครั้งไม่ถ้วนเป็นแน่ จะมาคอยถ่ายรูปตั้งแต่เช้ามืดไปจนถึงค่ำคืน ถ่ายภาพพอทเตรทราชินีแสนสวยกันให้ทุกแง่ทุกมุมทุกเวลากันทีเดียว…”
สมญานาม “ราชินีแห่งเจดีย์” ของเจดีย์วัดพระแก้วเมืองสรรคบุรีอันเลื่องลือก็มีที่มาจากตรงนี้แหละครับ
เดินเข้าไปในวิหารด้านหน้าเจดีย์
ข้างในประดิษฐานพระประธาน “หลวงพ่อฉาย” พระพุทธรูปหินทรายปิดทองอร่าม
มองดูด้านหน้าก็เหมือนพระพุทธรูปธรรมดาไม่มีอะไร
แต่เมื่อลองอ้อมไปดูด้านหลังถึงได้เห็นว่า
มีทับหลังศิลปะขอมแบบบาปวน
รูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณประทับอยู่เหนือหน้ากาลฝังอยู่ในองค์พระด้วยในลักษณะกลับหัว
ดูแปลกประหลาด
หลายคนบอกว่าสร้างอย่างนี้เพื่อให้เป็นปริศนาธรรมครับ
แต่ผมมองๆ
ดูแล้วน่าจะเป็นความพยายามในการอนุรักษ์โบราณวัตถุของคนสมัยก่อนมากกว่า
คือนำชิ้นส่วนของโบราณที่หักพังมารวมกันสร้างเป็นพระพุทธรูปให้คนกราบไหว้บูชา จะว่าไปก็เป็นไอเดียที่เข้าท่า
นี่ถ้าทิ้งไว้เป็นชิ้น ๆ กระจัดกระจายอาจจะถูกทำลายหรือสูญหายไปนานแล้วก็ได้
บรรดาโบราณสถานโบราณวัตถุในเมืองสรรคบุรีนี้
เท่าที่เห็นมาทั้งหมดเป็นแค่ส่วนน้อยซึ่งรอดมาจากการถูกทำลายอย่างไม่เห็นคุณค่า
ลองคิดดูสิครับ ว่าถ้ายังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์สรรคบุรีจะเป็นนครโบราณอันงดงามอลังการทรงคุณค่าขนาดไหน
เผลอ ๆ จะได้เป็นเมืองมรดกโลกอีกแห่งด้วยซ้ำไป (คิดแล้วก็เสียดายนะ แต่จะทำอะไรได้
นอกจากทำใจครับ...เฮ้อ)
เจดีย์วัดพระบรมธาตุชัยนาท |
ส่งท้ายที่เมืองชัยนาท
เที่ยวเมืองสรรคบุรีครบถ้วนแล้วยังพอมีเวลา
เลยถือโอกาสเลยมาถึงเมืองชัยนาทเผื่อว่าจะมีอะไรต่อมิอะไรเก่า ๆ ให้ดูให้ชมอีก ไหน
ๆ ก็มาแล้ว ชัยนาทก็อยู่ไม่ไกลจากสรรคบุรีแค่ ๑๙ กิโลฯ
แวะเวียนเข้าไปที่ วัดพระบรมธาตุวรวิหาร
อารามหลวงสำคัญของชัยนาท วัดนี้เขาว่าเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาครับ
ในบริเวณวัดเป็นที่ตั้งของพระเกตุธาตุมหาเจดีย์ เด่นสง่าอยู่กลางลานหลังวิหาร
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
๕ เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตร
ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า “สร้างมาก่อนสมัยขอม จำหลักจากหินทั้งองค์
แปลกกว่าพระเจดีย์องค์อื่น เป็นฝีมือช่างอินเดีย”
แต่ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้มีการบูรณะทาสีขาวโพลนจนมองไม่เห็นแล้วว่าสร้างจากหินอะไรยังไงเสียแล้วครับ
ลักษณะเด่นคือมีเจดีย์องค์เล็ก ๆ ประดับอยู่ด้านบนเจดีย์องค์ใหญ่โดยรอบ
มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายปางนาคปรก ๔ ด้าน ดูเป็นของใหม่ไม่ค่อยโบราณ แต่ก็สวยงามดี
ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชัยนาทมุนี |
เดินเตร็ดเตร่เล่น ๆ เรื่อยเข้าไปใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชัยนาทมุนี
อาคารทรงไทยประยุกต์ ๒ ชั้นที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน ถูกใจที่นี่เข้าอย่างจังครับ
เจ้าหน้าที่มาต้อนรับพาเดินชมอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดน่าสนใจ ชั้นล่างจัดแสดง พระพุทธรูปสังคโลก เครื่องมือเครื่องใช้
เครื่องประดับ ฯลฯ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ทวาราวดี อยุธยา มาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
ส่วนชั้นบนจัดแสดงพระพิมพ์สมัยต่างๆ ตั้งแต่สมัยทวารวดีถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ศิลปกรรมและโบราณวัตถุที่จัดแสดงส่วนใหญ่ได้รับมอบจากท่านเจ้าคุณพระชัยนาทมุนี
(นวม) สุทตฺโต อดีตเจ้าคณะจังหวัดชัยนาท ซึ่งเป็นผู้รวบรวมเก็บรักษาไว้ มอบให้กรมศิลปากร กรมศิลปากรจึงตั้งชื่อพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชัยนาทมุนี
นอกจากแผ่นศิลาจำหลักพระพุทธรูปสมัยทวารวดีซึ่งเป็นของแปลกไม่เคยเห็นที่ไหน ยังมีศิลปกรรมโบราณที่น่าชมอีกหลายชิ้นครับ
เช่นพระพุทธรูปนาคปรกหินทรายจากวัดพระบรมธาตุฯ ซึ่งเป็นหลักฐานว่าเคยมีศิลปะลพบุรีเข้ามามีอิทธิพลอยู่ในแถบนี้ แต่ที่ไม่ควรพลาดชมจริง ๆ คือหลวงพ่อเพชร
พระพุทธรูปขัดสมาธิเพชรศิลปะล้านนาอิทธิพลสุโขทัยอันอ่อนช้อยจับใจ มีองค์เดียวในประเทศไทย
ชมองค์นี้องค์เดียวเกินคุ้มเหลือหลายแล้วครับ เพราะงามจริงเป็นหนึ่งไม่มีสองรองใคร
แดดอ่อนแรงลงเป็นสีทองเมื่อผมไปถึง วัดธรรมามูลวรวิหารริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา อารามแห่งนี้คู่บ้านคู่เมืองชัยนาทมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ตั้งอยู่บนไหล่เขาธรรมามูล ลงจากรถตอนแรกเห็นบันไดขึ้นไปบนยอดเขา
มีป้ายชี้บอกไว้ว่าห้าร้อยกว่าขั้นก็ท้อใจ แต่มองไปมองมาก็เห็นว่าด้านข้างบันไดนั้นมีโบสถ์หลังน้อยอยู่ใกล้
ๆ ด้านหลังเป็นวิหาร
เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็โล่งใจครับ
(เพราะไม่ต้องขึ้นบันไดห้าร้อยกว่าขั้น) ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐาน
“หลวงพ่อธรรมจักร” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์
ปางห้ามญาติ ศิลปะผสมระหว่างอยุธยาและสุโขทัย มีรูปพระธรรมจักรปรากฏอยู่กลางฝ่าพระหัตถ์เบื้องขวา
มีตำนานเล่าขานกันมาว่าหลวงพ่อธรรมจักรได้แสดงปาฏิหาริย์เดินลุยน้ำมาประทับพิงอยู่ในวิหารเอง
โดยชาวบ้านพบว่าที่พระบาทมีจอกแหนติดอยู่เต็ม
ไหว้พระเสร็จสรรพค่อยสบายอกสบายใจครับ
กลับออกมาเดินชมทิวทัศน์ยามเย็น ดวงอาทิตย์กลมโตลอยเรี่ยใกล้ผิวน้ำ เดินรอบพระอุโบสถเห็นใบเสมาศิลาทรายสีแดง
สลักลวดลายต่างๆ เป็นศิลปะสมัยอยุธยา เลยไปหลังวิหารก็เจอเจดีย์โบราณคร่ำคร่าปรักหักพังรกร้างอยู่อีกองค์
บ่งบอกว่าเป็นวัดเก่าร่วมสมัยกับสรรคบุรีอย่างไม่ต้องสงสัย
กลับบ้านมาพร้อมกับความสบายใจครับที่ได้เห็นว่าวัดวาอารามเก่า
ๆ ในความทรงจำของผม มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
มีการขุดแต่งบูรณะอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ
อีกไม่นานสรรคบุรีก็น่าจะเป็นเมืองโบราณที่ใครผ่านก็อยากจะแวะมาเยี่ยมชม
ผมคนนึงละครับที่ต้องกลับมาอีกแน่
แล้วก็คงจะไม่ใช่แค่หนเดียวเสียด้วย
เอกสารอ้างอิง
ชญาดา
สุวรัชชุพันธุ์. ความสัมพันธ์ของชุมชนโบราณในจังหวัดชัยนาทกับชุมชนภายนอกในช่วงพุทธศตวรรษที่
๑๒–๑๘ .เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคล คณะโบราณคดี
มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา ๒๕๕๐.
น. ณ ปากน้ำ.ศิลปโบราณของไทย.กรุงเทพ ฯ
: โอเดียนสโตร์,๒๕๑๘ .
ศรีศักร
วัลลิโภดม.โบราณคดีไทยในทศวรรษที่ผ่านมา.กรุงเทพ ฯ: เมืองโบราณ
, ๒๕๒๕.
แสวง
สดประเสริฐ. สถาปัตยกรรมสกุลช่างชัยนาท. เอกสารประกอบการบรรยายที่หอประชุมจังหวัดชัยนาท
วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐
โทโมฮิโตะ
ทะคะตะ. แบบอย่างของเจดีย์ในเมืองสรรค์บุรีกับการสะท้อนความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต
สาขาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา ๒๕๔๙
คู่มือนักเดินทาง
ทางรถยนต์ จากกรุงเทพฯ สามารถเดินทางไปเที่ยวชมโบราณสถานในเมืองชัยนาทและเมืองสรรค์บุรีได้
๒ ทางดังนี้
เส้นทางแรกใช้ทางหลวงหมายเลข ๑ เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๓๒
ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และ สิงห์บุรี เข้าสู่จังหวัดชัยนาท
จากจังหวัดชัยนาทใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๔๐ ไปยังอำเภอสรรค์บุรีระยะทางประมาณ ๑๙
กิโลเมตร
เส้นทางที่ ๒ ใช้ทางหลวงหมายเลข ๙ ไปเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข
๓๔๐ ที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ตรงไปตามทางผ่านอำเภอบางปลาม้า
จังหวัดสุพรรณบุรี อำเภอศรีประจันต์ อำเภอสามชุก อำเภอเดิมบางนางบวช
เข้าสู่อำเภอสรรค์บุรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น